Wednesday, November 7, 2012

Are you Democrat or Republican?

เข้าหัวเรื่องการเมืองเสียหน่อย ช่วงนี้กำลังฮอต

จริงๆ เราจัดเป็นประเภทด้อยประสบการณ์ อ่อนความรู้ด้านการเมืองมากกกกก

ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ขนาดบ้านเมืองตัวเองยังไม่ค่อยจะรู้อะไรเท่าไหร่เล้ยย ประวัติศาสตร์ชาติไทยก็เรียนเพื่อสอบ ไม่ได้ซึมซับเข้าสมองแม้แต่น้อย ไอ้เรื่องชื่อ รมต ใครคุมกระทรวงไหนอะไรยังไง แบบที่ปะป๊าเราจำได้ซะแม่นยำไม่ว่ากี่สมัยต่อกี่สมัย ส่วนตัวเรานั้น อย่ามาถาม ไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ

การเมืองเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย เปลี่ยนบ่อยจนขี้เกียจติดตาม ติดตามแล้วก็ไม่รู้สึกว่าได้อะไรขึ้นมา

พอมาอยู่อเมริกา ก็จะเหลือเรอะะะ  ที่เค้าฮิตๆ กันช่วงนี้จริงๆก็เกือบไม่ตามกระแสแล้ว แต่เรื่องน่าโมโหมันคือ ช่วงนี้เริ่มติด Series ตั้งแต่มีทีวีดู ก็จะดู ABC เป็นประจำ

อังคารที่แล้ว ตั้งหน้าตั้งตาดู Private Practice เต็มที่ เปิดมาา ผ่างงงงง กลายเป็น Vice Presidential Debate ซะงั้น พอเปิดทีวีแล้วก็ขี้เกียจปิด เลยดูว่าเค้าคุยอะไรกัน ปรากฎว่าฟังไปซักพักก็น่าสนุกดี เค้าก็ Debate กันมันส์มากก เหมือนโต้วาทีสมัยเรียนเลยแฮะ ^^"

พอดูจบก็เลยหาข้อมูลจาก Wikipedia เล็กน้อยเพื่อ wrap-up ว่าประเด็นมีอะไรบ้าง แล้วก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ว่า ถ้าเราเป็นคนอเมริกัน มีสิทธิ์โหวตเนี่ย เราจะเป็น Democrat หรือ Republican กันน๊า??

ก่อนอื่นมาดูคนอเมริกัน โดยเฉพาะรัฐที่เราอยู่ ว่าเค้านิยมฝั่งไหนกันบ้าง

อย่างรัฐ Georgia ของเรา ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเป็น สีแดง Republican แน่นอน รวมถึงรัฐโซนกลางๆ เทือกป่าเขาลำเนาไพร ส่วนใหญ่จะเลือก Republican เป็นสีแดง ประเทศนี้เค้า แดง น้ำเงิน เนอะ ไม่ใช่ เหลือ แดง หุหุ

พออ่านดูแล้วก็เลยไปทำ quiz มากมายที่มีอยู่ตามเนต ที่จะช่วยทดสอบว่าเราเป็น Democrat/ Republican

ใครที่สับสนว่าใครเป็นใคร ถ้า Democrat ให้นึกถึงหน้า Obama ไว้
ส่วน Republican ก็ให้นึกถึงหน้า Josh Bush, Mitt Romney  ประมาณนั้น

ตัวแบ่งแยกที่ค่อนข้างชัดเจนเช่น

การทำแท้ง
ถ้าคุณเห็นด้วย เรื่องการทำแท้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ว่าแม่มีสิทธิ์เลือกที่จะทำแท้ง หรือไม่ทำก็ได้ (เพราะเชื่อว่า เป็นสิทธิของผู้หญิงทุกคน) เช่น ถ้าเราคิดว่ามีลูกตอนนี้ไม่พร้อม ยังเรียนไม่จบ ทำให้เสียอนาคต แล้วไม่ได้รู้สึกผิดบาปกับการทำแท้ง หรือกรณีที่แย่มากๆ เช่น อัลตร้าซาวน์แล้วรู้แน่นอน ว่าลูกเกิดมาปญอ พิการ หรืออาจจะเป็นผักไปตลอดชีวิต เกิดมาสามปีก็น่าจะตาย (เช่นพวกปัญหาพันธุกรรม) ก็น่าจะอนุญาตให้ทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมาย ก็จะไปฝั่ง Democrat

แต่ถ้าคุณเชื่อว่า การทำแท้งควรทำเมื่อมีเหตุจำเป็นสุดๆ เท่านั้น เช่นถ้าไม่ทำแล้วแม่จะเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือว่า ตั้งครรภ์เพราะโดนข่มขืน ถ้าคุณมีความเห็นแนวนี้ (ใกล้เคียงศาสนาพุทธเนอะ) ก็จะเป็นฝั่ง Republican

อนึ่ง กฎหมายทำแท้งของอเมริกาตอนนี้ก็ค่อนข้าง strict อยู่เหมือนกัน จริงๆ แล้วการทำแท้งที่ถูกกฎหมายสำหรับทุกรัฐ คือกรณี โดนข่มขืน หรือเป็นภัยต่อแม่เท่านั้น

การพกปืน
ถ้าคุณเห็นว่าการพกปืน ควรมีกฎหมายควบคุมอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ใครทุกคนก็มีปืนได้ คุณน่าจะเป็นแนว Democrat แต่ถ้าคุณคิดว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะพกปืน เพื่อปกป้องชีวิต และครอบครัว ภายใต้การถือปืนอย่างถูกกฎหมาย คุณก็จะเป็นแนว Republican

Same sex marriage
ถ้าคุณเห็นว่าเพศที่สาม หรือเกย์ หรือเลสเบี้ยน ก็น่าจะมีสิทธิเท่าเทียมในการแต่งงาน อยู่กินกันอย่างถูกกฎหมาย (เช่น ถ้าคนนึงตาย อีกคนก็ได้มรดกแบบถูกกฎหมาย) หรือการหักลดหย่อนภาษีของคู่สามีภรรยา ก็น่าจะให้ ญรักญ ชรักช มีผลบังคับได้ด้วย คุณก็น่าจะเป็น Democrat แต่ถ้าคุณคิดว่า เฮ้ย แต่งงานก็ต้อง ญช เท่านั้นสิ จะผิดธรรมชาติได้ไง (แถมเปลืองภาษีเพิ่มขึ้นด้วย) คุณก็จเป็น Republican

การศึกษา
ถ้าคุณเห็นตามที่เป็นมาว่า เด็กๆ ก็ต้องเรียนใกล้บ้าน ถึงจะได้เรียนฟรี ได้เงินสนับสนุน (แล้วบางทีพ่อแม่ก็ต้องดิ้นรนย้ายบ้านย้ายช่องเพื่อให้ลูกได้เข้ารร ดีๆ) ถ้าอยากเรียนเอกชน ก็เรียกว่าเป็นทางเลือกที่พ่อแม่ยอมจ่ายตังเพิ่มเอง คุณก็น่าจะเป็น Democrat แต่ถ้าคุณเห็นว่า พ่อแม่น่าจะมีทางเลือก เช่น ได้รับเงินช่วยเหลือ ถ้าเลือกเรียนเอกชน หรือจะเป็น Home school หรืออะไรก็แล้วแต่ ควรเป็นทางเลือกของพ่อแม่ ไม่ใช่รัฐบาลบังคับ คุณก็น่าจะไปแนว Republican

Affirmative Policy
ถ้าคุณคิดว่าสังคมเรา การรับคนเข้าเรียน เข้าทำงาน ควรจัดโควต้าให้บ้าง เช่น ให้ชนกลุ่มน้อย (อีกะเหรี่ยงอย่างเรา) หรือให้ โควต้าผสมระหว่างผู้หญิง ผู้ชาย ในองค์การ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย และให้โอกาส คุณก็จะเป็นแนว Democrat แต่ถ้าคุณคิดว่า ใครดีใครได้ ถ้าคุณไม่เก่งพอ ก็ไม่ต้องทำงาน การที่ต้องมาแบ่งโควต้าสำหรับผู้หญิง สำหรับชนกลุ่มน้อย ก็เป็นการปิดโอกาสคนที่มีความสามารถไป (อืมม อันนี้ก็มีเหตุผลนะ สมมติว่า ออฟฟิศรับพนงใหม่ 10 คน โควต้า ชายครึ่ง หญิงครึ่ง แต่ว่ามีแต่ผู้หญิงที่ทำคะแนนได้น้อยกว่า ถ้าเราเป็นผชคนที่ 6 แล้วต้องเสียสิทธิให้คนที่เก่งน้อยกว่า เพราะเค้าเป็นผู้หญิงจะรู้สึกยังไง)  ถ้าคุณคิดว่าคนเราควรมีสิทธิเท่าเทียม คุณก็น่าจะเป็น Republican

เรื่องการเมืองไม่ค่อยสน ใครจะบุกใครก็ช่างแม่มมมม แหะๆ

นอกน้นก็มีเรื่องนโยบายการขุดเจาะน้ำมัน นโยบายเพิ่มลด Deficit นโยบายภาษี ฯลฯ
ขอบอกว่ามันส์ส์ส์

ถ้าใครอยากรู้ก็ลองทำ quiz ดู เช่น
http://politicalquiz.net/  อันนี้ค่อนข้างดีเลย ไม่ใช่บอกแค่ว่าเราอยู่ฝ่ายไหน แต่วิเคราะห์ด้วย ว่ามุมมองการเมืองเราเป็นแนวไหน
http://www.gotoquiz.com/republican_or_democrat_1
http://www.selectsmart.com/plus/select.php?url=americanpolitic

หันไปถามเด็กในจ๊อบข้างๆ เด็กมันตอบหน้าตาย ว่า I เป็น Republican แล้วคนส่วนใหญ่ในรัฐนี้ก็เป็น (อย่างไม่ต้องสงสัย)


แต่ว่า ประกาศผลออกมาแล้วว่า Obama ชนะ ก็แห้วกันไป :(


จากที่เคยไกล ก็ใกล้นิดเดียว

จั่วหัวดูเหมือนจะเป็นเรื่องความรัก แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่อยากจะเขียนถึงเป็นเรื่องงานล้วนๆเลย

อาทิตย์นี้เจอโรคเลื่อน เลยมีเวลาว่างไม่ต้องไปทำงานที่ลูกค้าสองถึงสามวัน ทาง Resource Planning Team ก็เลยจัดงานด่วนเพื่อไม่ให้กะเหรี่ยงอย่างเราต้องอยู่เดียวดาย

ปรากฎว่างานที่จัดให้ คือให้ไปนับ Stock จ้าา  สำหรับที่นี่การที่ให้ senior อย่างเราไปนับถือเป็นเรื่องแปลก เพราะการนับสต๊อกถือเป็นเรื่องสำหรับเด็กน้อยปีสองปีแรกเท่านั้น ถ้าใครได้เป็น senior แล้ว ก็มีหน้าที่วางแผน ติดต่อเด็กเท่านั้น แต่ในเมื่อศุกร์นี้เราว่าง แล้วคนขาดพอดี เค้าก็เลยจัดการส่งเราไป

เห็นชื่อลูกค้าแล้วตกใจ เป็นบริษัท FMCG บริษัทแม่อยู่สวิซ ที่ผลิตหลายอย่างตั้งแต่ กาแฟ นม ไอติม น้ำดื่ม (เออ น่าจะรู้แล้วนะว่าบริษัทอะไร) คราวนี้ได้รับมอบหมายให้ไปนับโรงงานผลิตน้ำ ที่ตกใจก็คือ
จริงๆแล้วออฟฟิศที่ Atlanta ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวกับบริษัทนี้ ออฟฟิศที่ได้ทำการตรวจสอบจริงๆอยู่ที่ Connecticut แต่ด้วยความที่อยู่ไกลจากโรงงานซึ่งอยู่มาซะใต้เชียว ก็เลยมีการหยิบยืมสตาฟกันให้ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ที่สำคัญคือ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่เราเคยตรวจสมัยอยู่เมืองไทย ย้อนกลับไปสามสี่ปีที่แล้วก็เคยมีได้ไปนับสต๊อกโรงงานผลิตน้ำเหมือนกัน

อยู่เฉยๆ ก็เลยนึกขึ้นมา ว่าสิ่งที่เคยมองมาจากไกลๆ สมัยทำอยู่ออฟฟิศที่เมืองไทย เคยคิดเคยสงสัย ว่าคนที่นี่เค้าทำงานกันยัง ส่วนใหญ่เป็นบริษัทแม่ มีลูกมากมายอยู่ทั่วโลก ตอนเค้าวางแผน ทำ audit instruction มันเป็นสภาพแบบไหน ทีมงานใหญ่มั้ย ทำงานกันดึกมั้ย

ตอนที่อยู่เมืองไทย เคยอยากรู้ อยากได้มาสัมผัสมาพบเจอด้วยตัวเอง แล้วก็ดีใจจังที่ได้มีโอกาสมาเห็นมาสัมผัส เข้ามาใกล้ๆ ในสิ่งที่เราเคยคิดว่าไกลแสนไกล

พอมาเห็น ก็รู้สึกว่าระบบการทำงานเค้าแตกต่างกับของเราจริงๆ ระบบการคิดการจัดการ ก็เรียกได้ว่าต่างกันเป็นอย่างมาก ที่เห็นได้ชัดเลยคือ การนับสต๊อกของที่นี่จะต้องมีการฝึกฝน! คือเด็กที่เข้ามาใหม่ๆ จะไม่มีให้ไปนับเองคนเดียว ออกจ๊อบคนเดียว แต่จะต้องให้ไปกับคนที่มีประสบการณ์ (อะไรจะขนาดน้านนน) หรือเรียกว่าไปทำการ shadow คือไปสังเกต เรียนรู้ตามรุ่นพี่นั่นเอง  แล้วการนับสต๊อกที่นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเหมือนเมืองไทยเลย เพราะมีความรับผิดชอบที่ตามมามากมาย ต้องทำ cut off, complete inventory count instruction, memo เก็บเอกสาร ทำทุกอย่างแต่ต้นจนจบจริงๆ รายละเอียดต้องเก็บครบ ว่าก่อนนับ เวลานับ หลังนับ ตาม instruction เป๊ะๆ

กว่าจะได้ไปนับกันแต่ละงานต้องมีการคุย brief งาน ว่า จะนับอะไร กี่ชิ้น นับอันไกน เจอใครบ้าง ต้องไปถามอะไร ละเอียดมากกกกก

นึกถึงสมัยที่เราเป็นเด็กๆ ที่นับสต๊อก ไปแค่นับๆ แล้วกลับ พี่ senior/ in-charge ก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวพี่จัดการเอง นึกถึงตอนนั้นแล้ว โหหห ทำกันไปได้เนอะ

อีกอย่างที่ชอบก็คือ ชอบการประชุม และ planning ที่นี่จัง เราอาจจะแปลก เพราะชอบทำ planning มากกว่าการลงมือทำเพื่อหาความท้าทายตื่นเต้น ถ้าเป็นเรื่องงานก็อยากจุะรู้ทุกอย่างล่วงหน้าให้มากที่สุด พอมาที่นี่ทุกทีมจะมีการวางแผนงาน มี partner manager เข้ามาพูดคุยเป็นชิ้นเป็นอัน manager เองก็ใส่ในในรายละเอียดค่อนข้างมาก ว่าอยากจะปรับปรุงอะไรตรงไหน ทุกคนรู้ขอบเขตหน้าที่ของตัวเอง เราชอบที่ manager ส่วนใหญ่เข้ามามีบทบาทในการช่วยทำ planning ช่วยเรื่องการสัมภาษณ์ลูกค้า หลายๆชิ้นงาน  manager ก็ลงมือทำเอง เก็บรายละเอียดเอง ส่วน partner ส่วนใหญ่ก็สามารถเข้าไปพูดคุย ถามปัญหา ให้ตัดสินใจอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้เลย (ถ้าไม่บ่อยเกินไป)

เหมือนกับว่าการทำงานมันมีการ communication ที่ชัดเจน และเปิดเผยกว่ามาก และการที่เป็นแบบนี้ เราว่าเรื่องดราม่าเวลาประเมินผลมันก็น้อยลงด้วย ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่น่าจะดราม่าเท่าเมืองไทยนะ :p

ส่วนเด็กๆ ก็ค่อนข้างทำงานกันรับผิดชอบมากทีเดียว อาจจะมีแอบทิ้งงานบ้าง แต่ถ้าจิกมันก็ทำ ส่วนใหญ่ก็เห็นเคารพ in-charge/ manager กันดี ความคิดที่เคยคิดว่าเด็กอเมริกามันคงพูดจาทำท่าทางข้ามหน้าข้ามตาไม่นับอายุ ก็ไม่เป็นเรื่องจริงเลย (เท่าที่เราพบเจอ)

ยังรู้สึกว่า Seniority มีทุกสังคม ทุกออฟฟิศ แต่มันเป็นความเกรงใจในแบบที่พอดี ไม่ใช่ความเกรงกลัว
อย่างเช่น manager ปฎิบัติกับลูกน้อง ก็พูดคุยได้ใกล้ชิดกว่า แต่ว่าเราก็ยังเกรงใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ห่างเหิน แต่ก็ไม่ได้เล่นหัว ความสัมพันธ์ระหว่าง manager กับ partner ก็เหมือนกัน คือมีความเกรงๆ เป็นอย่างมาก แต่ไม่มากถึงขนาดทำให้ปิดบังเรื่องต่างๆ หรือไม่พูดคุยกัน

เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งปีที่นี่แล้ว พอกลับไป ทุกอย่างมันก็คงกลายเป็นอดีตนั่นแหละ ที่เคยใกล้ ก็คงไกลห่างออกไปเรื่อยๆ แต่อย่างน้อยเราก็ยังยิ้มกับมัน ว่าวันหนึ่งวันนี้เราก็เคยมาอยู่ใกล้ๆ สิ่งที่เราคิดว่าไกลแล้วนะ :)