Friday, August 5, 2011

Before I go (9) หาชุดไปดู Broadway =_=




กริ๊สสส เมื่อคืนมีนัดกับสาวตาน้ำข้าว เป็น HR คนอเมริกา ที่คอยจัดการเรื่องที่เราจะไปทำงาน
ต้องมีการ phone in เพื่อสำรวจความเรียบร้อย และเตรียมความพร้อม

คุยโทรศัพท์กับฝรั่งเป็นอะไรที่งิ่ดดมาก (สำหรับเรา) ได้เวลาดีสี่ทุ่มก็กดโทรเข้าไป
พอเค้ารับนี่พูดอะไรไม่ถูกเลยแฮะ แต่ก็แอบรู้สึกดีใจนะ คุยเมลกันมาเป็นเดือนๆ ก็มีวันนี้ล่ะ ที่ได้ยินเสียงจริงๆ ของเค้า เสียงใส ดูสาว และน่าจะเป็นฝรั่งผิวขาวผมบลอนด์ (อะ แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังว่าตัวจริงเป็นยังไง)

โดยคร่าวๆ ก็เป็นการสรุปทุกอย่างให้ฟัง ว่าเราเตรียมตัวพร้อมแล้วรึยัง

วีซ่าพร้อม
ตั๋วเครื่องบินพร้อม (ตั๋วเครื่องบินที่เราไปเป็นแบบ One way no return ซึ่งแพงมากกกกก แพงกว่าตั๋วไปกลับอีก แล้วบังเอิญสายการบินเดียวที่เวลาโอเค และให้กระเป๋าสองใบก็มีแต่สายการบินญี่ปุ่นเนี่ยแหละ ก็เลยต้องจองไป)

Thursday, August 4, 2011

เช้าวันหนึ่ง ตัวฉัน ณ สถานทูตอเมริกา

เมื่อวานไปเข้าคิวรอวีซ่าแต่เช้า จากที่คิดไว้ว่าไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ เพราะจากเมื่อสองปีก่อนที่ขอวีซ่าท่องเที่ยวก็ดูลื่นไหลมาตามนัดไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อวานนี้ ยังไม่ 8 โมง คิวยาวเป็นร้อยคนเลยทีเดียว

จริงๆ สถานทูตก็มีให้นัดเวลาไว้ก่อนแล้วอะนะ อย่างเราได้คิวตอน 8 โมงเช้า พอถามคนที่เช็คชื่อเค้าก็บอกว่า "อ๋อ ทุกคนก็คิวแปดโมงเช้าค่ะ สามร้อยกว่าคิวพร้อมกัน คุณไปต่อแถวนะคะ" -_-" ชีวิตอะไรจะเศร้าขนาดนี้ ก็ต่อไปประมาณ 40 นาที ถึงได้ถึงหน้า gate security เท่านั้นเอง

Tuesday, August 2, 2011

Passion ในชีวิต

จากการที่ไปเป็น course owner และมีการแนะแนวน้องๆที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่มา
ทำให้มีโอกาสได้หวนกลับไปคิดถึงวันแรกที่เราเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้

ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องประมาณสี่ปีกว่าๆมาแล้ว....

วันแรกที่เข้าทำงานของเราไม่เหมือนน้องๆที่เข้ามาพร้อมกับเพื่อนๆ เนื่องจากตอนเราเรียนจบจบ 3 ปีครึ่งก็เรียกได้ว่าจบเร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่นทั่วไป เราได้ตัดสินใจเริ่มทำงานที่บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง

บริษัทที่เราเริ่มทำงานด้วยบริษัทแรกนั้น จะว่าไปพอมามองตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำที่ดีมากๆเลย สวัสดิการดี เพื่อนร่วมงานก็ดี แถมให้โอกาสเราได้ไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งเดือนนึง ใช้ชีวิตหรูหรา กินใช้ไม่อั้น อยู่อย่างสะดวกสบาย จะเสียก็อย่างเดียว ที่งานมันน่าเบื่อ ไม่ค่อยได้พบใคร และเงินเดือนขึ้นช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง 

พอทำได้ครบปีปุ๊ป ก็เลยลาออกปั๊ปเลย

ได้มาเริ่มงานใหม่กับที่นี่ก็เป็นบริษัทข้ามชาติเหมือนกัน ถึงความ Inter จะลดลงมานิดนึง ก็ยังจัดว่าอยู่ในระดับที่ยังให้โอกาสได้พูดคุยกับเจ้านาย และเพื่อนต่างชาติ (บ้าง)

ที่เราเลือกทำงานที่นี่ สาเหตุแรกและสาเหตุเดียวก็เพราะ เรื่องที่ให้โอกาสไป Mobility ได้ไปทำงานเมืองนอกเนี่ยแหละ  ชีวิตเราเคยไป Work and Travel มาสองครั้ง (ครั้งแรกไป Yellowstone National Park ครั้งที่สองไป Cedar Point Amusement Partk ถ้ามีโอกาสจะมาย้อนอดีตให้ฟัง) และไปเที่ยวเล่นเองก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่จะได้กลับไปอย่างภาคภูมิใจเท่านี้เลย

เรายังจำวันสุดท้ายที่ไปทำงาน Work and Travel ได้อยู่เลย เราคุยกับเพื่อนอีกคนที่เป็นคนสิงคโปร์กันว่า งานที่ทำอยู่ก็สนุกดีนะ ได้ไปเที่ยว ได้ฝึกภาษา ได้เงิน ได้พบเจอผู้คนมากมาย แต่พวกเราก็คงทำได้ และอยากทำแค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเท่านั้นแหละ พออายุจะสามสิบแล้ว ไอ้ที่จะให้กลับไปปัดกวาดเช็ดถู เสิร์ฟอาหาร เก็บโต๊ะ หรือยืนขายของ มันดูจะเป็นทางเลือกที่รองๆลงมาแล้ว

ไม่ใช่ว่าอาชีพพวกนั้นมันน่ารังเกียจ หรือกลับไปทำไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่เราคิดว่า ความรู้ที่พยายามร่ำเรียนมา จนจบป.โท ได้ Cer สายวิชาชีพมาแล้วเนี่ย ก็น่าจะได้ใช้ความรู้ ใช้สมอง มากกว่าตอนที่เราอายุ 18 สิน่า

ถึงจุดนี้ก็แอบดีใจนิดนึงว่า ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง วันที่เราจะได้ไปเป็น White collar worker คือมนุษย์เงินเดือน เป็นพนักงานบริษัท แบบที่ไม่ต้องแลกเงินด้วยหยาดเหงื่อแรงงานแบบแต่ก่อนแล้ว :-)

ถึงแม้จุดหมายสูงสุดคืออยากเป็นเจ้าของอะไรซักอย่างที่ไม่ต้องไปขอเงินเดือนใครเค้า
แต่ใครจะรู้ว่า เป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้เกือบสิบปีที่แล้ว มันจะเป็นความจริงขึ้นมา

กลับมาเห็นภาพน้องๆที่เริ่มงานวันแรก ทุกคนมีความฝัน มีความชอบ และมีจุดมุ่งหมายสุดท้ายที่ไม่เหมือนกัน 

บางคนคิดไว้ว่าอยากทำงานนี้ แต่ก็อาจค้นพบในที่สุดว่ามัน "ไม่ใช่"
บางคนไม่เคยคิดฝันว่าจะได้ทำงานนี้ แล้วก็พบว่างานนี้มัน "ใช่"
บางคนไม่เคยฝัน ไม่เคยคาดหวัง และก็ยังไม่รู้ว่ามัน "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"

ก็อยากบอกว่า ให้ลองเดินข้างหน้าต่อไป อย่างน้อยอย่าหยุดเดิน ถึงจะล้ม ถึงจะโดนหนามทิ่มแทง หรือมีอะไรมาขัดขวางระหว่างทางเดินไปบ้างก็อย่าไปสนใจ

ก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ซักวัน สิ่งที่ "ใช่" มันจะมายืนอยู่หน้าเราเอง!!

ขอให้น้องๆทุกคนที่มีโอกาสมาอ่าน ได้ใช้ชีวิตเริ่มต้นให้สนุก และคุ้มค่าที่สุดนะจ๊ะ

เราไม่รู้หรอกว่า ปีหน้า สามปีข้างหน้า หรืออีกสิบปีข้างหน้า ข้างๆเราจะเหลือใคร และเราจะเป็นอะไร ทำงานอยู่ที่นี่ไหม แต่ถ้าทุกๆวันเราสามารถมีความสุข และรักในสิ่งที่เราทำ

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คงไม่มีคำว่า "เสียดาย" ให้ต้องมานั่งคร่ำครวญแน่นอน

เราถือคติว่า "เสียใจในสิ่งที่ทำ ดีกว่าเสียดายที่ไม่ได้ทำ"

Before I go (8) VISA is coming to town

สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

หายไปอาทิตย์กว่าๆ เพราะติดภารกิจมากมาย
เริ่มต้นตั้งแต่ 25-31 กรกฎาคม ไปทำงานที่ชะอำ และเที่ยวต่อ สิริรวม 7 วัน 5 คืน

เรื่องของเรื่องคือเราได้รับเกียรติให้เป็น Course owner สำหรับ New Joiner training ที่ออฟฟิศ
ก็เลยได้ร่วมกิจกรรมต้อนรับน้องๆที่เข้ามาทำงานกับบริษัทเรา เป็นการ orientation หรือการปฐมนิเทศน์นั่นเอง

หน้าที่ของ course owner ต่างกับคนที่เป็น trainer ยังไง?
course owner แปลตรงตัวก็คือ "เจ้าของคอร์ส" เพราะฉะนั้น เราก็สามารถปรับปรุงหลักสูตร จัดหา trainer จัดคิว จัดเวลาต่างๆได้ ส่วนใหญ่จะเป็นงานนัดคน จัดการนู่นนั่นนี่มากกว่า

ส่วน trainer หรือผู้ฝึกสอน จะมีหน้าที่สอน ตามเนื้อหาที่ course owner เป็นผู้จัดให้

ก็สนุกสนานกันไป เพราะที่ไปเทรนทั้งหมดมี 5 คลาส ร้อยกว่าคนเลยทีเดียว

ไวน์แดงก็หมดไปหลายขวดด้วยน้ำมือเรา (^_^)"  ไม่พูดเรื่อง trainer มากดีกว่า หันกลับเข้ามา USMP ของเรากันบ้าง