Saturday, July 16, 2011

Before i go (5) เริ่มต้นทำความรู้จักกับนายจ้างคนใหม่ นามสกุล LLP

ความเดิมตอนที่แล้ว คือ เริ่มทำเรื่องเกี่ยวกับเอกสารขอวีซ่า

หลังจากที่กรอกเอกสารเสร็จ ก็จะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการเตรียมตัว transfer คือการที่ทางบริษัทที่อเมริกาต้องเริ่มแนะนำตัวให้เราทำความรู้จักคุ้นเคยว่าที่ระบบต่างๆที่ไทยกับอเมริกานั้นต่างกันยังไงบ้าง

>>>>>>>>>>>>>>>>>
LLP ถ้าใครเคยได้เห็นผ่านหูผ่านตาบ้าง จะเห็นได้ว่าบริษัทสัญชาติอเมริกา และเป็นของอเมริกาหลายๆแห่งจะลงท้ายด้วย LLP ซึ่งมันย่อมาจาก "Limited Liability Partnership" คำแปลก็แสนตรงตัว คือการที่เป็นการร่วมหุ้นแบบจำกัดหนี้สินนั้นเอง ดูๆแล้วน่าจะคล้ายกับหจก บ้านเราเนอะ

หลังจากที่ตกปากรับ job offer มาได้ซักพัก ทาง HR ของบริษัทที่อเมริกา ก็ส่งรายละเอียดเป็น link มาให้
โดยเอกสารแรกที่เราต้องกรอกจะมาเป็นรูปแบบออนไลน์ เรียกว่า "NEWCOMER document" เป็นเอกสารให้กรอกง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปของเรา แต่ที่แอบขำไม่ได้คือ ความช่างใส่ใจในความเป็นปัจเจกบุคคลของพนักงานซะมากมาย

มีคำถามว่าเรายินยอมที่จะบอกว่าเราเป็นคนพิการหรือไม่ ?

เรามีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานกับบุคคลที่ต่างชาติ ต่างสีผิวหรือไม่ ?

และที่ฮาที่สุดคือ เราเป็นสมาชิกของ GLBT หรือไม่ อ่านแรกๆก็งงว่าคืออะไร ซึ่งคำย่อของสิ่งนี้ก็คือ "Gay Lesbian Bi-sexual Transgender"  นี่เอง -"-  (นึกในใจถ้าเราเป็นทำไมต้องบอกด้วยฟระ) เค้าอาจจะเอาไปเข้ากลุ่มทำงานกับคนที่เหมือนๆกัน แบบที่บริษัทเราพยายามทำ Strength Finders ก็ได้นะ

จำไม่ได้ว่ามีคำถามเกี่ยวกับ HIV และโรคติดต่อรึเปล่า เพราะเวลากดส่งไปแล้วมันกลับมาดูไม่ได้ (ไว้จะให้พี่ๆที่ทำหลังเราลองเอามาแชร์ดูด้วยแล้วกัน)

คำถามพวกนี้เป็นคำถามที่เราเชื่อว่า พนักงานไทยส่วนใหญ่ไม่มีทางเคยถูกถามแบบนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าเราเคยทำงานบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งก่อนที่จะมาเข้าทำงานที่นี่แล้วก็ตาม ก็ไม่เคยได้ยินคำถามฮาๆแบบนี้

นอกจากนั้น ก็ยังมีคำถามซีเรียสเพิ่มเติมที่จะต้องใช้ e-signature เซ็นต์อีกหลายอย่าง เนื่องจากบริษัทเราเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านวิชาชีพ และเกี่ยวข้องกับข้อมูลความลับลูกค้า ทีต้องเซ็นเพิ่มเติมก็พวก
- การใช้ Intellectual Properties คือสัญญาว่าจะไม่แอบแฮบข้อมูล หรือวิธีการต่างๆไปขายหรือเอาไปใช้ทางการค้า
- ความเป็นอิสระ คือไม่ได้มีส่วนได้เสียกับบริษัทต่างๆ ถือหุ้นที่บริษัท listed ในอเมริกา (คงมีปัญญามีอะนะ 555)
- เซ็นรับรู็ว่าบริษัทเราเป็นบริษัทที่ "Drug free workplace" ติดยาต้องลาออกว่างั้น
- รับรู้นโยบายเรื่อง Harassment ในที่ทำงาน คือพวกการใช้ความรุนแรงไม่ว่ากาย วาจา หรือลวนลามทางเพศ (sexual harassment) ต้องได้รับโทษตามที่กำหนดไว้

หลังจากเซ็นสัญญาพวกนี้เสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีโซ่ตรวนเพิ่มขึ้นอีก ก่อนที่จะรู้สึกมีภาระผูกพันมากไปกว่านี้ ก็กดไปอ่าน Benefits อื่นๆ ที่บริษัทมีให้บ้างดีกว่า (น่าจะรื่นเริงขึ้น)

1) ประกันสุขภาพ
เชื่อว่าบริษัทอเมริกาส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ในขณะที่บริษัทเราที่เมืองไทยได้เหมาจ่าย BUPA ประกันสุขภาพส่วนบุคคลให้เราโดยที่พนักงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรถ้าอยู่ในวงเงิน และเงื่อนไขตามที่ประกันกำหนด  บริษัทที่อเมริกาก็เช่นกัน พนักงานทุกคนได้สิทธิประกันขั้นพื้นฐาน เช่น การชดเชยเมื่อตาย หรือพิการจากการทำงาน การประกันสำหรับการเดินทางทั่วไป
นอกเหนือจากนั้น บริษัทยังมี option เพิ่มเติมให้เลือก (และจ่ายเงินเอง) เนื่องจากการหาหมอที่นี่ ไม่ว่าจะหมอฟัน หมอทั่วไป หมอตา แพงโคตรรรๆๆ  ดังนั้นการทำประกันที่นี่ถือว่าเป็นจุดสำคัญมากๆ ที่จะต้อง study และตัดสินใจเลือก


ตอนนี้ยังไม่ได้อ่านละเอียดเลย เพราะมีโบรชัวร์มาประมาณ 36 หน้า ก็จะบอกเงื่อนไขต่างๆว่าเบิกอะไรได้บ้าง อย่างเช่น ทำฟันถ้าจ่าง Dental PPO จะได้สิทธิอะไรบ้าง

ที่อ่านแล้วแว๊บๆ อย่าง EyeMed Vision Care ก็คือถ้าเราจ่ายเพิ่ม $5 ต่อเดือน เราจะได้สิทธิในการตรวจสายตาปีละครั้ง มีสิทธิ์เบิกแว่น หรือเลนส์สายตา 1 คู่ต่อปี ประมาณนี้ (คือการตัดแว่น และซื้อเลนส์ที่นี่จะต้องได้รับคำสั่งจากแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถเดินดุ่มๆไปซื้อได้) 

ก็เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องอ่านเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง และในใจหวังว่า ไปอยู่นั่นปีสองปีคงจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตและร่างกายเราขึ้นจนต้องใช้สิทธิพวกนี้หรอกนะ -_-

2) CSR activities
อย่างที่รู้ๆกัน ว่าบริษัทมะกันเนี่ยมันคลั่ง CSR ขนาดไหน บริษัทเราที่นู่นก็เอาด้วย คือมีนโยบายส่งเสริมให้พนักงานร่วม CSR เช่น เป็นอาสาสมัครที่สภากาชาด (American Red Cross) และอื่นๆ ตามที่บริษัทมีโครงการร่วมกันไว้ โดยให้สิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมในเวลางาน 1 ชั่วโมงต่อเดือน และไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อปี
เป็นข้อดีเหมือนกันที่จะมีโอกาสให้พนักงานได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมแบบจริงจังบ้าง :)

3) AWAs Alternative Work Arrangements
เป็น policy สร้างความยืดหยุ่นในการทำงานให้พนักงาน มีทางเลือกหลายๆแบบในการทำงานให้ เช่น flexitime (เข้า 8 ออก 5 เข้า 9 ออก 6 ประมาณนี้) ซึ่งมันเหมาะกับพนักงานบางคนที่รถติดช่วง peak time หรือต้องไปส่งลูกเช้า หรือรับลูกเย็น จะได้มี option ในการบริหารเวลาได้มากขึ้น
Compressed work week คือให้ทำงานน้อยวันลง แต่ช่วงเวลายาวขึ้น เพื่อให้มีเวลาตามที่ต้องการมากขึ้น

มีพี่ๆที่เคยไปโปรแกรมนี้มาเล่าให้ฟังว่า ช่วงหน้าร้อนเค้าจะมีการปรับเวลาให้พนักงานเลิกเร็วขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนได้ใช้ weekend ในการไปเที่ยวเล่นได้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อชดเชยกับหน้าหนาวที่เวลางานมักยาวและหดหู่กว่าปกติเสมอ ^_^ อันนี้เก๋มักๆ  ไม่รู้เมืองที่เราไปอยู่จะมีด้วยรึเปล่านะ

4) Share leave program
อันนี้ก็แอบเก๋ดี คือให้เราบริจาควันหยุดเราได้เพื่อให้เพื่อนร่วมงานกรณีที่เค้าต้องลาหยุดยาว ด้วยเหตุผลที่จำเป็นเช่น ป่วย หรือครอบครัวมีปัญหา (คิดว่าฝรั่งคงลำบากน่าดูที่ต้องหยุดยาวๆ แล้ว leave without pay เนื่องจากทุกคนต้องทำมาหาเลี้ยงตัวเองจริงๆ)  แหะๆ แอบคิดว่าถ้าให้เพื่อนขาย leave ให้เราด้วยน่าจะดีนะ เราจะได้เที่ยวเยอะๆไง :p

5) others
มีปลีกย่อยอีกเยอะมากกกกก รวมถึงพวก tax consult,  ส่วนลดฟิตเนส และร้านค้าที่ออฟฟิศสมัครไว้, โปรแกรมเกษียณอายุ, Long-term service awards อะไรพวกนี้ 
ที่แอบคิดก็คือ ตอนนี้มันดูดีใช่มั้ย พอไปจริงๆ จะมีใครได้ใช้จริงๆป่าวหว่า อย่างพวก long-term awards ให้พนักงานที่อายุงานยาว พอไปทำงานจริงก็อยากรู้เหมือนกันว่า พนักงานที่นั่น turnover สูงเหมือนบริษัทที่เราทำอยู่รึเปล่าน๊า :)  (ถามคนเดียวเงียบๆในใจ)

Thursday, July 14, 2011

วิธีทำให้แท็กซี่แดง หุบปาก... (Credit: Chatbovon Love King)

ผู้โดยสาร: ไป...ครับ

แท็กซี่: โอเค...น้องๆ ตั้งแต่เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล อะไรๆก็ดีขึ้นอะ ไอ้นู่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี บลาๆๆ... อภิสิทธิ์ไม่ได้เรื่อง ไอ้นู่นก็เลว ไอ้นี่ก็เลว บลาๆๆ...

ผู้โดยสาร: เอ่อ...

แท็กซี่: ทักษิณเป็นพระเจ้า ยิ่งลักษณ์เป็นนางฟ้า อภิสิทธิ์เป็นซาตาน บลาๆๆ...

ผู้โดยสาร: คือ...

แท็กซี่: ทักษิณอัจฉริยะ ยิ่งลักษณ์ฉลาดโคดๆ อภิสิทธิ์โง่เง่า บลาๆๆ...

ผู้โดยสาร: พี่ครับ!!!

แท็กซี่: ว่าไงน้อง

ผู้โดยสาร: ผมก็ชอบนโยบายเค้านะพี่ ผมว่ามันดีมากๆเลย

แท็กซี่: ใช่เลยน้อง

ผู้โดยสาร: เนี่ยโดยเฉพาะนโยบายลดภาษีรถคันแรก พี่คิดดู นิสสันมาร์ชตัวท็อบคันละสี่แสนนิดๆ ลดภาษีไปแสนนึงเหลือแค่สามแสน ยิ่งถ้าเป็นรุ่นล่างๆหน่อย เหลือแค่สองแสนกว่า แถมไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินผ่อน เพราะมีนโยบายเงินเดือนขั้นต่ำหมื่นห้า ทีนี้ใครๆก็ซื้อรถได้แล้ว ใช่มั้ยพี่

แท็กซี่: อืม ใช่ๆ

ผู้โดยสาร: แถมยังมีนโยบายราคาน้ำมันไม่เกิน 35 บาท ทีนี้ละ จะได้มีรถขับกันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่แบบนี้ผมก็ไม่ได้ขึ้นแท็กซี่แล้วล่ะ และพี่ก็คงจะยิ่งขับยากขึ้นละ เพราะรถมันเต็มถนน รถติดไปทุกที่ แล้วรถพี่ใช้ lpg รึป่าว เนี่ยเค้าจะปล่อยลอยตัวแล้วจะ ราคาน่าจะพอๆกับเบนซินนี่แหละ พี่ก็ลำบากหน่อยนะ

แท็กซี่: เอ่อ...

ผู้โดยสาร: อ๋อออ แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ เค้าประกันราคาข้าวเกวียนละหมื่นห้าเหมือนกัน พี่จะกลับไปปลูกข้าวทำนาที่บ้านก็ได้ ราคาดีอยู่ แต่ก็ระวังหน่อยนะพี่ ถ้าน้ำท่วม เพลี้ยลง หรือโดนขโมยเกี่ยวข้าว ไม่มีข้าวไปจำนำ พี่ก็อดนะ เพราะเค้าไม่ให้พี่ประกันรายได้แล้ว เพราะนโยบายมันกาก อภิสิทธิ์โง่ คิดได้ไงไม่รู้

แท็กซี่: คือ...

ผู้โดยสาร: หรือพี่จะมาหางานรับจ้างอย่างอื่นทำก็ได้นะ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 แน่ะ เดือนนึงได้ตั้ง 9000 แต่พี่ก็ต้องขยันๆ หน่อยนะ เห็นได้ข่าวว่าตอนนี้พวกเขมร กำพูชา เข้าประเทศไทยเพราะอยากได้ค่าแรง 300 แล้วทักษิณก็บอกว่าให้เฉพาะในกรุงเทพนะพี่ พี่ก็ต้องมาแย่งชิงหางานกันในกรุงเทพนี่แหละ อยู่กันเยอะๆ อบอุ่นดีนะพี่ ว่ามั้ย

แท็กซี่:....

ผู้โดยสาร: นโยบายเพื่อไทยเทพมากๆอ่ะ คิดได้ไงไม่รู้ ผมล่ะรักทักษิณมากเลย ยิ่งลักษณ์ก็เหมือนกัน ทำไมถึงเพิ่งมาก็ไม่รู้ ถ้าตอนที่ทักษิณเป็นนายกแล้วยิ่งลักษณ์มาช่วย บ้านเมืองเราจะเจริญขนาดไหน ป่านนี้ผมคงขับรถไปทำงานเอง ไม่ต้องมารบกวนพี่ให้ไปส่งหรอก

แท็กซี่:....

ผู้โดยสาร: อ่าวพี่ ทำไมเงียบอะ ...พระเจ้าไง ทักษิณน่ะ อัจฉริยะโคดๆ หล่อก็หล่อ รวยก็รวย...พี่... (อิอิ อุอุ อะอะ สะจายยย)

Before I go (4) เยอะอะกว่าจะได้ไป วีซ่านั้นสำคัญไฉน

วันนี้เป็นวันหยุดประจำปีเนื่องในวัน อาสาฬหบูชา ก็เลยมีเวลาตื่นสายหน่อย อยู่บ้านมากหน่อย

นับจากนี้อีก 1 เดือนก็จะถึงเวลาต้องไปจริงๆแล้ว
เป็น 1 เดือนที่ยาวนาน และมีอะไรเยอะๆๆๆ จริงๆ

ที่เยอะเรื่องงานที่นี่ก็เพราะว่า ตั้งแต่ต้นเดือน งานที่เราทำโดนเลือกสุ่มไปตรวจตราคุณภาพประจำปี เพื่อดูว่างานที่ทำมานั้นได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็นรึเปล่า ก็ต้องมีมาทวนดู แก้งานเพื่อให้พร้อมตรวจสอบบ้าง อันนี้ไม่เท่าไรเพราะว่า reviewer เป็นพี่ๆในบริษัทเดียวกัน

เด้ง 2 ก็มา พอโดน internal review แล้วก็จะมีการสุ่มเลือกคนที่ถูกเลือกเป็นตัวแทนให้ external reviewer อีกที
external reviewer ก็จะเป็นตัวแทนจากบริษัทที่อยู่เมืองนอกมาเยี่ยมเมืองไทยเพื่อตรวจสอบงานแบบเดียวกับด้านบน   บร๊ะเจ้าาา!!! เราโดนอีกแล้ว -_- แล้วเป็นสถิติที่แย่มาก คือถ้านับกันแล้วงานที่โดนตรวจนั้นเรียกว่า เป็น 5 จ๊อบ จาก 1,000 จ๊อบเลยทีเดียว   ....ซื้อหวยจะถูกมั้ยเนี่ยยย

ที่เยอะเรื่องการเตรียมตัวไปอเมริกา
เยอะแรก   กรอกเอกสารเพื่อทำ visa + work permit
    อย่างที่รู้กันดีว่าการไปทำงานหน้าชื่นตาบานที่นั่นนั้นไม่สามารถใช้วีซ่าท่องเที่ยวได้ โดยกรณีของเราจะต้องขอวีซ่าประเภท L-1 ซึ่งเป็นวีซ่าทำงานประเภท Intracompany transfer 

จุดประสงค์จริงๆของมันก็คือเป็นการ transfer แรงงานต่างด้าว เข้าประเทศอเมริกาเพื่อไปทำงานที่ "คาดว่า" คนอเมริกาเองทำไม่ได้ หรือให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือ ความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของเรานั้นเลอค่ากับบริษัทที่อเมริกานั่นเอง

ฟังดูไฮโซ และเหมือนยิ่งใหญ่ใช่มะ (^_^") แต่จริงๆแล้วก็คือ ถ้าไม่ขอวีซ่าโดยอ้างว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ สถานทูตอเมริกาก็คงไม่ approve ให้ไป เนื่องจากแรงงานเค้าก็เยอะแยะแล้ว ทำไมต้องจ้างต่างด้าวอย่างเราไปทำงาน (ภาษาก็ไม่แข็งแรง หน้าตาก็แปลกๆ แถมต้องออกค่าใช้จ่ายให้พนง.ต่างชาติเพิ่มด้วย)

การขอวีซ่า ก็อย่างที่ทุกคนรู้ๆกัน ว่าเป็นงานเอกสารซะส่วนใหญ่ สิ่งที่ต้องเตรียมก็อย่างเช่น
1) Passport (ทุกหน้า)
2) Job description ของตัวเราที่เมืองไทย ว่าอยู่ที่นี่ทำไรบ้าง แบบละเอียด อันนี้ประมาณ 5 หน้า A4
    คำถามที่ต้องตอบก็อย่างเช่น
    -- หน้าที่ที่ทำงานคืออะไรบ้าง อธิบายอย่างละเอียด
    -- มีลูกน้องกี่คน
    -- หน้าที่ที่เราทำมีผลกับองค์กรมากขนาดไหน
    -- หน้าที่ที่เราทำถือว่าเป็นระดับไหนในองค์กร
    แล้วมันก็จะมี questionaire list คำถามเพิ่มเติมให้ตอบ yes/ no

        ก็ต้องพยายามถูไถตอบกันไป เนื่องจากทุกสิ่งที่กล่าวมานั้น ต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย

......คิดว่าจบและนอนรอวีซ่าแล้ว  ......แต่ไม่เลย!!!!

  หลังจากนั้นก็มีสำนักงานกฎหมายที่บริษัทที่อเมริกาแต่งตั้งให้เป็นคนทำเรื่อง immigration ติดต่อมาว่าไอ้ 5 หน้านั้นยังไม่พอ T_T  เค้าก็บอกว่า กรุณาตอบคำถามเหล่านี้เพิ่มเติม

1. Are there any company's specific processes, products, methodologies, etc. that you utilize and will utilize in the United States (i.e. Methodology, Audit Manual, eAudit, Dialogue, Vector, ARO, ALex, Interpreter, DataMart or any other?  If so, please describe in very specific detail your application of these processes/products/methodologies in carrying out your duties abroad as well as how you will utilize them in carrying out your duties in the U.S.  
บร๊ะเจ้าา  ต้องอธิบายด้วย ว่าเราใช้ application อะไรในการทำงานบ้าง ที่ถามๆ มา ใครอยู่ในเครือบริษัทเดียวกันก็ต้องใช้เป็นสิ!!

2. Do you have specialized and/or advanced knowledge of a process, product or methodology of a sophisticated nature that is not necessarily specific to the company but is not common throughout the industry?  If so, kindly elaborate.  Please also explain how this knowledge gained will be important to your position in the U.S. and how it will be utilized.  
ถามว่า เรามีความสามารถ ความรู้ ความเชี่ยวชาญอะไรพิเศษที่มันเจาะจงมากๆ ที่คนอื่นเค้าไม่ได้มีกัน และคิดว่ามันสำคัญยังไงกับการทำงานที่อเมริกา

  (((O_O))) ม่ายยย หันมามองดูตัวเองแล้วก็รู้สึกว่า ที่จะไปเนี่ย มีแต่จะไปเอาความรู้ ประสบการณ์ แทบไม่มีอะไรจะไปแชร์ได้เลย ถามมาแบบนี้ ก็ต้องใช้วิชาสตอเบอร์รี่ 101 ตอบไปสิ!!!

3. Do you possess knowledge that is valuable to the employer's competitiveness in the marketplace?  If so, please explain. คำถามนี้แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจอีก ถามว่าเรามีความรู้อะไรที่มีค่าและสามารถเป็นแต้มต่อให้นายจ้างได้
ถามแบบนี้ ก็งัดวิชา สตอเบอร์รี่  102 ตอบไปอีก

4. Are you qualified to contribute to the U.S. employer's knowledge of foreign operating conditions as a result of special knowledge not generally found in the industry?  If so, please explain.
คำถามซ้ำซ้อน ถามแทงใจรอบสองว่า แล้วต่างด้าวอย่างเราจะทำอะไรให้นายจ้างได้บ้าง :'(

5. Has the Company utilized your services in a capacity involving significant assignments which have enhanced the employer's productivity, competitiveness, image or financial position in the marketplace?  If so, please explain.
แล้วก็ถามซ้ำอีกว่าแล้วบริษัทจะได้ใช้ความสามารถของคุณให้เกิดประโยชน์ในด้านไหนได้บ้าง

6. Do you possess knowledge that you could only have gained through your experience with KPMG?  If so, please explain why and, in your opinion, how long would it take for a new employee to gain sufficient specialized knowledge to adequately perform the duties of your position?

อันนี้ก็ถามเข้าท่าหน่อย คือถามว่าความสามารถอย่างเราเนี่ย ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะสอนสั่ง  transfer งานให้คนอื่นได้

คือ ถ้าตอบว่าไม่นาน มันก็คงคิดว่า แล้วแกจะมาทำไม อยู่เมืองไทยไปอะดีแล้ว
ก็เลยต้องใช้ สตอ ขั้นกลางตอบไป ว่าความรู้อย่างเราต้องใช้เวลา สองสามปี ถึงจะหาคนมาแทนเราได้  (ว่าไปนั่นนน)

ถามมาแค่ 6 คำถามสั้นๆ แต่ที่ตอบไปก็ได้อีก 3 หน้า A4

ส่งกลับไปจนตอนนี้สองเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้วีซ่าเลย  T_T เมลถามครั้งสุดท้าย lawyer บอกว่ากำลังดำเนินการให้สถานทูตอเมริกาทำอยู่ ถ้าเรียบร้อยกลับมา เราก็ต้องเอาไปยื่นที่สถานทูตในไทยอีกที

จะเห็นได้ว่างานเอกสารพวกนี้ก็ต้องใช้ความรู้ภาษาอังกฤษพอควร ไอ้จะให้เพื่อนฝรั่งช่วยแต่งช่วยดูคงไม่ใช่เรื่อง ไปขอ copy ใครก็ไม่ได้ และคำถามพวกนี้ก็คิดว่าบางจุดต้องเป็นตัวเราที่ต้องตอบเท่านั้น

จึงกลับไปที่การวัดภาษาอังกฤษว่า ควรจะฝึกฝนให้ได้โอเคในระดับหนึ่งจริงๆ ไม่งั้นกรอกจนเพลียกันไปเลยทีเดียว 

ที่เขียนมานี้เป็นแค่เอกสารแรกๆที่เป็นทางการที่เราต้องกรอกเพื่อให้ได้เข้าประเทศ

แล้วจะเล่าให้ฟังต่อว่ามีเอกสารอื่นๆ อะไรอีกบ้าง
(ใบ้ให้ว่าอีกสิบกว่าอย่างที่ต้องกรอก.....)

แต่ก็ต้องบอกตัวเอง ว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่ขี้เกียจกรอกจนไม่บินหรอกใช่มั้ย?? :)

Before I go (3) รอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ

ความเดิมตอนที่แล้ว

 หลังจากสมัคร และได้รับการ assign เมืองเรียบร้อย
      หลังจากเริ่มดูบ้าน ดูที่พัก ดู shopping malls ดู super markets ดู location Walmart, IKEA
          หลังจากเริ่มค้นหา วัดไทย ตลาดจีน และ Thai Community ตาม pantip
                หลังจากเริ่มมีเพื่อนประมาณห้าคน
                      หลังจากทำใจ เตรียมใจ และอะไรหลายๆอย่าง.....

คืออยู่เฉยๆ ตื่นเช้าขึ้นมาวันที่ 29.06.2011 ก็มีเมลสายฟ้าฟาดมาจากที่อเมริกา
ง่ายๆสั้นๆ

Hello Toffee,

I understand you have been assigned to a different US office.  

อ่านแล้วประมวลผล แปลว่า ถูกย้ายเมืองจาก
Charlotte, North Carolina  เป็น  Atlanta, Georgia   (((O___________O))))???
ทำไม อะไร ยังไง  นี่มันอีกเดือนฝ่าๆ ก็จะออกเดินทางแว้วนะ >_<
มิรอช้า เปิด google  search ไปเลย

"ATLANTA, GEORGIA"

แล้วก็ rerun คำถามเดิม คือ มันคือเมืองอะไร อยู่ไหนฟระ???

คร่าวๆ เกี่ยวกับ Atlanta http://en.wikipedia.org/wiki/Atlanta
ปรากฎว่า ใต้หนักกว่าเก่า คือใกล้ Florida มากขึ้น แต่ก็จัดว่าไม่ได้ไกลจาก Charlotte เมืองเดิมเท่าไหร่นัก



Atlanta มีอะไร
1) เป็นเมืองไม่ใหญ่มาก มีประชากรในเมืองประมาณ 420,000 คน แต่ว่ามีคนดำเยอะะะะ (ไม่ได้ racism นะจ๊ะ)

  • Black or African American: 54.0%
  • White: 38.4% (Non-Hispanic Whites: 36.3%)
  • Asian: 3.1%    >>>  อ๋ออออ เราเป็น 3/100
  • Native American: 0.2%
  • Native Hawaiian and Other Pacific Islander: 0.0%
  • Some other race: 2.2%
  • Two or more races: 2.0%Hispanic or Latino (of any race): 5.3%เมืองประมาณ
จากการหาข้อมูลก็ค้นพบว่า เกิน 80% เป็นเกาหลี ที่เหลือจะเป็นอินเดีย กับฟิลิปปินส์
เรื่องที่น่ายินดีหน่อยคือ มี Thai community และวัดไทยถึงสองวัด รวมถึงมีข่าวสำหรับคนไทยในจอร์เจีย เรียกว่า "จอแจในจอร์เจีย" ชื่อน่ารักเว้ยเฮ้ยย  ก็เลยตอแหลไปทำความรู้จักกับนายกสมาคมแระ (หวังว่าคงไม่เปลี่ยนเมืองอีกนะค๊าาา)

2)  มี Zoo อย่างที่เคยพูดถึงว่าเมือง Charlotte ที่จะย้ายไปอยู่ตอนแรกนั้นไม่มีสวนสัตว์ (แล้วสรุปเป็นอะไรกับสวนสัตว์ ฮึ)  แบบว่า เราเข้าใจเอาเองว่ามันเป็นตัวบ่งชี้สภาวะความใหญ่ และความเป็นเมืองที่น่าอยู่อะ
ถ้าเมืองไหนมีสวนสัตว์ ก็ต้องมีห้าง และต้องมีร้านอาหารดีๆ (คือ logic อะไรฟระ)
เพราะขนาดสัตว์ยังอยู่ได้ คนอย่างเราก็ต้องอยู่ได้ดิ ^_^" 
ก็เลยสรุปว่าเป็นเมืองที่เรียกได้ว่าใหญ่ และครบกว่าเมืองก่อนมากๆนั่นเอง

3) มีสถานที่ท่องเที่ยวเป็น highlight หน่อยก็คือ
   CNN Head quarter http://en.wikipedia.org/wiki/CNN_Center  ซึ่งเป็นที่หลักที่ไว้ถ่ายทำข่าวทุกวัน และเป็นที่ๆให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดูการถ่ายทำ (เหมือน อสมท ว่างั้น)

   Coca cola world head quarter   เป็นออฟฟิศหลักของโคคาโคล่า หนึ่งเดียวในใจคุณ -_-"
   ที่นี่ก็ให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชม และได้ยินว่ามีตัวอย่างโค้กจากทั่วโลกให้ชิมด้วย (แบบจ่ายตัง)

   Delta Airlines head quarter  เป็นออฟฟิศหลักของ Delta Airlines สายการบินหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของอเมริกา
  จะว่าไปการที่มี Delta ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่เรื่องดีที่ตามมาของมันคือ การที่เป็น hub ของ Delta ทำให้ Atlanta เป็นเมืองที่สามารถบินตรงไปหลายๆเมือง หรือหลายๆประเทศที่สำคัญที่คนอเมริกาชอบไปมาก

ยกตัวอย่างเช่น มีบินตรง จาก Atlanta >> Hawaii โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
ในขณะที่การนั่งสายการบินอื่น เช่น United Airlines จาก  Atlanta อาจต้องไปต่อเครื่องที่ใดที่หนึ่งก่อน
และเนื่องจากเป็นเมืองที่มีเกาหลีเยอะ เลยเป็นเมืองที่สามารถบินตรง Atlanta-Korea ได้เลย (เก๋ปะ) (แต่บ้านตรูมิได้อยู่เกาหลี กับนิชคุณนิ แล้วจะตื่นเต้นทำมายย) 

4) ชื่อเล่นของเมืองแอบน่ารัก
   เมืองทุกเมืองของอเมริกา จะมีชื่อเล่นนู่นนั่นนี่ เหมือนเป็นcode ลับเวลาพูดถึงกัน
  อย่างเช่น New York ก็คือ Big Apple, LA ก็คือ City of Angels ไม่ก็ ล้าลาแลนด์ (ไม่ใช่ลัดดาแลนด์นะ)
 Las Vegas ก็ Sin city ไรเงี้ย

  มาดูชื่เล่นของเมือง Atlanta กันบ้าง ซึ่งการอ่านชื่อเล่นของมัน ก็เป็นการทำความรู้จักกับเมืองไปในตัว
  • ATL or the ATL  >> คาดว่าเป็นแค่ชื่อย่อ เวลาหาสนามบิน
  • The Big Peach >>  น่าจะมีต้นพีชเยอะ (อี๋ ไม่ชอบกินพีชอะ)
  • City of Peace  >> แปลว่าเมืองสงบเงียบใช่ปะ
  • City in a Forest  >> เต็มไปด้วยต้นไม้ และสีเขียว ลั้ลลาาา (^3^)
  • City of Trees    >> เน้นย้ำความเขียวขจี
  • The Gate City  >> แปลว่าน่าจะเป็น hub หรือเป็นทางผ่านของอะไรซักอย่าง
  • The City Too Busy to Hate  >> น่าจะเป็นเมืองที่มี business ตึกสูงๆพอควร แต่ไม่มาก
  • Dogwood City  >> ชื่อเมือง?
  • Hotlanta >>  อร๊ายยยย แปลว่า แมร่งงงร้อนนนนนนนนนนน (จากการ research ก็น่าจะร้อนชื้น แต่ก็มีหิมะบ้าง(ย้ำว่าบ้าง) ช่วงหน้าหนาว)
  • New York of the South  >> อ๊ะอ๊าา แปลว่าไฮโซพอควรนิ
ตอนนี้ยังไม่ได้ไป แต่อยากรู้เหมือนกัน ว่าพอได้ไปใช้ชีวิตอยู่จริงๆแล้วจะเป็นแบบที่เค้าเรียกกันมั้ย

ว่าแต่ ชื่อเล่นของกรุงเทพเนี่ย มันอะไรนะ?

To be contined เน้ออ....

Pay it forward: และแล้วก็ได้เพื่อนร่วมเดินทาง

วันนี้เป็นอีกวันที่ดี ที่รู้ว่ามีเพื่อนร่วมรุ่นที่จะไป US mobility ด้วยกันในปีนี้
ถึงจะไปกันคนละเมืองก็เถอะ

ที่รู้สึกดีด้วยมากๆ ก็คือ เรามีส่วนช่วยพี่สองคนนี้แบบเต็มๆ ในการทำให้ถึงจุดมุ่งหมาย
เราได้ make an impact คือ การที่เราปฎิวัติการสอบจาก Linguarama --> Inlingua ทำให้เพื่อนๆ น้องๆ ที่บริษัทต่อจากนี้ จะมีแนวโน้มได้ไปทำงานหาประสบการณ์เมืองนอกได้มากขึ้น

จากที่หลายปีแล้วที่ไม่ได้มีคนไทยได้ไปทำงานที่อเมริกาแบบที่สอบผ่านตามเกณฑ์ ปีนี้เรามีคนที่ได้ตามเกณฑ์ถึงสามคน

ถ้าใครที่อ่านอยู่ แล้วมีความฝันว่าอยากไป US/ Canada mobility ขอบอกว่า เดี๋ยวนี้สามารถใกล้ฝั่งฝันขึ้นง่ายมาก

แต่ก่อนอาจจะยากเรื่องข้อสอบ เพราะแทบไม่มีคนสอบผ่านมานานมากๆแล้ว

อย่างตอนที่เราสอบนั้นไม่มีใครบอก ไม่มี guideline อะไรเลย ไม่รู้แม้แต่ว่าจะสอบอะไรบ้าง จนได้สัมภาษณ์ จนได้คลิ๊กทำข้อสอบถึงรู้ว่ามีอะไร ยังโชคดีที่ฟลุคๆผ่านมาได้ตามเกณฑ์ แต่สำหรับหลายคนที่คิดว่าตัวเองยังอ่อนแอเรื่องภาษา ก็คงต้องบอกว่า ถ้าเห็นอีข้อสอบนี้ แล้วก็มีอันเหงื่อตกแน่นอน

เลยมาลองคิดดูทำไมเราไม่ลอง pay it forward บ้าง ในกรณีเรา เรารู้สึกว่าเราโชคดีได้ลองข้อสอบถึงสองแบบ ทำไมเราไม่ลองช่วยคนรุ่นหลังบ้าง เพราะเราไม่เคยได้รับโอกาสแบบนั้น ก็เลยอยากจะส่งต่อให้คนรุ่นต่อๆไปได้มีโอกาส :)

ก็เลยจำคำถามที่สัมภาษณ์ออกมาได้เป็นสิบๆข้อ (ที่สัมภาษณ์ไปเกือบสี่สิบนาทีอะนะ)
มี copy ข้อสอบ essay ไว้ให้พี่ๆรุ่นหลังได้ลองทำดู

บังเอิญศูนย์สอบก็ดันแอบขี้เกียจ ที่ข้อสอบทุกอย่าง คำถามทุกสิ่งแทบไม่เปลี่ยนเลย
คนรุ่นหลังที่ได้สอบ ก็เลยแทบจะปิดตาทำ ^_^

สิ่งที่แอบหวังก็คือ อยากให้คนรุ่นต่อๆไป ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสสอบ ได้ลองจด ลองจำ ข้อสอบออกมา share กันบ้างเล็กๆน้อยๆ ให้น้องๆฟัง

ไม่ได้หมายความถึงเรื่องการสอบภาษาอย่างเดียว แต่เวลาที่ได้รับอะไรดีๆก็ตาม หรือเวลาที่ทำงานเป็นทีมก็ตาม
หากรู้อะไรดีๆ มีข่าวอะไรใหม่ๆมา ก็ไม่อยากให้เก็บไว้กับตัวคนเดียว อยากให้แชร์ให้กับคนอื่นที่ไม่ได้มีช่วงเวลาแบบนั้นได้มีโอกาส enjoy สิ่งที่บอกต่อบ้าง

เมื่อเราได้รับโอกาส ได้สิ่งที่ดีๆ เราก็ควรจะแบ่งปันเรื่องดีๆนั้นให้คนอื่นๆได้มีโอกาสรับสิ่งเหล่านี้บ้าง
Pay it forward.... ยิ่งให้ยิ่งได้นะ

สำหรับเรา
พี่ที่สอบผ่นจะพาไปเลี้ยงข้าวฟรีหนึ่งมื้อ ^_^
และจะมีเพื่อนร่วมโปรแกรมปี 2011 เพิ่มอีกสองคน

Wednesday, July 13, 2011

USMP Before I go (2) --My first location

หลังจากที่สอบภาษาอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่ยากที่สุดผ่านแล้ว

ก็เดินหน้ากรอกใบสมัคร ซึ่งมีหลายชุด หลายหน้า (ให้ความรู้สึกเหมือนตอนสอบชิงทุนที่สอบไม่ผ่านอะ 555)

ต้องอธิบายเล็กน้อย ว่าทำไมอยากไป ไปแล้วได้อะไร คิดว่าจะทำให้อะไรดีขึ้น


ก็จัดคำตอบนางงาม แล้วก็ให้ คุณ CD ซึ่งเป็นคนอังกฤษ ดูและรีวิวให้

ขั้นตอนนี้ก็จะต้องหา God father คือจะเป็นคนที่ให้การ support และคอยติดตามผลงานของเราตลอดเวลาที่จะเข้าร่วมโปรแกรม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะมีทั้งที่ในเมืองไทย และจะได้รับการแนะนำให้กับ god father อีกคนที่อเมริกา

หลังจากนั้นอีกราวๆหนึ่งเดือน ก็นับวันรอคอย และแล้ว job offer ก็มา

เหมือนจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะได้ไปเมืองไหน เพราะบริษัทเราที่เมืองไทยมีลูกค้าที่จะต้องให้บริการเป็นประจำทุกไตรมาสอยู่ที่อเมริกา ซึ่งก็มีเมืองที่เป็น candidate ประมาณ 2-3 เมือง


เมืองที่เราถูก assign ไปคือเมือง Charlotte, North Carolina


ถามว่าอยู่ไหน ?
จริงๆตอนแรกก็ไม่รู้อะ ว่ามันคืออะไร แต่พอพูดถึง NC สิ่งที่รู้ก็คือ UNC Chapel Hill ที่ program เราฮิตไป exchange กัน

แต่ถ้าถามพิกัด ก็เรียกว่าอยู่ทางใต้ อีกนิดก็จะใกล้ sweet home Alabama และ Florida แล้ว



เมืองเป็นยังไงบ้าง?


พอรู้ว่าจะได้ไปที่นี่แน่ๆ ก็เริ่ม research เริ่มจาก wikipedia

http://en.wikipedia.org/wiki/Charlotte,_North_Carolina



ดูเหมือนเป็นเมือง Business สร้างใหม่ไม่นาน เลยมีผังเมืองที่ดี แต่ดูจะเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ เพราะไม่มีแม้แต่สวนสัตว์ประจำเมือง (มีแล้วจะไปทุกวันเหรอฟระ)

เป็นเมืองที่ไม่คุ้นเคย แต่ใจชื้นขึ้น เพราะมีเพื่อนแนะนำเพื่อนของเพื่อน ที่เคยเรียนที่ UNC- Charlotte ให้ และมีลูกเพื่อนแม่ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย ฟลุคโคตรๆ ก็เลยเริ่มทำความรู้จักกับเมืองมากขึ้น



เริ่มเข้าไปที่ City-data กับ craiglist ดูว่ามีอะไรในเมืองบ้าง neighborhood ที่ไหนดี ออฟฟิศเราอยู่ถนนอะไร

ก็เป็นการ research ข้อมูลเมื่อมีเวลาว่าง ไม่ได้เจาะจงอะไร

เมืองมันก็ดูไฮโซ เจริญหูเจริญตาดีใช่ป้ะะะ แต่ๆๆๆๆๆ

สุดท้ายแล้ว เราถูกย้ายเมืองงงง!!!