Friday, November 11, 2011

ข้อดีของการเป็นสาวโรงงาน ออกจ๊อบต่างรัฐ

ช่วงเดือนก่อนๆ แอบเศร้าซึม เพราะรู้ว่าแพลนในช่วงเดือนธันวา กับ year end ปีหน้าที่ได้เป็นจ๊อบในเมือง 

พูดถึงการออกจ๊อบ ...จะว่าไปการไปจ๊อบต่างจังหวัดที่เมืองไทย หรือต่างรัฐที่นี่ ก็มักเป็นปัญหาให้ออดิทรุ่นน้อยรุ่นใหญ่ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภาระผูกพัน เช่น แฟน สามี พ่อแม่เป็นห่วง ก็ย่อมคิดว่าการไปต่างจังหวัด ทำงานไกลบ้านนี่มันทรมานกันชัดๆ!!

ที่นี่ก็เป็นปัญหาคลาสสิค จะว่าไปก็หนักหนาสาหัสกว่าเมืองไทยซะอีก

เพราะคำว่าไปเช้าเย็นกลับสำหรับที่นี่ (จ๊อบในเมือง) มันหมายถึงการขับรถไม่เกิน 1 ชั่วโมง (บ้านเราถ้าต้องไป ตจว ใช้เวลา 1 ชั่วโมงขึ้นไป ระหว่างอาทิตย์ก็มักจะนอนโรงแรมกันแล้ว)

ถ้าจ๊อบนอกเมือง ก็ตั้งแต่ 2-3  ชั่วโมงขึ้นไป และหนักสุดคือต้องขับรถไปเอง

แล้วเจ้ากรรมที่ Atlanta office ก็ดันไม่ค่อยจะมีจ๊อบในเมืองเท่าไหร่ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็อยู่ที่เมือง หรือรัฐอื่นๆ ที่ต้องขับกันครึ่งค่อนวันทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น การเดินทาง และนอนค้างอ้างแรมก็เป็นเรื่องที่แทบจะเลี่ยงไม่ได้ของคนเมมืองเลยทีเดียว

ทำไมการไม่ได้ออกจ๊อบตจว สำหรับเราถึงเศร้า? พูดไปหลายคนคงไม่ค่อยเข้าใจ

โดยปกติตอนอยู่ที่เมืองไทย เราก็เป็นคนไม่ชอบอยู่บ้านอยู่แล้ว
บ้านไม่ได้มีปัญหา ไม่ได้ขาดความอบอุ่นอะไร แต่เป็นโรคชอบ "นอนโรงแรม"
ข้อดีที่จะลิสต์ให้นั้นมีเป็นหางว่าว (ถือว่าเป็น incentive ให้น้องๆที่โดนจ๊อบตจว จนชินชาแระกันนะ)

1) ได้ Per diem แทนที่จะอยู่เฉยๆ ก็มีเงินค่าขนมเล็กๆ น้อยๆขึ้นมา
     สำหรับที่อเมริกา เราว่ามันไม่ใช่เงินเล็กน้อยนะ มันเยอะเลยแหละ ปกติ per diem ที่นี่ก็จะตามกฎของรัฐบาล ไม่ได้กุ เอ้ย กำหนดขึ้นมาตาม policy บริษัท โดยเฉลี่ยก็ได้ที่ $40-$60 ต่อวันเลยทีเดียว คิดดูว่า ถ้าอยู่ต่างเมืองห้าวันต่ออาทิตย์ จะได้เงินเพิ่มขึ้นมา $2-300 หรือ $1000 ต่อเดือนเลยทีเดียว เงินไทยก็สามหมื่นฝ่าๆ เลยนะ!! (แต่ก็ต้องถูกหักภาษีอีกอะแหละ)

2) ได้ค่า Diff  ด้วย
    ที่เมืองไทยก็จะเบิกได้กรณีที่ ใครคนหนึ่งเป็นอาสาขับรถให้ในทีม
    ที่นี่ต่างออกไป เพราะเค้าไม่มี policy Car Pool ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจมาก ใช้ทรัพยากรกันสิ้นเปลืองซะะะะ แต่ก็นั่นแหละ มันเลยเป็นวิธีสร้ายรายได้ระดับรากหญ้า อย่างเรา ^^"  ถ้าได้ชื่อว่าไปออกจ๊อบนอกเมืองก็หมายถึงว่า มีค่า diff (ที่นี่เรียกว่า mileage) เพิ่มเติมโดยปริยาย

รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
จ๊อบห่างจากเมืองประมาณ 2 ชั่วโมง ต้องขับประมาณ 120 ไมล์ ไปกลับต่ออาทิตย์ 240 ไมล์ ค่าดิฟ หรือ mileage ที่คำนวณออกมาก็ประมาณ ร้อยกว่าเหรียญเลยทีเดียว!!
ซึ่งค่าน้ำมันไปกลับจริงๆ ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

อ้อ แต่ reimbursement นี้ก็ต้องเอาไปเสียภาษี ไม่เหมือนเมืองไทยที่ได้กลับมาาสดๆเลยอะนะ

3) ข้าวเช้าก็ฟรี
    โดยส่วนใหญ่ ถ้าโรงแรมไม่ได้โหดร้ายเกินไป ก็มักจะมีอาหารเช้าไก่กาไว้ให้ โรงแรมที่เคยพักที่เมืองไทย ส่วนใหญ่ก็จัดกันมาแบบเอียนไปเลย
    ส่วนที่นี่ถ้าพักในเครือ Marriott/ Hilton/ Holiday Inn ก็มักจะรวมอาหารเช้าไว้แล้วแหละ
   นอกจากจะได้  Per diem แล้ว ข้าวเช้า หรือค่ากาแฟก็ไม่ต้องจ่ายอีกแน่ะ ^_^ ประหยัด

4) บางมื้อก็ฟรีอีกแน่ะ

ที่เมืองไทย ถ้าออกจ๊อบ ตจว ไปโรงงงโรงงาน ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มักพาไปทานข้าวกลางวันวันเปิดหรือปิดจ๊อบตามธรรมเนียม  เวลา manager/ partner มาเยี่ยมจ๊อบ ด้วยความที่จ๊อบมันห่างไกล ต้องเจาะจงมา ก็มักพาออดิทน้อยอย่างเราๆ ไปเลี้ยงข้าว

ส่วนที่นี่ เท่าที่เคยประสบพบเจอ วันไหน หรือมื้อไหนที่มี partner ร่วมด้วยนี่ฟรีตลอดงาน
ส่วนลูกค้าก็มีเลี้ยงบ้าง (ยกเว้น Healthcare/ Government section ที่มีกฎห้ามเลี้ยงซึ่งกันและกัน เพราะถือว่าเจ้าพนักงานรัฐ ห้ามมีระบบเอื้ออำนวย หรือสินบนเด็ดขาด) 

เพราะฉะนั้น นอกจากข้าวเช้าฟรีแล้ว บางมื้อกลางวัน หรือมื้อเย็นก็ฟรีอีกด้วย

5) ไม่ต้องมาเจอรถติดในเมืองให้วุ่นวาย เดินทางถึงโรงแรมก็แป๊ปเดียว

ที่กรุงเทพ พวกเราต้องใช้เวลาบนท้องถนนมากมาย ถึงแม้บ้านเราจะอยู่ห่างจากลูกค้าไม่กี่กิโล ก็ติดกันเป็นชั่วโมงๆ

ที่ Atlanta ก็ติดไม่ต่างกัน ถึงจะไม่ติดแง่กเหมือนกรุงเทพ แต่ก็ใช้เวลา 30-40 นาทีกว่าจะถึงออฟฟิศในช่วง rush hour การจราจรก็ยุ่งเหยิง แซงไปแซงมาไม่ต่างกัน

พอไปออกจ๊อบตจว ถ้าเป็นเมืองไทยมักจะมีรถตู้มารับ ส่วนที่นี่ก็มักจะจองโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศลูกค้ามากนัก ก็เลยทำให้ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีจากโรงแรม ก็ถึงที่หมายแล้ว สุขภาพจิตดีสุดๆ


 6) ได้นอนโรงแรม
ชอบผ้าปูสีขาว ห้องน้ำ และเตียงนอนที่มีคนทำความสะอาดให้ทุกวัน
มีทีวีเคเบิ้ลให้ดู มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนสที่อยู่แค่เอื้อม
อุณหภูมิห้องก็คงที่ (คือว่าเวลาอยู่บ้านเราพยายามประหยัดโดยการทนหนาวไม่ค่อยเปิด heater เพราะมันเปลืองไฟ แหะๆ)  เพราะฉะนั้นพออยู่โรงแรมก็อุ่นกันให้เต็มที่เลย

7) ได้เห็นเมืองต่างๆนานา การใช้ชีวิต ร้านอาหาร (แบบภาพกว้างๆ)
เวลาเราไปออกจ๊อบที่ไหน ไม่ว่าเมืองไทย หรือที่นี่ ก็มักจะลองหาร้านอาหารที่เรียกว่าเป็นเจ้าเด็ดๆ ของที่นั่น  ที่เมืองนั้นมีห้างอะไร มีของอะไรแปลกๆ ถ้าพอมีเวลาหลังเลิกงานก็จะลองไปดู  อยู่ที่นี่ก็มักจะพึ่ง yelp.com ไปลองอาหาร local แบบคุณปู่คุณย่าสืบทอดกันมา ประมาณนั้น 

ถ้าอยู่ในเมืองก็คงต้องประหยัดโดยการกินกับข้าวทำเอง หรือไม่ก็ food court ง่ายๆ แค่นั้น

ส่วนที่จะหวังว่าได้เที่ยวก็คงไม่ได้เที่ยวหรอกนะ จะมีก็แค่ผ่านๆ เท่านั้นเอง
รู้ว่าเมืองนี้หน้าตาเป็นยังไง มีคนประเภทไหนอาศัยอยู่บ้าง

แต่ก็เป็นข้อดีนะ ถ้าเกิดมันน่าเที่ยว วันนึงคงได้ลาพักร้อนกลับมาเที่ยวเองล่ะ

ส่วนข้อเสียเหรอ ก็มีเยอะเหมือนกัน สำหรับเราขอลิสต์สั้นๆนะ เพราะมันไม่ค่อยจะเป็นข้อเสียที่สำคัญกับเราขนาดนั้น ก็เราอยู่ฝั่งชอบออกตจว คิดได้ไม่เยอะเท่าพี่ๆ น้องๆที่ชอบติดบ้านหรอก
  • ห่างพ่อห่างแม่ ห่างเพื่อน ห่างแฟน คนชอบปาร์ตี้ กินข้าวกับเพื่อนฝูงนี่อาจหดหู่ได้  จุดนี้เป็นจุดแรก และเราว่าแทบจะเป็นจุดสำคัญที่สุดของการตัดสินใจว่า จะชอบ หรือไม่ชอบทำจ๊อบตจวเลยล่ะ  ถ้าผ่านความผูกพันในข้อนี้ได้ อย่างอื่นก็แทบจะไม่เป็นปัญหาแล้ว
  • อันตรายถึงชีวิต!! อันนี้ก็น่าจะสำคัญเป็นอันดับต้นๆ การที่ต้องเดินทางบ่อย ขับรถบ่อยๆ อัตราความเสี่ยงของอุบัติเหตุ มันก็มีมากกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงตัวจะไม่เป็นอะไร แต่รถใช้งานหนักๆ เข้า ถ้ามันตายกลางทาง ยางระเบิด ใครจะมารับผิดชอบ ค่า mileage ที่ได้มาก็อาจไม่คุ้มกัน เพราะฉะนั้น ถ้าคิดเรื่องความปลอดภัยมากๆ การออกจ๊อบตจว ดูจะเป็นเรื่องน่ากลัวมากๆเลยทีเดียว
  • ไม่ได้กินข้าวบ้าน ซื้อเค้ากินตลอด ซึ่งนอกจากราคาโดยเฉลี่ยต่อมื้อจะแพงแล้ว บางทีก็ไม่ดีกับสุขภาพด้วย หลายๆครั้ง ไปทำงานในเมืองที่ไม่มีอะไร อยู่เมืองไทยก็ต้องพึ่ง 7-11 อยู่นี่ก็ fast food (แหลกหล่วน) เท่าที่จะหาได้
  • ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นนะ  บางทีลืมชมพู สบู่ ยาสีฟัน ผ้าอนามัย ก็ต้องมาซื้อใหม่ทุกที กองจนจะเต็มบ้านอยู่แล้วอะ
  • ไม่มีเวลาจัดการงานบ้านระหว่างอาทิตย์ ทำให้วันเสาร์ อาทิตย์ แทนที่จะได้เที่ยวก็ต้องมาเก็บกวาดทำความสะอาด ซักผ้า จ่ายค่านู่นนี่
ชี้ให้เห็นข้อดีข้อด้อยแล้ว ก็ช่างน้ำหนักกันเองนะจ๊ะ
แต่ถึงยังไง ชีวิตออดิท อย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะเลือกได้
เค้าให้ไปไหนก็พยายามมีความสุขกับจ๊อบที่ได้มาแล้วกันล่ะ  คิดบวก ไม่ว่าอยู่ไหนก็มีความสุขได้ :) จริงมะ

ถึงจะพูดงั้น แต่พอรู้ว่า ได้เปลี่ยนจากจ๊อบในเมืองเป็นต่างรัฐไกลถึง Ohio จากที่เคยซึมเศร้า ก็กลับมาคึกคักเลยทีเดียว ^_^"

แล้วจะทัวร์โรงแรม เก็บรูปมาฝากอีกนะ+++

Wisdom and GDC--ตัวช่วยออดิทแห่งยุค

คุณเคยเบื่อบ้างมั้ย ที่ต้องนั่งกรอก invoice/ balance เข้าฟอร์ม confirmation เพราะว่า mail merge มันไม่เวิร์ค ลูกค้าก็ไม่ยอมเตรียมคอนเฟิร์มให้

คุณเคยมั้ย ที่ต้องกรอกตัวเลขจาก Confirmation มาลงในรู Excel เป็นสิบๆ รายการ

คุณเคยมั้ย ที่ manager ให้คุณเทียบงบปีก่อน กับงบปีใหม่
หรือเทียบงบ version 1 กับ version ที่ 18 ของลูกค้า

คุณเคยมั้ย ที่นั่ง Foot เลขจนเครื่องคิดเลขพัง เมื่อยมือสุดๆ งานที่สำคัญกว่าก็ยังไปทำไม่ได้

คุณเคยมั้ย ที่ต้องกรุ๊ป Leadsheet  หรือ mapping GL ใหม่กับ GL เก่าเพื่อให้มันเทียบกันได้

ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ด้วยการใช้บริการ GDC!!!

แหะๆ เปิด Intro ไปแล้วมาเข้าตัวเนื้อเรื่องบ้างแระกัน

อยู่มาจะสามเดือนแล้วเนี่ย

จริงๆ มีเรื่องอยากเขียนเยอะแยะ แต่พอกลับบ้านมาไม่ค่อยได้ใช้คอมพิวเตอร์
ส่วนใหญ่ก็จะเปิด iPad ดู Netflix ตอนนี้ที่ดูก็ดู Grey's  Anatomy Season7 อยู่ ยังตามของปัจจุบันไม่ทันซักที แล้วก็ทำกับข้าว อ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อย

รู้ตัวอีกทีก็ไม่ได้เขียน Blog มาเป็นอาทิตย์ๆ แล้วแน่ะ

คราวนี้มีเรื่องที่น่าสนใจ และเห็นว่าเป็นสิ่งที่เมืองไทยไม่มี

เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ Audit ที่ออฟฟิศ

ผ่านมาประมาณหนึ่งเดือนแล้วที่ได้ทำงานแบบเป็นผู้เป็นคนกับเค้า ถึงจะไม่ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการ รับผิดชอบเยอะแยะแบบที่เมืองไทย แต่ก็เรียกได้ว่ามีเรื่องใหม่ๆ ที่ให้เรียนรู้ทุกวันเลย

สิ่งใหม่สิ่งนี้ที่ไม่เห็นในเมืองไทยก็คือ GDC ที่ไม่มีอาจเป็นเพราะค่าตัวพวกเราก็ถูกแสนถูกอยู่แล้วก็ได้ ไม่เหมือนกับค่าแรงของประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ว่าอะไรก็เป็นเงินเป็นทองราคาหูฉี่ทั้งนั้น มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า

GDC คืออะไร

GDC ย่อมาจาก Global Deliver Center เป็นศูนย์ support ที่อยู่ที่อินเดีย เพราะฉะนั้น พนักงานที่ support ก็จะเป็นคนอินเดียนั่นเอง

GDC เอาไว้ทำอะไร

ด้วยความที่ค่าแรง auditor ที่นี่ก็แพงมิใช่น้อย อย่าง senior แบบเรา ค่าตัวชั่วโมงละหลายร้อยเหรียญแน่ะ (แต่ก็ไม่ได้ได้เงินเดือนตามนี้นะ มันเป็นแค่ Standard rate)

เค้าบอกว่า 1 ชั่วโมงของ US Auditor = 2 ชั่วโมงของ GDC เพราะฉะนั้น งานอะไรที่ต้องใช้เวลา ถึก อึด ถมกันเข้าไป ก็ให้ GDC ทำจะช่วยประหยัดเวลา และค่าแรงของทีม audit ที่นี่ได้มากเลยทีเดียว

GDC ทำอะไรได้บ้าง

สิ่งที่มักจะให้ GDC ทำก็จะเป็นงานที่ ไม่ต้องใช้การพินิจพิเคราะห์ ( non-judgemental), งานที่ไม่ได้เป็นจุดเสี่ยงของจ๊อบ (non-critical)  เพราะหลายๆ section อย่างการตรวจสอบรายได้ หรือภาษี ก็มักจะไม่ส่งให้ GDC ทำ เพราะเป็นจุดเสี่ยงของ audit อย่างเราๆ

ตัวอย่างงานที่มักป้อนให้ทำ ได้แก่
  • footing/ cross-footing งบการเงิน หมายเหตุประกอบ และบวกตารางต่างๆ
  • เทียบเลขปีนี้ กับงบปีก่อน เทียบตารางปีนี้กับปีก่อน
  • เทียบงบการเงินกับงบทดลอง
  • เทียบรายละเอียดใน GL กับงบทดลอง
  • recalculate
  • เทียบงบ กับ template
  • ทำ lead sheet เทียบเลขเพิ่มขึ้นลดลง
จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เมืองไทยมักเป็นงานที่ให้น้องๆ Junior/ trainee ทำ ไม่ก็เป็นงาน manager ในวินาทีสุดท้าย  เป็นงานง่ายๆ แต่ต้องใช้เวลา และความละเอียดพอควร การที่มีมือที่สามมาช่วยเหลือ ก็จะช่วยแบ่งเบาความสาหัสช่วง year end ได้มากทีเดียว


GDC มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนหลักๆเลย คือ

1) Planning ทางทีม audit ต้องวางแผนว่าจะให้เค้าทำอะไรบ้าง
ขั้นตอนนี้ก็ยุ่งยากพอควร คือต้องเขียน instruction/ manual แบบละเอียด เหมือนกับให้คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เห็นเอกสารของเราแล้วทำได้ โดย procedures ทั่วไปที่ฮิตๆให้ GDC ทำก็จะมี templeate/ form ไว้ให้ใน intranet อยู่แล้ว ก็ไปดาวน์โหลดมาแล้วก็เอามา customize ได้

นอกจากนี้ยังรวมถึงการวางแผนเวลา และจำนวนชั่วโมงที่จะใช้ด้วย เพราะหน้า yearend GDC ทีมเองก็อาจจะขาดคนได้เหมือนกัน

2) Getting approval ที่สำคัญ ต้อง "ขออนุญาต" จากลูกค้าของเรา อธิบายให้เค้าเข้าใจว่าทำไมถึงต้องใช้ GDC และเอกสารไหนบ้างที่จะต้องส่ง offshore ออกไป (ส่ง email ก็เรียกว่าเป็นการส่งข้ามเขต ออกนอกสหรัฐฯ)  เพราะลูกค้าบางที่ หรือบางกิจการก็อาจมีข้อจำกัดห้ามส่งข้อมูลออกนอกประเทศ แบบนี้ก็จะใช้ GDC ไม่ได้

3) Launching จะเป็นช่วงส่งงานให้ทำ คอยติดตามว่ามีปัญหาอะไรมั้ย และประเมินผล

จากนั้นก็จะมีระบบ webbase ที่เรียกว่า "WISDOM" เอาไว้ tracking งานอย่างเป็นระบบ แทนการตามจิกโดย email นั่นเอง

เราเองยังไม่ได้เริ่มใช้งานจริงๆ แต่แค่ลองวางแผนกับเพื่อนในจ๊อบไว้ว่า ช่วง year end จะให้ทีม GDC ช่วยอะไรได้บ้าง  อย่างน้อยก็เชื่อได้ว่า เราไม่ต้องมานั่ง footing อะไรมากมายอีก เหมือนมีลูกมือในยามวุ่นๆนี่ ก็น่าจะโอเคเลย

จะว่าไปในเมืองไทยก็น่าจะคล้ายๆกับพวกพี่ Typist นะ แต่ว่าพี่ๆ ห้องพิมพ์ไม่ได้ช่วยบวกเลข หรือดูที่ผิดให้นินา แล้วแนวโน้มของการใช้ GDC ของที่นี่ก็คือจะพยายามเริ่มให้ทำงานที่ยากขึ้น หรืออาจต้องใช้ความคิดบ้าง

ถึงเวลานั้น จะมีมาตั้ง GDC ที่เมืองไทยบ้างมั้ยนะ จะว่าไปพวกเราผันตัวเองเป็น GDC ก็ไม่เลวทีเดียว แหะๆ