กลับมาแล้วๆๆ ช่วงนี้เพิ่งกลับมาสดๆ เลยอยากบันทึกความรู้สึก และสิ่งทีสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่จากไปไกลเกือบสองปี
ก่อนอื่นคือต้องบอกว่าโชคดีที่ได้ไปแวะเที่ยวญี่ปุ่นมาสี่ห้าวัน เลยถือว่าได้ปรับทุกอย่างมาแล้วกึ่งหนึ่งจะว่าไป ตอนก้าวแรกที่ออกจากสนามบินนาริตะเห็นประชาชนทั่วไปเป็นจุดแรกที่รู้สึกอึ้งและเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของตัวเองมากที่สุด เช่น
เรานั่งรถไฟออกจากสนามบิน เจอผู้หญิงสาววัยทำงาน (คาดว่าเป็นสาวออฟฟิศ) นั่งด้วยกันตรงข้ามเรา นางทั้งสองเหมือนกันราวกับแฝด คือ ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนเล็กน้อย ขนตายาวเฟื้อย หน้าขาว แก้มแดงระเรื่อแบบปัดบลัช ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ จากลิปกลอส ใส่เสื้อหนาวสีน้ำตาลเอิร์ธโทน (อากาศประมาณ (5-10C) ใส่กระโปรงกางเกงสั้น ถุงน่องดำมิด และรองเท้าบูท สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ดาษดื่นในโตเกียว ส่วนผู้ชายหนุ่มออฟฟิศ ก็มักใส่สูทสีกรมท่า สีดำ มีลายทางยาวๆ กับรองเท้่าหนังสีน้ำตาล ถือกระเป๋าเอกสารสีดำดูสุขุม จับกลุ่มขึ้นรถไฟกับเพื่อนชายอีกสองสามคนคุยไปเรื่อยเปื่อย
ความวุ่นวาย เร่งรีบ ทุกคนเดินไปมา สวนกัน ชนกัน ขอโทษบ้าง เพิกเฉยบ้าง ไลฟสไตล์คือชอปปิ้งร้านแบรนด์เนม กินข้าวร้านเก๋ๆ มีขนมกรุึบกริบน่ารักๆ ดริ๊งค์ไวน์บ้างไรบ้าง เป็นสังคมเมืองจ๋า
ได้มีัโอกาสนัดเจอเพื่อนคนญี่ปุ่นที่ได้ไปเจอที่อเมริกาด้วยกัน เลยมีโอกาสถกกัน และสิ่งที่เราทั้งสองคนเห็นเหมือนกันคือ ชีวิตในเอเชียช่างวุ่นวายเหลือเกิน คนเป็นมด คนเป็นหนอน ไม่ว่าเวลาเช้า กลางวัน เย็น คนออกไปไหนมาไหนเดินขวักไขว่ตลอดเวลา
ยิ่งคนอยู่ด้วยกันเยอะเท่าไหร่ กลับหาเป็นความเป็นปัจเจก ความเป็นตัวของตัวเองได้น้อยลงเท่านั้น
ด้วยความที่เราทั้งสองคนอยู่เมืองใหญ่ทางใต้ของอเมริกา ไม่ได้สัมผัสกับความเป็นเมืองแฟชั่นจ๋าที่คนเก๋ๆ เปรี้ยวๆ เยอะ ก็เลยร้างราวงการมานาน
อยู่โตเีกียววันเดียว เห็นผู้หญิงถือกระเป๋าแบรนด์เนมมากกว่าที่เคยเห็นที่อเมริกาตอนไปเดินห้างทั้งวัน
เห็นคนใส่สูท ทั้งที่อากาศร้อนกว่าเมืองที่เราอยู่ตั้งมากมาย
เห็นคนใส่เสื้อหนาวซะหนา ทั้งที่ตอนกลางวันออกจะร้อน
เห็นคนต่อคิวกินอาหารฝรั่งเศส ต่อคิว McDonald Denny's Starbucks ซึ่งเป็นสิ่งเบๆ ในอเมริกา แต่ดูเลอค่ามากมาย
ทุกอย่างย่อไซส์ลง ขนาดอาหาร จานข้าว คน เสื้อผ้า รองเท้า บ้านช่อง รถยนต์ ทุกอย่างย่อส่วน เรารู้สึกเหมือนเราอยู่เมืองยักษ์มายังไงยังงั้น จากที่เคยเห็นรถ SUV ขนาดฟอร์จูนเนอร์บ้านเรา แต่ที่อเมริกาเค้าเรียกว่ามินิ SUV Toyota Camry ก็กลายเป็น intermediate size Altis Yaris ก็กลางเป็นรถ Economy พอแตะญี่ปุ่นรถ SUV กลายเป็นพี่เบิ้มไปในบัดดล
พอกลับเมืองไทยสิ่งที่ตกใจมากที่สุดคือค่าครองชีพ ราคาข้าวของ อาหารที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ประชากรไทยแม้แต่น้อย
วันแรกไปกินร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่ง อยู่ริมน้ำที่ Asiatique กินพิซซ่าถาดเดียวกับเบียร์หนึ่งแก้วหมดไปหกร้อย~~ OMFG! พูดจริงๆนะ คนส่วนใหญ่ที่เป็นสาวออฟฟิศเงินเืดือนก็ 15000-20000 ที่รายได้ดีหน่อยจบมหาลัยดีๆ มีหน้าที่การงานทำก็อะ ตีให้ประมาณ 4-6 หมื่น ส่วนพวกเงินเดือนเฉียดแสนหรือเกินแสนถึงจะมีมาก แต่เราเรียกว่าเป็นส่วนน้อยของคนไทยทั้งประเทศแล้วกันนะ เห็นเดินกันขวักไขว่ ทานอาหารมื้อนึงหัวนึงเหยียบห้าร้อยเนี่ยนะ ????/ เราแบบเฮ่ยย ตกใจอยู่กันได้ไง เราทำงานที่นั่น ได้เงินมากกว่าที่เค้าได้กันสี่ห้าเท่า ราคาข้าวต่อมื้อแบบร้านอาหารทั่วไปกลับพอๆกันอะ :-/
ผ่านไปแค่สองปี ค่ารถเมล์ รถสองแถว เสื้อตลาดนัด กระเป๋า รองเท้า กะเพราไก่ อาหารตามสั่ง ขึ้นราคาแพงแสนแพงทุกอย่าง
เกิดคำถามในใจว่า คนที่เค้าใช้ชีวิตในกรุงเทพ อยู่หอด้วย ใช้จ่ายเองทุกอย่าง กับไลฟ์สไตล์แบบนี้ เค้ามีเงินเก็บมั้ยนะ เค้ามีการวางแผนชีวิตข้างหน้าแบบไหนนะ?
เห็นเด็กวัยรุ่นมหาลัยที่นี่ก็ต่างจากเด็กฝรั่งจัง เด็กฝรั่งมันแก่แดด ดูโตกว่าวัยก็จริง แต่เรื่องที่จะมาถือหลุยส์ ชาแนลตอนอยู่ปีสามนี่มันมีแต่ในสังคมเอเชียชัดๆ
ในขณะที่เด็กๆในที่่ทำงานที่เรารู้จึก ซึ่งจัดเป็นคนชั้นกลางถึงสูง (พ่อแม่มีการศึกษา มีหน้าที่การงาน ไม่ต้องทำงานตอนเรียน จบปโทโดยไม่เป็นหนี้การศึกษา) กลับไม่เคยได้ยินเค้าขอเงินพ่อแม่ให้ซื้อกระเป๋า ส่งไปเที่ยวไก่กา ที่เห็นเพื่อนที่ทำงานไปเที่ยวกัน ก็เก็บตัง ใช้เงินที่หามาได้ตอนทำงานปิดเทอมทั้งนั้น
แล้วอะไร เด็กไทย พ่อแม่ส่งไปเที่ยวเมืองนอก แถม pocket money มีกระเป๋าดีๆ ของแพงๆ วันๆ ก็(แดร่ก ) Starbucks ที่ราคาแพงเท่าที่อเมริกา ในขณะที่ค่าครองชีพที่นี่ต่ำกว่าสามเท่าเนี่ยนะ???
เห็นรถเบนซ์ในกรุงเทพมากกว่าที่เห็นที่อเมริกา ทั้งๆที่อเมริกาภาษีรถ หรือราคารถถูกกว่าเกือบครึ่งๆ (สำหรับรถแพง)
เห็นเด็กวัยรุ่น คนเริ่มทำงาน ถอยรถใหม่ป้ายแดง ในขณะที่เด็กๆในจ๊อบเรา ขับรถเก่าแสนเก่า ทั้งที่เงินเดือนเดือนแรกแค่เดือนเีดียวก็ดาวน์รถได้เกิน 20% แล้ว
ไม่แปลกใจที่ภูมิคุ้มกันเด็กไทย ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตมันช่างต่ำแสนต่ำเหลือเกิน
ความเป็นตัวเอง รู้ใจตัวเอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง ก็ช่างหาได้ยากเหลือเกิน
ความรับผิดชอบ เอื้ออาทร บนท้องถนน ในร้านค้าตัวไป กลับหาได้น้อยกว่าเสียอีก
นี่หรือคือสยามเมืองยิ้ม
นี่หรือคือเมืองที่น่าเที่ยว เมืองที่คนบอกว่าอะไรๆก็ถูกไปหมด
นี่หรือคือเมืองที่เรากำลังจะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับมัน
ว่าแล้วก็เดินไปขุดกระเป๋าแบรนด์เนมกากๆที่มี แล้วพามันออกจากบ้าน หลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบสองปี ....