Monday, January 13, 2014

Top 37 Things Dying People Say They Regret

Here Are The Top 37 Things Dying People Say They Regret. Learn From It Before It’s Too Late.


วันนี้เห็นหลายคน forward link นี้กันใน Facebook แถมเป็นช่วงต้นปีด้วย
เลยอยากเอามาทำดูว่าเรา regret หรือไม่ regret เรื่องอะไรบ้าง

1) Not traveling when you had the chance
ไม่เสียใจกับสิ่งนี้เลย ถ้าจะเสียดายก็คงเสียดายที่ว่าไม่ได้เกิดมาครอบครัวที่มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ขนาดไปไหนต่อไหนแบบไม่ต้องคิดอะไร แต่ความโชคดีก็คือ เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่เห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นการเปิดโลกที่สำคัญ สมัยเด็กๆ ช่วยประถม ถือว่าที่บ้านมีความเฟื่องฟูทางการเงินพอควร ก็เลยได้ไปเที่ยวต่างประเทศทุกปี สถานที่ที่ประทับใจว่าเออ พ่อแม่เราเจ๋งนะที่พาไปก็มี USA, South Africa 

พอโตมาหน่อยจำได้ว่าเลิกกับแฟนเก่าตอนจบมปลายพอดี ก็เลยไปซัมเมอร์ที่ไต้หวันพักใจ

พอตอนเรียนมหาลัย ก็ไป Work and Travel ที่อเมริกาสองครั้ง ครั้งแรกทำที่ Yellow Stone National Park ก็ได้ไปเที่ยวแถบ US West Coast อย่างพวก LA, Las Vegas, San Franciso พออีกปีไปทำที่ Cedar Point Amusement Park Ohio ก็ได้ไปหลายที่ฝั่ง East Coast อย่าง New York, Niagara Falls 

ตอนจบทำงานใหม่ๆ เริ่มทำกับ ExxonMobil ก็ได้ไปอยู่ที่ญี่ปุ่นใช้ชีวิตเองเกือบเดือน

พอทำกับที่ปัจจุบัน ก็มีโอกาสได้ไปทำงานที่ลาวหลายครั้ง ไปทำงานที่ USA (ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าได้กลับไปเยี่ยมเยียนที่นั่นอีกครั้ง ทั้งๆที่ตอนนั้นคิดว่าเมืองเล็กๆแบบนี้ต่อให้มาเที่ยวก็คงไม่มีวันกลับมา แล้วอีกไม่เกินสองปีดันได้กลับไปทำงานที่นั่นเลยด้วยซ้ำ!)

ยังไม่รวมเที่ยวประปรายที่ได้ไปเสมอๆ อย่างต่ำปีละครั้งสองครั้ง ทั้งที่ได้รับโอกาสไปแบบไม่ต้องจ่ายตังบ้าง ทั้งที่คว้าโอกาสโดยการเก็บหอมรอมริบจากน้ำพักน้ำแรงบ้าง 

แล้วพอช่วงปี 2011-2013 ที่ได้ไปทำงานที่อเมริกา มันถือเป็นการเปิดโลกการท่องเที่ยวของเราอีกโลกเลย คือไปที่ใหม่ๆ เยอะจริงๆ แทบจะเรียกได้ว่าไปเมืองใหม่ๆ ทุกสองอาทิตย์ บินอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ไปเที่ยวที่ใหญ่ๆ สำคัญๆ ทุกเทศกาล ^_^

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นเรื่องนี้แล้ว เราพูดได้เลยว่าเราได้ทำสุดความสามารถตามโอกาส เวลา และกำลังทรัพย์ที่มีแล้วจริงๆ ไม่มีอะไรที่เสียใจ ณ จุดนี้

2. Not learning another language

นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่เสียใจ แต่อาจจะต้องขอบคุณพ่อแม่ของเรามากกว่า ที่บังคับให้เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่เข้ามัธยม เรียนแบบจริงจังกับครูคนญี่ปุ่นตัวต่อตัวด้วย ถึงแม้ตอนนั้นจะเรียนไก่กาไม่ได้คิดว่าจะใช้อะไร แต่มันกลับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่ตอนจบทำงานเป็นตัวสร้างโอกาสให้เราได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่น

ได้เรียนภาษาจีนพร้อมๆกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นเรียนอยู่เกือบห้าปี ก็เรียกได้ว่ามีพื้นฐานที่ค่อนข้างแข๊งแรง ถึงมาตอนนี้ภาษาทั้งสองจะไม่ค่อยเหลือในความทรงจำแล้ว แต่ก็เรียกได้ว่าเวลาไปไหนต่อไหนก็ไม่ค่อยมีปัญหาในการ catch up อะไรเท่าไหร่เลย อย่างการเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว สั่งอาหาร สนทนาทั่วไปก็ยังพอทำได้อยู่

ที่ดีใจก็คือการได้ไป Work and Travel และการเรียน BBA ที่ทำให้ภาษาอังกฤษเราดีขึ้นมาก และมันเป็นตัวช่วยเสริมให้มีโอกาสได้ไปทำงานที่อเมริกา เพราะถ้าภาษาไม่โอเคในระดับหนึ่งแล้วการไปทำงานที่อเมริกาแบบจริงจังเป็นเรื่องยากจริงๆ (ตอนเราไปก็ใช่ว่าง่ายนะ ขมขื่น ขื่นขมเรื่องภาษามิใช่น้อย)

ที่ Regret ก็คงไม่ แต่จริงๆ แล้วมีแพลนอยากลองเรียนภาษาที่ไม่เคยเรียนมากกว่า ที่คิดไว้ตั้งนานแล้วก็คือเรียน ภาษาฝรั่งเศส หรือ ภาษาอิตาลี (เกี่ยวกับอาหาร) คิดว่าน่าสนุกดี เพราะไม่เคยเรียนภาษาแถบนี้เลย

3.Staying in a bad relationship
ไม่เคยอยู่ใน bad relationship นานขนาดนั้น รู้สึกว่าชีวิตเราค่อนข้างชัดเจน และเลือกเอง 
การจะเริ่มคบกับใคร ส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัยเวลาพูดคุยรู้จักกันพอควร 
การจะเลิกคบกับใคร ก็คิดไตร่ตรองมากๆ เพราะฉะนั้น ในความทรงจำเราเราก้ไม่ค่อยเสียน้ำตา หรือเสียเวลาไร้สาระอะไรกับเรื่องความรักเท่าไหร่ 

เคยมี moment ที่บอกเลิกแล้วคบกัน แต่นั่นก็เป็นช่วง puppy love 
เคยมี moment ที่ไม่แน่ใจว่าจะคบกับดีมั้ย ตัดสินใจถูกรึเปล่า แต่ก็ผ่านไปได้แบบไม่ซับซ้อนอะไร
เคยมี moment ที่เป็น long distance relationship แต่ก็ขอบคุณทั้งความรักของเขา และเรา ที่ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์มันอ่อนแอ กระปอดกระแปด 

ถ้าจะคิดเสียใจ คงเสียใจมากกว่า ที่ตอนเด็กๆ Drama มากเกินไป (ทั้งๆที่ก็ drama น้อยแล้วนะ) เพราะพอมองกลับไป คนที่เคยคบกันได้ก็อาจจะยังคบกันมาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเหุตผลที่เลิกก็ยังงงๆ จนตอนนี้คิดว่าคงเป็นโชคชะตา และเป็นสิ่งที่ทั้งเราและเค้าเลือกแล้วแหละ ว่าไม่ได้ลงเอยกัน

4. Forgoing sunscreen อันนี้จบนะ ไม่คิดเสียใจ เพราะไม่ใช่ฝรั่งอยากผิวแทน 555

5. Missing the chance to see your favorite musicians อันนี้ก็ไม่เคยเสียใจ เพราะจนทุกวันนี้ก็ไม่เคยชอบดาราน้กร้องคนไหนเป็นตัวเป็นตนมากพอที่จะเสียเงินเลย! สรุปคือยังไม่เคยไปดูคอนเสิร์ตแบบตั้งใจเสียเงินเลยซักครั้ง เอวัง!

6. Being afraid to do things
เรื่องนี้นึกไม่ค่อยออก เพราะจริงๆ แล้วเราออกจะเป็นคนกล้าบ้าบิ่น ลุยๆมากกว่า แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เคยคิดว่าอยากลองทำแล้วไม่ได้ทำ ก็คงเป็นพวกแบบไปค่ายอาสา volunteer แบบไปคนเดียว ตามเนปาล เอธิโอเปียอะไรงี้ ไม่ก็พวกไปเก็บผลไม้ช่วง summer ที่ฝรั่ง หรือคนญี่ปุ่นเค้าหาแรงงาน

เคยคิดว่าถ้ามีงานที่ไม่ดี และโสด ก็อยากไปลองเป็นเด็กเสิร์ฟใช้ชีวิตที่อเมริกาดู ไม่ก็อยากไปทำงานที่สิงคโปร์ไรงี้ แต่พวกนี้ก็ได้แต่คิดอะ มีหลายคอนดิชั่นที่ทำให้ไม่ลงตัว ก็เลยไม่ได้ทำ

เรื่องที่กลัวสุดๆ ก็คงเป็นเรื่องการเรียนดำน้ำมั้ง เพื่อนๆรอบตัวไปดำน้ำกันหลายคนก็้คิดว่าอยากไปสอบ cer open water diving บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังแอบกลัวอันตรายโลกใต้ทะเล กลัวหอยเม่น กลัวเป็นอัลไซเมอร์ กลัวขาดออกซิเจน สุดท้ายก็เลยไม่ได้เริ่มซักที

7. Failing to make physical fitness a priority
ถึงจะไม่เคยผอมแบบนางแบบ แต่ก็คิดว่าเราเองเป็นหนึ่งในคนที่ดูแลสุขภาพ ถึงบางทีจะแบบขึ้นๆลงๆ ก็ตามที ช่วงที่คิดว่าดูแลตัวเองดีมากคือตอนไปทำงานที่อเมริกาที่ไปฟิตเนสแทบทุกวัน ทำกับข้าวไปกินเอง ด้วยการคุมคุณภาพอาหาร แคลอรี่ทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยม ถึงจะต้องหลุดกิน junk food อาทิตย์ละครั้ง กินเค้กบ้าง กินเบียร์บ้าง แต่การมีสุขภาพแข็งแรง มีหุ่นที่ดีๆ เฟิรืมๆ ก็ยังเป็น หนึ่งใน resolution ของเราเสมอ (ปีนี้ก็ด้วย)

8. Letting yourself be defined by gender role
หัวข้อนี้ดูเป็นอองซานซูจีปกป้องสิทธิมนุษยชนมาก จะบอกว่าการเกิดเป็นคนไทย และเกิดในบ้านที่มีลูกสาวสามคนเนี่ย การเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวหรอกนะ แต่ก็เคยมีบ้างที่คิดว่าถ้าเป็นผู้ชายคงทำอะไรได้สะดวกกว่านี้ อย่างเช่นไปไหนต่อไหนคนเดียว ไปลุยๆ แบคแพคคนเดียว ไปเมาแอ๋ในผับ เที่ยวกลางคืนไรงี้ 

9. Not quitting a terrible job
หัวข้อนี้เราค่อนข้างภูมิใจว่าในอดีตเราไม่ได้ปล่อยให้มันทำร้ายเรา จำได้ว่าตอนครึ่งปีหลังหลังจากที่กลับมาญี่ปุ่น งานที่ได้รับมอบหมายน่าเบื่อมากกกก ดูแล้วคงทนอยู่กับมันไม่ได้ก็เลยตัดสินใจลาออกแล้วก็ได้งานใหม่เป็นงานออดิทแบบที่เคยตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

แล้วก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องการลาออกอีกเลยจนเข้าปีที่ห้าของการทำงาน เป็นช่วงที่คิดว่าจะไป mobility ดีหรือไม่ดี โอกาสเติบโตก็ไม่ค่อยมี งานที่ทำก็ไม่ค่อยได้ไปไหนต่อไหน ก็เลยไปสัมภาษณ์งานใหม่สองที่ ได้การตอบรับที่นึงเป็นบริษัทคู่แข่งตึกตรงข้าม แล้วก็ไปอีกที่นึงเป็นแนวไฟแนนซ์ซึ่งถูกปฎิเสธ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่ต่อ แล้วก็ได้ไปทำงานที่อเมริกาในที่สุด

ถ้าจะเสียใจ ก็กำลังคิดว่า เป็นตอนนี้มั้ยนะ? กำลังคิดว่า ในอนาคตหลังลาออกจากที่ปัจจุบัน เราจะมองกลับมารึเปล่าว่า "รู้งี้" ออกมาตั้งนานแล้ว อะไรประมาณนี้อะ ^^"

10. Not trying harder in school
แต่ข้อนี้เป็นข้อแรกที่รู้สึกเสียใจแฮะ คือไม่ใช่ว่าเราเรียนไม่เก่งหรืออะไร เพราะที่ผ่านๆ มาก็เป็นเด็กเรียนค่อนข้างดี ได้อยู่รร.มปลายที่ดังสุดในประเทศ ได้เรียนมหาวิทยาลัยกับโปรแกรมชั้นดี แต่กำลังคิดว่าถ้าตั้งใจเรียนกว่านี้ ถ้าขยันกว่านี้ ถ้าฉลาดกว่านี้ เราจะได้ไปไกลถึงแบบเป็นนักเรียนทุนคิง ทุนมง ทุน full bright อะไรก็ว่าไปมั้ยนะ? จริงๆ ลึกมากๆ ก็เคยแอบอยากเป็นหมอนะ แต่โดยนิสัยนี่ขี้เกียจอ่านหนังสือตั้งแต่เล็กจนเรียนปโท ก็แทบไม่ค่อยอ่านหนังสือเลย 

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าจะทำได้มั้ย เพราะนิสัยเรามันไม่เหมาะกับวิชาการเลยจริงๆ -_-"

11. Not realizing how beautiful you are
อันนี้เฉยๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองสวย เพราะคิดว่ามองตัวเองตามความเป็นจริง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองหน้าแต่แย่ เหียกสุดๆ เพราะฉะนั้นก็เลยใช้ชีวิตไปตามธรรมดา 

แต่เคยคิดเล็กน้อยว่า ถ้ายอมลงทุนกับเรื่องความงามมากกว่านี้ เช่นลงทุนเรื่องเสื้อผ้า หน้าผม กระเป๋า หรืออะไรต่อมิอะไรด้วย budget ที่คนระดับเงินเดือนเดียวกับเรา หรือเพื่อนๆ เราทั่วไปใช้กันก็อาจจะออกมาเก๋ๆ กว่านี้ก็ได้ แต่ spending ของเราด้านนี้แบบจำกัดมาก ไม่อยากลงทุนกับอะไรแบบนี้เท่าไหร่อะนะ

12. Being afraid to say I love you
คงจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้มี culture บอกรักในครอบครัวมากกว่า เพราะฉะนั้น เรื่องคำหวานๆ หรือคำบอกรักกับพ่อแม่ไม่มีเท่าไหร่ แต่สิ่งนี้ได้ชดเชยกับคนข้างกายแล้วนะ แล้วก็คิดว่าจะทำให้มันเป็นเรื่องๆง่าย เมื่อเรามีครอบครัวของเราเองด้วย

13. Not listening to your parents' advice
อันนี้เราแอบกึ่งฟังกึ่งเถียง เพราะจะ question + challenge ตลอดว่าทำไม เพราะอะไร จำเป็นไหม อันไหนที่เค้าบอกให้ทำแล้วไม่ฝืนก็ทำๆไป แต่อันไหนที่เราคิดแล้วว่าเราอยากทำก็จะทำ ซึ่งครอบครัวเราก็ค่อนข้างให้อิสระด้านนี้ พ่อแม่ไม่เคยตีกรอบบังคับการใช้ชีวิตอะไร เลยเรียกได้ว่าค่อนข้างสบายๆกับเรื่องนี้

14. Spending your youth by being self absorbed
อืมม อันนี้ก็อาจจะนะ เพราะเป็นคนใช้เวลากับตัวเอง ไม่ค่อยได้ไปไหน หรือสนใจใครเท่าไหร่
จะเก็บไปคิดนะ....

15. Caring too much about what people think
ข้อนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่เสียใจเลย เพราะเป็นคนมั่นใจไม่แคร์สื่อด้วยซ้ำ
ถ้าจะเสียใจน่าจะเป็นตรงข้ามกันมากกว่า แต่ก็ไม่ค่อยสำนึกเท่าไหร่ ^^"

พอแค่สิบห้าข้อก่อน ที่เหลือนี่แนวนางฟ้ามากเลย ถ้ามีเวลา และมีอารมณ์จะมาต่อดู แต่คิดว่าสิบข้อแรกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วแหละ

ถ้าใครผ่านมาอ่านก็ลองคิดตามดูเนอะ ว่าเราเสียใจ หรือไม่ กับสิ่งที่ผ่านมา :)

Another step in my life

อาจเป็น step ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้หญิงหลายๆคน ที่เฝ้าฝันและเฝ้ารอคอย
และไม่น่าเชื่อว่า วันหนึ่ง ก้าวสำคัญแบบนี้ก็ต้องมาหยุดเยี่ยมเราให้ได้เจอะได้เจอ

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์แต่งงาน เป็นฤกษ์แต่งงานที่ทางว่าที่คุณแม่สามีไปหามาให้ บอกว่าเป็นวันที่ 26 มกราคม ซึ่งจริงๆก็เป็นฤกษ์สุดท้ายก่อนขึ้นปีชวด เพื่อหนีปีชงของเราในปีหน้า (คือปีมะเมีย) เล่นเอาแบบว่าอีกสี่วันก็ขึ้นปีใหม่จีนเลยนั่นแหละ

พอได้ฤกษ์มาแล้ว ก็มีการเริ่มหาสถานที่จัดงานต่างๆนานา

สิ่งที่ฝัน
1 งานเล็กมากถึงมากที่สุด มีแต่ญาติ
2 เพื่อนก็ไม่ต้องเชิญก็ได้ เอาแค่สมน้ำสมเนื้อ อยากจัดโรงแรมที่เอาอาหารที่เราชอบกินเข้าได้ เช่นข้าวต้มปลา ขนมใบเตย ไอติม ฯลฯ เป็นงานที่เน้นกิน และเน้นง่ายๆ
3 ไม่มีพรีเวดดิ้ง ไม่มีช่างวิดิโอ ไม่ต้องมี cinematography บ้าบอไรนั่น

สิ่งที่พยายาม
1 ไปงานเวดดิ้งเพื่อหาดีลดีๆ กลับเหมือนไปเป็นเหยื่อโดน shark attack มีแต่พวกแพคเกจชวนฝันราคาเหยีบแสน ไม่ต้องบอกก็รู้พวกนี้ไม่ได้แอ้มเงินเราอยู่แล้ว ทำงานหาเงินมาแทบตาย เอาเที่ยวดีกว่าเอาเงินไปลงกับพวกนี้

2 ไปหาโรงแรม เริ่มตั้งแต่โรงแรมขำๆ แถวบ้าน เช่น Banyantree, Chatrium, แม่น้ำ, Millenium Hilton  ดูแล้วไม่ชอบก็เริ่มอัพคลาสไปที่ Plaza Athinee Conrad Shangrila   สุดท้ายว่าที่คุณแม่ฯ ก็ไม่ปลื้ม วกกลับไปที่โรงแรมเดิม คือจบที่ Mandarin Oriental ซึ่งเป็นโรงแรมแรกที่กะว่าไม่เอาแน่ๆ เพราะมันดูตำน้ำพริกละลายแม้น้ำ minimum spending หกแสนเจ็ดแสน (นางยืนยันว่าขั้นต่ำไม่ถึง แต่ที่จ่ายจริงอะไม่แน่)

จริงๆ โรงแรมแต่ละที่ก็ราคาไม่ได้ต่างกันมาก คือตกแล้ว 1200-1500 บาท มีแต่ไอ้โรงแรมที่เราจองได้เนี่ยแหละ ที่ราคาโดดจนน่าตกใจ นอกจากค่าอาหารต่อคนแล้ว ยังไม่รวมค่าดอกไม้ ค่าดนตรี OMG George งบประมาณบานปลายมาก

ไอ้เราก็กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก คือว่าไม่อยากได้แต่ก็ไม่รู้จะปฎิเสธยังไง แล้วอีกฝ่ายก็เป็นผู้ใหญ่ด้วย เลยไม่กล้าขัดขืน ความสุขของพ่อแม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แต่เพราะให้ความสำคัญเราเลยต้องมาเหนื่อยๆ งงๆ อยู่นี่ล่ะ -_-

จริงๆ คือเราไม่เชื่อเรื่องแต่งงานเลย คือว่าคนอื่นถ้าชอบ มีความฝัน มันก็เหมือนเป็นความชอบส่วนบุคคลอะ เหมือนกับการที่รับปริญญาต้องจ้างช่างแต่งหน้าราคาแพง ต้องมีถ่ายพรีปริญญา โพสต์ปริญญา วันจริง วันซ้อม วันถ่ายรวมกับเพื่อนนอกรอบ โว้ยยยยย ขอบอกว่าสำหรับเราเรื่องพวกนี้มัน "Out of scope" มาก คงมากพอๆกับคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ก็คงนึกไม่ออกว่าทำไมเราไม่ให้ความสำคัญกับมันเลย

ย้อนกลับไปตอนรับปริญญาอะ เสียตังให้ช่างแต่งหน้าแถวบ้านทำผม แต่งหน้า 500 บาท (ในขณะที่เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็จ่ายกัน 3,500 นะ) ไม่ได้บอกว่าภูมิใจที่จ่ายถูกหรืออะไรหรอก แต่เพราะเราไม่ได้คิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่อะไร คือว่าคนเราตั้งใจเรียนก็สอบเข้าเอง พ่อแม่ส่งเสีย ไม่ได้เรียนฟรี แล้วไม่ตั้งใจเองมันก็ไม่จบ พอเรียนจบมันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ achievement อะไรขนาดนั้น

และแล้วก็จริงอย่างว่า รูปรับปริญญาอะ สามปีดูที คือดูเมื่อปัดกวาดเช็ดถูฝุ่นเกาะนั่นแหละ -_-"

พอมาตอนแต่งงาน ก็โอเคยอมรับนะว่ามันสำคัญกว่าการรับปริญญามากโขอยู่ เพราะวันรับปปริญญา มีเพื่อนแต่งตัวแต่งหน้าเหมือนกันเป็นหมื่นเป็นพันคน แต่วันแต่งงานดูเหมือนเราจะเป็นจุดสำคัญ จุดสนใจมากที่สุด แบบนี้แหละยิ่งเครียด เพราะไม่อยากอยู่ในสถานการณ์อะไรแบบนั้นเลย

3 ต่อมาก็เรื่องการ์ด โชคดีที่อ่านเนตว่ามีที่ๆเค้าฮิตไปทำการ์ดกันราคาไม่แพง ไปเดินจตุจักรวันนึงก็คิดว่าน่าจะเลือกได้แล้ว

4 ต่อมาก็ของรับไหว้ ไปเดินจตุจักรก็เล็ง้ไว้แล้ว แต่พอมาคุยๆ ว่าที่ฯ ก็บอกว่าต้องดูระดับความอาวุโสของญาติผู้ใหญ่อีก เช่นญาติจีนมากๆ ก็ต้องให้แนวผ้าๆ ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าขนหนู อยู่ดี ....เราก็ "ค่ะ"

5 ต่อมาก็ชุดแต่งงาน อันนี้เริ่มใหญ่ละ คือแม่ม ไปลองชุดมาที่นึง หมายมั่นปั้นมือว่าใกล้บ้าน ราคาไม่แพง ไม่ยัดเยียด แต่พอไปลองแล้ว มันน่าเกลียดเว่อร์ค่ะ ไม่ใช่ชุดน่าเกลียดนะ แต่หุ่นเรามันไม่ได้กับชุดจริงๆ T_T  สิ่งที่เฟลคือ เฟลว่าต้องไปหาที่ต่อๆ ไป และคิดว่าชุดสไตล์ที่ชอบอาจไม่มีที่ใส่แล้วทำให้เป็นผู้เป็นคนได้ เฟลคือไม่อยากลงเอยด้วยการเช่าตัด หรือตัดเก็บ เพราะบอกแล้วว่าไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ ถ้าต้องให้เสียเงินตัดเป็นหมื่นๆ มันเสียได้แหละนะ แต่มันทรมานใจจจจจ เอาเงินไปซื้อทองที่ละบาทสองบาทไม่รู้สึกเสียดาย แต่งานนี้มันบีบคั้นมากๆ

เฟลว่าเมื่อไหร่จะได้ แถมต้องไปลดความอ้วนอีก ถึงจะไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่พอไหลตามน้ำไปแล้ว จะให้ไปน่าเกลียดกลางงานให้คนจ้องก็ไม่่ใช่เราอีก เฮ้อออออ

เรื่องชุดแต่งงาน กับชุดหมั้นเลยเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติตอนนี้เลย (ของเราคนเดียว)
ส่วนคุณเจ้าบ่าว นี่ง่ายแสนง่าย ตัดสูท เลือกสีก็จบแล้ว อยากแลกเพศกันจริงไรจริง

6 step ต่อไป ไหนจะช่างแต่งหน้า ช่างภาพนิ่ง ช่างวิดิโอ (ว่าที่ request ว่าอยากได้) ช่างไฟ organizer
คือในใจก็เริ่มผวาละ ว่านางอุตส่าห์หาสถานที่แพงๆ หรูๆ ให้จะไปทำทอดทิ้งไม่ใส่ใจ ผู้ใหญ่ก็อาจเคืองได้ บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ท่องไว้ๆๆๆๆ ก็เลยเริ่มคิดว่า แล้วตรูต้องหา wedding planner มามั้ยเนี่ย

ประเด็นคือ งกมากกค่ะ ไม่อยากเสียเงินกับอะไรแบบนี้เลย จะซื้อประกัน ซื้อหุ้น เก็บเงิน ซื้อฟิตเนส อะไรมากมายกว่านี้ไม่สนอะ แต่เวลาที่เราต้องมาเสียเงินกับสิ่งที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญ มันรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ทรมานมากๆ คนอยากแต่งงานคงไม่เข้าใจสินะ (แล้วคนที่ยังไม่ได้แต่งงานก็อาจจะไม่เข้าใจด้วย)

นั่นแหละ ขอระบายแค่นี้ก่อน อาจต้องปล่อยวาง...

My 2013 life summary

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เขียน blog มานานมากกก เพราะช่วงต้นปี 2013 มีเหตุขัดข้องทางเทคนิค คือเผลอไปลบ .com ที่เคยลงทะเบียนไว้ แล้วไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ ขี้เกียจติดตามก็เลยเก็บ blog เป็นของส่วนตัว (ยังแอบดีใจที่มันไม่ได้หายไปทั้งหมด แค่โพสต์ให้คนอื่นอ่านไม่ได้เท่านั้น)


มาวันนี้ เวลาผ่านไปเร็วเนอะ เกือบจะครบปีที่กลับมาแล้ว (กลับมาช่วง April 2013) จะว่าไปเป็นปีที่ผ่านไปเร็วมากเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมี life event เกิดขึ้นน้อยมาก ไปไหนต่อไหนมาน้อยมากกก

งั้นขอสรุปเหตุการณ์คร่าวๆที่เกิดขึ้นปี 2013

Jan - March  ทำงานที่ Atlanta ซะส่วนใหญ่ มีโอกาสไป North Carolina + South Carolina อยู่พักนึงก่อนกลับบ้าน

April แพคของเตรียมกลับบ้าน ไปเจอ Kazuko ที่ Tokyo เที่ยวอยู่สามสี่วัน

May กลับมางงๆ จัดของ ปรับตัวกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม

June ไปเที่ยวพม่า พรอ้มเก็บของเตรียม Renovate บ้าน

July  ยุ่งกับโปรเจคนึงที่ดูดวิญญาณเราไป ต้องไปทำงานที่พม่า (เหมือนได้กลับไปอีกครั้งภายในเวลาอันรวดเร็ว

August ไปเทรน sampling specialist ที่ฮ่องกง กับแชมป์ กับ พี่บอย 

September เดือนเกิด แต่หามรุ่งหามค่ำทำงาน มีไป Team Building ที่กาญจนบุรี

October ทำแต่งานมี Year end 30 Sep สองตัว พร้อม SOX deadline ดีที่ปลายเดือนไปเที่ยวญี่ปุ่น trip Fukuoka-Osaka-Beppu แบบที่ไม่ได้วางแผนไว้ แต่ก็เป็นช่วงเบรคที่ดี

November ไปทำงานแหลมฉบัง และ ไปเทรน New Manager Workshop ที่ตรัง

December มี Year end 30 November อีกสองตัว โดยรวมทำแต่งาน ไม่ได้ไปไหน

New Year อยู่บ้านซะส่วนใหญ่ หยุดสี่วันไปเซนทรัลสามที่ -_-"

ช่างเป็นปีที่น่าผิดหวังเล็กน้อย ตรงที่เราไม่ได้เที่ยว ไม่ได้ไปไหนต่อไหน ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เป็นปีแห่งการปรับตัว เป็นปีที่ทรมานมากจริงๆ