Saturday, July 23, 2011

การเดินทาง กับกระเป๋าเดินทาง (1)

วันนี้มาดึกหน่อย เพราะไปเที่ยวเล่นข้างนอกมา

คืนนี้ก็จะคุยเกี่ยวกับการเดินทางละกันเนอะ

...โดยปกติแล้วบ้านเราจะเดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างบ่อย แต่ไปในลักษณะ ผลัดๆกันไปมากกว่า ไม่ค่อยได้ไปครบกันพร้อมหน้าพร้อมตานัก โดยส่วนใหญ่จะมีแม่เป็นเสาหลักในการติดตามเที่ยว เพราะแม่จะถือคติว่า มีที่พักฟรีดีที่สุด ได้เดินทางแบบชิลๆ และได้เข้าถึง local น่ะเป็นคอนเซปของเจ๊แกเลย

จะว่าไป ความรักในการท่องเที่ยว ก็น่าจะเกิดมาจากพ่อกับแม่เราที่ปลูกฝังนี่เอง...

คงไม่ต้องถามถึงว่าแล้วแม่เราจะไปหาไปเยี่ยมเรามั้ย เจ๊แกยืนยันเลยว่า ถ้ามีตังและไม่ติดอะไรก็กะจะไปอยู่ซักเดือนสองเดือนแน่นอน เจ๊บอกว่าอยากเก็บน้ำตกไนแองการ่าที่แคนาดาก่อน 60 ให้ได้ อิอิ

>>> การออกเดินทางไกลๆนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ "กระเป๋าดีๆซักใบ (หรือสองใบ)"

การเดินทาง International Flight ที่ไปโซนยุโรป กับโซนอเมริกานั้น น้ำหนักกระเป๋าที่ให้มักจะแตกต่างกันตามแต่ละสายการบิน และตาม type ของตั๋วที่บินด้วย โดยเราขอพูดถึงน้ำหนักกระเป๋าสำหรับ Economy class ที่คนส่วนใหญ่มักใช้บริการกันแล้วกันนะ

(ใครที่จะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนแล้วไม่แน่ใจว่าเอาไปได้กี่ใบ หนักเท่าไรได้บ้าง ให้ลอง search ใน google แล้วพิมพ์ว่า "XXX (ชื่อสายการบิน) check baggage allowance"

บินไปเที่ยวยุโรป กับบินไปอเมริกา กระเป๋าน้ำหนักต่างกันมั้ย?
คำตอบ  ต่างกันจ้า

Europe มักจะให้นำกระเป๋าแบบโหลด (check baggage) ได้ 1 ใบ โดยจำกัดน้ำหนักที่ 20 kg หรือ 44 lbs ต่อใบ
บางสายการบินอาจจะให้มากหน่อย เช่น สายการบิน  Jet Airways ให้ได้ถึง 23 kg

US & Canada ส่วนเส้นทางบินไปแถบอเมริกา หรือแคนาดานั้น มักจะให้โหลดกระเป๋าได้ฟรี 2 ใบ (อาจเป็นเพราะเส้นทางมันไกลจากเอเชีย และยุโรปมากมั้งนะ) โดยได้ใบละ 23 kg หรือ 50 lbs
เพราะฉะนั้น การเดินทางไปอเมริกาคราวนี้ เราจะสามารถเอาของไปได้มากถึง 46 กิโลกรัม


Note: ทั้งนี้ทั้งนั้น กระเป๋าทุกใบต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 32 kg/ 70 lbs ซึ่งค่อนข้างเป็นกฎสากลที่ใช้กับทุกสายการบิน เราเดาว่ามันมีไว้เพื่อเอื้ออาทรแก่พนักงานบริการของแต่ละสายการบินที่ต้องคอยแบก หรือโหลดกระเป๋าไม่ต้องให้พวกเค้าหลังเสื่อมก่อนวัยอันควรนั่นเอง

นอกจากจะเห็นใจพนักงานแล้ว เราว่าก็ต้องสงสารตัวเองด้วยแหละ ถ้าจะยัดมากขนาดนั้น ให้นึกถึงสภาพเวลาเอามันขึ้นลงรถ ปุเลงปุเลงกับน้ำหนักมากขนาดนี้คงดูไม่จืดอะนะ

พูดถึง Check baggage (กระเป๋าแบบโหลดใต้ท้องเครื่อง) ไปแล้ว
ก็ต้องพูดถึง Carry-on baggae หรือกระเป๋าแบบถือขึ้นเครื่องบ้าง



Carry-on baggage หรือกระเป๋าแบบถือขึ้นเครื่อง

 กระเป๋าขึ้นเครื่องโดยปกติจะให้ไม่เกิน 10 kg โดยเฉลี่ยที่ให้คือ 7 kg เช่น  Air Asia, Thai Airways แต่ที่ให้มากถึง 10 kg ก็มีอย่าง ANA (All Nippon Airways)

Tips: ตัว carry-on น่าจะเป็นจุดที่เราน่าจะลักไก่ขนน้ำหนักเกินได้มากกว่า check baggage เนื่องจากกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่องมักจะต้องถูกบังคับให้ชั่งน้ำหนักตอนเช็คอินที่เคาน์เตอร์ขาออกอยู่แล้ว
แต่ Carry-on นั้น เราเห็นว่าแล้วแต่โชคชะตา และความเฮี๊ยบของสายการบินมากกว่า บางทีอาจจะโดนชั่งและวัดทุกคน บางทีก็สุ่มโดน หรือบางทีก็อาจจะหลุดรอดปลอดภัยเลยก็ได้

โดยรวมแล้ว ถ้าขนาดของกระเป๋าเป็นแบบถือขึ้นเครื่องได้ตามปกติ คือไม่เกิน 56cm*45cm *25cm  บวกลบนิดหน่อย ถ้าใครนึกไม่ออกก็ให้นึกอารมณ์แบบที่แอร์โฮสเตสในทีวีชอบลากขึ้นเครื่องกัน  หรือดูตามรูปด้านขวานี้ก็ได้ (ขนาดประมาณกระเป๋าที่มักจะใช้สำหรับการเดินทาง 2 วันสามคืน )

และขึ้นอยูกับวิจารณญาณของพนักงานที่เช็คชื่อก่อนเดินขึ้นเครื่อง ถ้าเค้าเห็นว่ามันไม่ดูหนักเกินไปแบบคนถือลากไม่ไป ส่วนใหญ่พนักงานก็จะปล่อยผ่าน

ที่เคยเห็นถูกสุ่มชั่งกระเป๋า carry-on บ้างก็มีนะ บางคนที่ถือกระเป๋าขนาดก้ำกึ่ง หรือดูหนักโคตรๆ ก็อาจมีโดนปรับกันก่อนขึ้นเครื่องเลย และเดี๋ยวนี้มาตรการรักษาความปลอดภัยในทุกประเทศก็เข้มงวดมาก จึงมีโอกาสที่เราจะต้องเปิดกระเป๋า Carry-on ให้พนักงานตรวจภายในอยู่มากทีเดียว :P ถ้าพนักงานเปิดมาเห็นถุงข้าวสาร 5 กิโลสองถุง คงฮาพิลึกอะ

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราเห็นว่า ควรทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎระเบียบดีกว่านะ เพื่อความสบายใจของตัวเองเราเองด้วย เวลาไปต่างบ้านต่างเมืองแล้วดันไปทำตัวหลบๆซ่อนๆ แล้วต้องลุ้นเนี่ย เราว่ามันไม่สนุกเลย
แล้วมันคงไม่ดีใช่ไหม ที่จะให้เค้าตราหน้าว่า คนไทยชอบลักไก่ขนของเกินกำหนด พวกเราคงไม่อยากให้ใครตรา brand พะยี่ห้อให้เราแบบนี้หรอกเนอะ :)

เพราะฉะนั้นเวลาไปเที่ยวก็พยายามพกแต่สิ่งจำเป็นไปเป็นดีที่สุด

พรุ่งนี้มาต่อภาค 2 เกี่ยวกับประเภทของกระเป๋าเดินทาง และวิธีการเลือก (จากปสก ของเราแล้วกันนะ)

วันนี้ไปพักผ่อนเล่นเกมก่อนนอนดีกว่า :D

Friday, July 22, 2011

Que Sera Sera เรื่อง love love

When I was young, I fell in love
   I asked my sweetheart what lies ahead
   Will we have rainbows, day after day
    Here's what my sweetheart said.

Que Sera, Sera,
Whatever will be, will be
The future's not ours, to see
Que Sera, Sera
What will be, will be.

พอบอกว่าจะไปทำงานที่อเมริกานานๆ ไม่ใช่การไป summer หรือการไป Work and Travel เที่ยวเล่นชั่วคราวแบบแต่ก่อน...

มีหลายคนถามมาว่า แล้วคนที่เราคบอยู่ด้วยจะตามไปมั้ย?
เราก็ประกาศไว้เลยแหละว่า  "ไม่"
(บริษัทเรามีระบบที่ดีพอควรสำหรับคนที่จะย้ายไปทำงานต่างประเทศ คือมีการให้ค่าใช้จ่ายสนับสนุน และให้วีซ่าทำงานแก่ spouse หรือสามี/ภรรยา รวมถึงหาโรงเรียนให้ลูกๆ สำหรับคนที่มีครอบครัวแล้วด้วย)

แต่ก็น่าจะมีตามไปเที่ยวบ้างไรบ้างล่ะนะ เพียงแต่ไม่ได้ย้ายไปด้วยกันน่ะ

แล้วเราไม่อยากให้เค้าตามไปเหรอ โอกาสดีๆแบบนี้?
 คำตอบก็คือ "อยากสิ"

ที่เคยคิดก็ว่ามันน่าจะโรแมนติกพิลึกชิมิ แบบว่า ใบไม้ร่วงนั่งกินแซนด์วิชกัน
ขับรถเที่ยวตาม romantic route trip 
หรือหนาวๆ หิมะตกก็กอดกันกลมดิ๊ก
ไปเที่ยวดิสนีย์เวิล์ดย้อนวัยอะไรทำนองนี้

แต่ timing หรือเวลากับคนสองคน มันไม่ได้จริงๆ >_<

ปีนี้เป็นปีที่เค้าเริ่มต้นทำบริษัทของตัวเอง แล้วก็จริงจังกับมันน่าดู ส่วนตัวเราเอง ถ้าไม่ไปปีนี้ ก็คิดไว้แล้วว่าคงไม่ได้มีโอกาสไปไหนยาวๆเป็นอิสระแบบนี้แล้วล่ะ

(ขออนุญาตพื้นที่โฆษณาช่วยกันทำมาหากิน :P  >>ใครสนใจเทคโนโลยี Augmented reality คือเทคโนโลยีประมาณรูปข่างล่างอะนะ สามารถติดต่อหลังไมค์ได้นะ)


แล้วคนที่คบกันอยู่จะทำอย่างไร?

กับคนที่คบอยู่ตอนนี้ ก็เข้าปีที่ 7 พอดิบพอดี
ถ้าไม่ได้ไปทำงานคราวนี้ ก็คิดว่าคงจะได้ลงเอยกันเร็วๆนี้ล่ะ

ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องอาถรรพณ์เลข 7 (7-year itch) http://wiki.answers.com/Q/What_is_'the_seven_year_itch'
เวลาเจ็ดปี เป็นเลขแปลกๆทางสถิติ ที่บอกกันว่า คนที่คบกันมา 7 ปีแล้วไม่แต่งก็มักจะเลิกกัน
คนที่แต่งงานกันมาได้ 7 ปี ก็มักจะเป็นช่วงเวลาที่เกิดความเบื่อหน่าย สามี/ภรรยามีก๊งมีกิ๊กกันมากที่สุด

เพราะฉะนั้น ก็พูดได้เต็มปากเลยว่า "การได้อยู่ใกล้ๆข้างๆคนที่เรารัก" นั้น เป็นสิ่งหนึ่งในหลายๆสิ่ง ที่เรา (และคนที่ไปทำงานไกลบ้าน) ต้องเสียสละ และต้องยอมรับมัน

และถือว่าเป็นการ "เดิมพัน" กับโชคชะตาเลยทีเดียว ว่าจะหมู่หรือจ่า จะอยู่หรือจะไป


แล้วไม่กลัวเลิกกันเหรอ?

เป็นคำถามง่ายๆสั้นๆ ที่คนถามมักอยากรู้ ไม่ก็กังวลแทน เพราะตัวอย่างที่เห็นก็มีมากมาย
เราก็ตอบง่ายๆสั้นๆว่า "กลัว"
แต่ความกลัวมันคงไม่มากพอที่จะทำให้เราตัดสินใจไม่เดินทางตามความฝัน หรือความต้องการของเรา

จะบอกว่าไม่นึกถึงกัน ไม่รักกันมากล่ะสิ ถึงยอมห่างกันได้ขนาดนี้?

ถ้าใครที่รู้จักเรา ก็คงเข้าใจดีว่าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น

เรามีความคิดที่ว่า ทุกสิ่งมันไม่จีรังยั่งยืน ไม่มีอะไร หรือใครที่เราได้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
ไม่มีความรักใดๆ ที่จะยั่งยืนตลอดชั่วกัลปวสาน ถึงแม้จะเป็นความรักจากพ่อแม่ จากพระเจ้า คนรัก คู่จิตวิญญาณ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันจะมีได้มากสุดก็ตราบที่คนๆนั้นยังมีลมหายใจเท่านั้นเอง (ว่าไปนั่น)

ถ้า We're meant to be ...  วันหนึ่งเราก็คงจะได้อยู่ร่วมกัน
ถือว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสทองในการพิสูจน์ใจ

แต่ถ้ามันไม่ นี่ก็ถือเป็นโอกาสดีเหมือนกัน ที่ทำให้รู้ว่าจริงๆแล้ว เราไม่ได้รักกันแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว =_=

ถ้ามีเหตุเป็นไปให้ต้องเลิกกัน ไม่ว่าสาเหตุนั้นจะมาจาก "ตัวเรา" "ตัวเค้า" หรือว่า "เรา" ก็จำเป็นต้องปล่อยให้มันเป็นไป ให้มัน Let it be

นี่จึงเป็นที่มาของเนื้อเพลงและ topic วันนี้ :)

ก็แค่แอบหวังในใจว่า ทั้งเราและเค้าต่างจะมั่นคงต่อกันมากพอ ที่จะทำให้อุปสรรคด้านเวลาและระยะทางนานนับปีที่จะผ่านมานี้ เป็นไปได้ด้วยดี





Thursday, July 21, 2011

Before I go (7) VISA เกือบมาแว้วววว

อาทิตย์นี้ผ่านไปด้วยดีกับ External review
จากที่เคยเกริ่นๆไว้ว่า งานที่เราทำนั้นได้รับการสุ่มให้ถูก review โดย External reviewer ที่เป็นตัวแทนบริษัทจากต่างประเทศบินมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เราซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โชคดีก็ได้ส่งงานนั้นให้ไป

ผลปรากฎว่างานออกมาใช้ได้ ไม่มีข้อผิดพลาดร้ายแรง ^_^"
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจเป็นเพราะงานที่เราทำมันง่ายและน้อยกว่างานอื่นๆที่ถูกสุ่มมาตรวจสอบ พี่ๆที่เป็นเจ้าของงานพวกนั้นก็เลยหนักกว่าเราหลายเท่าเลยทีเดียว

ส่วนวันนี้ ตื่นมาได้เมลจากสำนัก Immigration office จากอเมริกา บอกว่า  Work permit เราเสร็จแล้ววววววว

สังเกตได้ว่าเวลาส่งเมลอะไรไว้ ต้องรอตื่นมาตอนเช้าทุกที เพราะเวลาเรากับคนที่นั่นมันห่างกัน 11 ชั่วโมงแน่ะ 
ช่วงนี้ตื่นมาก็เลยมีให้ลุ้นทุกวันว่าเมลที่เข้ามาใน Blackberry มีอะไรบ้าง

คนที่รับเรื่องบอกให้เราเดินหน้าจองเวลาสัมภาษณ์ได้เลย โดยไม่ลืมเตือนว่าให้เราจองเผื่อเวลาที่ Fedex ต้องเดินทางมาด้วย 

วันนี้เลยเริ่มทำเรื่องวีซ่าต่อ

จริงๆ ถ้าใครที่มีประสบการณ์ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกาแล้ว สิ่งนี้จะไม่ค่อยเป็นปัญหามาก
สำหรับใครที่สนใจขอวีซ่าท่องเที่ยว มี blog ที่มีคนรีวิวไว้อย่างละเอียดแล้ว คือคุณ Susie
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=lovergirl&group=11  นั่นเอง
แต่ก่อนที่เราขอวีซ่าท่องเที่ยวนั้นก็ได้ความช่วยเหลือแบบเงียบๆ จากคุณ Susie ที่นี่

(อนึ่ง คชจ โดยรวมสำหรับการขอวีซ่าท่องเที่ยวจะอยู่ที่ $140 ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่า ซึ่งต้องไปซื้อที่ไปรษณีย์ไทย หรือ Pay at post เท่านั้น ยังไม่รวมถึงค่า PIN เอาไว้จองราคาสัมภาษณ์และ submit เอกสาร online ราคาประมาณ $12 ซื้อออนไลน์ หรือโทรศัพท์ก็ได้)  ก่อนจะยาวเกินไป โดยสรุปค่าใช้จ่ายรวมหมดในการขอวีซ่าก็อยู่ที่ 5,000 บาทนั่นเอง ซึ่งถือเป็น fixed cost ของคนที่คิดอยากเที่ยวอเมริกาเลย
ข้อดีก็คือ ขอไปแล้วส่วนใหญ่จะได้วีซ่านาน 5/ 10 ปีเลยทีเดียว และอยู่ครั้งนึงก็ได้ 3-6 เดือนแล้วแต่ตม.จะ stamp 

กลับมาที่เรื่องของเรา วีซ่าที่เราขอ เรียกว่า L1 หมายถึง Intercompany Transferee คือการแลกเปลี่ยนแรงงานระหว่างประเทศนั่นเอง ซึ่งจัดอยู่ในหมวด non-immigrant หรือเรียกว่าเป็นวีซ่าทำงานแบชั่วคราว ที่ให้เราได้ทำงานเสียภาษีอย่างถูกกฎหมายตามระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น
คชจ ของวีซ่านี้แพงกว่าวีซ่าท่องเที่ยวนิดนึง คือ ราคา $150  และขั้นตอนการทำก็ต่างกันนิดหน่อย

โดยปกติ วีซ่าท่องเที่ยว เราแค่เตรียมเอกสารที่จำเป็น นัดเวลาจองและสัมภาษณ์
ส่วนวีซ่าทำงาน เราต้องให้นายจ้างที่อเมริกา (US Petitioner) ทำเรื่องขอกับสถานทูตที่นั่นก่อน หลังจากนั้นถ้าได้รับการอนุมัติ ก็จะได้ตัว work permit หรือที่เรียกกันว่า Petition ส่งมาให้เรา เพื่อไปยื่นสถานทูตอีกที
เพราะฉะนั้นกว่าที่จะได้วีซ่าจริงๆ ก็หลังจากที่เราได้เข้าสัมภาษณ์นั่นเอง

วันนี้ก็เลยทำการนัดสัมภาษณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นอาทิตย์ถัดจากอาทิตย์หน้า
แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อว่าการไปสัมภาษณ์มันต้องมีอะไรยังไงบ้าง :)

----------------------------------
Personal life:

วันนี้ตอนเย็นไปเล่น Bikram yoga หรือโยคะร้อนที่ ทรู ฟิตเนสมา
เจอพี่ม้า อรนภา ในนั้นด้วย โหห พี่ม้าใส่สไตล์บิกินี่เลย คือกางเกงในตัวจิ๋ว กับเสื้อโยคะแบบที่เหมือนชุดว่ายน้ำอะ (ถ้านึกออกนะ)  เพิ่งเคยเจอจะๆ เป็นครั้งแรก ก็แบบแปลกดีอะ คิดว่าดูในทีวีตอนเจ๊แต่งสวยจะดีกว่า ^_^"
ก็แหม ตอนเล่นโยคะทุกคนต้องเป็นธรรมชาติเหงื่อชุ่มซะขนาดนั้น

ที่แอบขำก็คือ คอนเฟิร์มว่าเจ๊น่าจะเป็น หญิง โดยแท้จริงนะ!! เพราะว่าชุดที่ใส่มันรัดมากสสส์ แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยอะไรแต่อย่างใด อิอิ

Tuesday, July 19, 2011

New bag of the month

ขอลงทะเบียนกระเป๋าใหม่ให้ชื่นใจหน่อย >_<

Place of Origin: COACH, USA
สรรพคุณ  กระเป๋าหนังวัวแท้ ดำ ถึก ทน ใหญ่ ใส่ของสะใจ (หอมหนังอ่อนๆด้วยยยย)
Shop location: COACH shop, Siam Paragon
$$  mama พี่บีมซื้อให้ พร้อมกับผ้าพันคอ Coach ที่อย่างเข้าก๊านนนเข้ากันนนน   ขอบคุณมากๆ ค่าาา (>/\<)
ตอนนี้ก็เลย in love กับกระเป๋าใบนี้มากๆเรยย (สำรองพื้นที่ให้เจ้านี่บินไปด้วยกันเรียบร้อยแล้วจ้าา)




Before I go (6) You've got mail!!!

คริคริ เมื่อวานคือวันที่ 18 July เช้ามาวันจันทร์มี DHL มาส่งที่บริษัทจ่าหน้าถึงเราเอง ^_^
เป็น DHL จาก HR ที่อเมริกา ในนั้นประกอบด้วยเอกสารสำหรับ orientation ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้าที่ Montvale, New Jersey

ในซองเอกสารประกอบด้วยของหลักๆ 4 อย่างคือ
1) Hello! US: Everyday Living for International Residents and Visitors
เป็นหนังสือเล่มหนาพอควรบอกทุกอย่างที่่เกี่ยวกับอเมริกาแบบกระชับ และชัดเจน เท่าที่ลองอ่านแบบผ่านๆดูก็พบว่าครบมากๆทีเดียวตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ
เริ่มหน้าแรกบอกว่า อเมริกามีกี่รัฐ แบ่งเป็นกี่ภาค แต่ละภาคประกอบด้วยอะไร อาหารการกิน ที่เที่ยว อากาศ อุณหภูมิ ใช้ไฟฟ้าแบบไหน เหรียญบัตรเป็นยังไง ให้ทิปกี่ %  ฯลฯ
เราอ่านก็ขำๆอะนะ เพราะด้วยความที่พวกเราทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับวัฒนธรรมอเมริกันจากหนัง จาก series ต่างๆ  รวมถึงการที่เคยไปเที่ยว ไปทำงาน ดูสารคดีนำเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง เรื่องที่มันเขียนก็ดูจะเบสิคมากๆ แต่ก็ยังจัดว่าเป็นหนังสือที่ได้สาระมากเลยทีเดียว
คนที่กำลังจะไปเรียนต่อแล้วสนใจศึกษา USA แบบรวดเร็วก็ลองดูแล้วกัน
http://www.amazon.com/Hello-USA-Everyday-International-Residents/dp/0963563327

2) Art of Crossing Cultures
http://www.amazon.com/Art-Crossing-Cultures-Craig-Storti/dp/1931930538/ref=sr_1_1?s=books&ie=UTF8&qid=1311062413&sr=1-1
เล่มนี้พลิกดูแล้วแอบจริงจังเกิ๊นน เป็นแนว debate เกี่ยวกับความแตกต่างของวัฒนธรรมของคนที่มากจากประเทศที่พัฒนาแล้ว กับยังไม่พัฒนา (หรือเรียกงามๆว่าพัฒนาอยู่อย่างประเทศไทย) หนาพอๆกับ Hello! USA แต่เห็นแล้วอ่านไม่ลงเลยอะ =_=

3) Credit cards
ได้ Corporate Credit Card มาแล้ว อันนี้เป็นของ Diner's Club ที่สมัครไปเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนได้รับต้องโทรไปอเมริกาเพื่อเปิดใช้บัตร ได้มาก็กดโทรเพราะคิดว่าน่าจะเป็น automachine แบบที่กดตู๊ดๆๆ เหมือนเมืองไทย
ที่ไหนได้ มีคนจริงๆรับ แทบช็อกไปเลยทีเดียว !!! แบบว่าไม่ได้เตรียมตัวที่จะคุยกับฝรั่งทางโทรศัพท์อะ T_T ถึงจะดูเหมือนพูดจากับฝรั่งรู้เรื่อง แต่การพูดกันทางโทรศัพท์ที่ไม่เห็นหน้า อ่านปากไม่ได้เนี่ย โคตรทรมานเลยอะ และตื่นเต้นมากๆ ถึงมันจะเป็นแค่พนักงาน Call center ก็เถอะนะ
ที่อเมริกาแปลกดี มีให้ตั้ง security code เวลาที่ call center รับก็จะถามหา code ลับ จะเป็นตัวเลข คำพูด หรืออะไรก็ได้ เพื่อให้รู้ว่านี่คือเจ้าของบัตรตัวจริง

สุดท้ายพนักงานที่รับบอกว่าในบัตรมีวงเงินอยู่ $10,000 ถ้าไม่พอโทรมาขออนุมัติใหม่ได้ หวานหมู.... ซะที่ไหนล่ะ ก็นี่มันบัตรบริษัทนินา จะเอาไปใช้ส่วนตัวมิได้นะจ๊ะ ^_^"

4) Binders
เป็นแฟ้มข้อมูลต่างๆที่จำเป็น เช่น
  • เอกสารเตรียมตัวเดินทาง ว่าก่อนไปต้องเอาอะไรไปบ้าง ไม่ควรเอาอะไรไป เช่น เสื้อผ้า เค้าบอกมาเลยว่าหาที่นั่นง่ายและถูกกว่า รวมถึงเสื้อหนาๆที่คิดว่าจะใส่ในบ้านก็ไม่ต้องเอาไป เพราะที่ไหนๆ ถึงจะหนาวก็มี heater ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิทุกทีปกติ อาจจะ need แค่พวก coat/ sweater เท่านั้น
  • เอกสารการเตรียมเคลื่อนย้ายสัตว์เลี้ยง และพวกเอกสารที่ให้เราจดว่าของสำคัญต่างๆ เช่น สมุดบัญชี ทะเบียนบ้านเก็บไว้ที่ไหน เพราะกรณีที่มีสามี ภรรยา หรือลูกที่จะย้ายตามไปด้วย อาจจำเป็นต้องใช้เอกสารพวกนี้
  • ตารางกิจกรรม ว่าต้องไปที่ไหนเมื่อไร ต้องเข้าคลาส orientation ไหนบ้าง  คลาสที่จะมีเทรนก็หลายอย่าง ตั้งแต่ Cross-cultural training เพื่อให้รู้จักว่าคนอเมริกันเป็นยังไง เรื่องการแนะนำบริษัท และ benefits ต่างๆ รวมถึงการอบรมพวก technical อย่างโปรแกรมที่ใช้ และมาตรฐานต่างๆ ด้วย
  • *Classmates* อันนีี้ต้องกาดอกจันขีดเส้นใต้ไว้เลย เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าเพื่อนร่วมรุ่นที่จะไปเจอ และเทรนด้วยกันเป็นใครมากจากประเทศไหนบ้าง ปีนี้มีทั้งหมด 43 คนรวมเราด้วย ก็หลากหลายดี มีตั้งแต่ พี่จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง ฮังการี เชค อูกันดา อียิปต์ เมซิโก ญี่ปุ่น วาไรตี้มากๆ ถึงแม้ว่าเป็นแนวจีนไปสิบกว่าคนแล้วก็ตาม และในลิสต์รายชื่้อก็จะบอกว่าแต่ละคนได้ไปออฟฟิศที่ไหนบ้าง  

The grass is always greener at the neighbors   ... คำนี้นี่โผลขึ้นมาในใจเลยอะ >_<

ก็แอบอิจฉาเพื่อนๆที่ได้ไปลั้ลล้าแลนด์ อย่าง New York, San Francisco, San Diego, Chicago, Silicon Valley ลั้ลลากันน่าดูเลยอ่าาาาา เอากลับไปให้แม่ดูแม่ยังบอกว่าอยากอยู่ซานฟรานเลย..

แต่ก็เอาน่าาา อย่างเมือง Atlanta ที่เราไปก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรน๊า มันก็ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของอเมริกา แล้วก็เคยจัดโอลิมปิก มันก็ต้องเป็นเมืองที่ "something" ใช่ปะ (เมื่อวานดูเรื่อง "เมียแต่ง" ตลกมากอะ ที่เบนซ์บอกว่า ผู้ชายดีๆแบบนี้ เหมาะกับ "somebody" อย่างชั้นเท่านั้นนน กร๊ากกก)

กระนั้นก็เถอะ แอบอิจฉาไปเรื่อยเปื่อย เพราะอย่างน้อยเมืองลั้ลลาพวกนี้มันเป็นเมืองที่คนไทยมักไปเที่ยวกัน เวลาพ่อแม่พี่น้องมาเที่ยวก็ง่าย (และถูกกว่า) มาก
เวลากลับบ้านก็น่าจะกลับได้ง่ายกว่าด้วย 
(ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจละ ว่าบริษัทจะให้ตั๋วกลับบ้านประจำปีรึเปล่า ถ้าไม่มีคงไม่ได้กลับอะ เพราะค่าใช้จ่ายในการกลับเมืองไทยจากเมืองที่เราอยู่มันตกทริปนึง (ไปกลับ) ประมาณ 5-7 หมื่นบาท ท่าจะไม่ไหวอะนะ) 

ขณะที่เรากำลังอิจฉาเพื่อนคนอื่นๆอยู่นั้น เพื่อนบางคนที่ได้เมืองแบบ "อะไรฟระ" ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตนี้ก็มีหลายคนเหมือนกัน หรือจะว่าไปการได้ไป explore เมืองแปลกๆที่ไม่มีใครรู้จักอาจจะสนุกและมีความสุขกว่าก็ได้ 

สุดท้ายแล้ว ต้องตั้งอยู่บนความพอดี ไม่โลภมากถึงจะมีความสุขสินะ 

Sunday, July 17, 2011

Happy Sunday (^__^)

วันนี้ขอเริ่มและจบด้วยเรื่องปกติทั่วไปเกี่ยวกับชีวิตบ้าง :)

ตอนเช้าตื่นมาพยายามหักดิบด้วยการอดข้าวเช้า เพราะวางแผนไปถล่มมื้อเที่ยงที่ Lord Jim's
เป็น Buffet อยู่ที่โรงแรมโอเรียลเต็ล (แถวบ้านใกล้มากๆ) ไปกันทั้งหมด 11 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่เยอะมากทางร้านเลยจัดให้ได้ห้องพิเศษแบบเป็นส่วนตัว

พนักงานบริการดีเยี่ยมตามมาตรฐานโรงแรม 5 ดาวเลยทีเดียว
ด้วยความที่โต๊ะเราเป็นโต๊ะใหญ่ เลยมีคนดูแลส่วนตัวประจำโต๊ะสองคน ระดับการดูแลนอกจากยกจานออกตลอดเวลาแล้ว ยังใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยด้วย

ยกตัวอย่างเช่น
พวกเราคุยกันเองว่า "อุ๊ย ไม่มีตะเกียบ เดี๋ยวเดินไปเอา" ซักพัก พนักงานที่ดูแลก็หยิบตะเกียบมาให้
น้ำก็เติมให้ไม่ขาด (หรืออาจเป็นกุศโลบายให้อิ่มเร็วๆก็ได้ แหะๆ)

เมนูเด็ดที่นี่ที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยก็มี

- หอยนางรมสดฝาโต ที่ไม่มีกลิ่นคาวเลย
- ฟัวกราส์ ชิ้นพอดีคำ แต่เราไม่ได้กินนะ มันเลี่ยนมันทำร้ายร่างกายมากๆ ... (ว่าไปนั่น แล้วไอ้อย่างอื่นที่กินไปทั้งหมดไม่ทำร้ายร่างกายเล้ยยย แม่คู้นนนน)
- บักแกต กินกับตับหมูบด (ตับทำได้ไม่มีกลิ่นตับ และเหมือนทูน่าผสมกับหมูมากๆ)
- ต้มข่าไก่อร่อยดี แต่พวกซุปครีมกลับสู้ไม่ได้แฮะ
- ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว

ใครสนใจรีวิวแบบละเอียด ลองไปดูตามเวบนี้ได้
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2010/08/D9568716/D9568716.html
ละเอียดดี  ^_^ 

ต่อจากนั้นก็ไปดู Harry Potter and the Deathly Hollows ภาคสุดท้ายที่ Paragon คนยั้วเยี้ยเหมือนตั๋วฟรี
ไม่ได้ดูหนังนาน เดี๋ยวนี้ตั๋วหนังมันใบละ 220 บาทเลยเหรอเนี่ยยย แพงมากสสสส์ -"-
แต่ว่าภาคนี้สนุกดีแฮะ ขนาดกินอิ่มโคตรๆๆๆ ยังไม่หลับในโรงเลย
(เคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับ Harry ภาคแรกๆ ดูแล้วอย่างง่วงเลยเว้นดูในโรงไปหลายภาคแล้ว)

ดูตอนสามโมงกว่าเลิกมาก็ประมาณหกโมงพอดี

จำใจต้องทานมื้อเย็นต่อ OMG!! แก๊งเดิม (คราวนี้เหลือ 10 คน) ตัดสินใจไปจบมื้อเย็นที่  Anotherhound by Greyhound ที่เดิมคือที่พารากอน
ขนาดกินแต่พวกอาหารจานกลางแต่สุดท้ายก็ซัดจำพวก
-ปีกไก่ทอด
- ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ
- ยำปลาแซลมอน
- หมูย่างส้มตำ
- Spaghetti หมึกดำ
- Home fries

จากกินเล่นก็กลายเป็นกินจริงไปซะนี่ T_T ถึงจะไม่ได้กินเยอะแบบถล่มทลาย แต่มันอิ่มมมากกกก อิ่มจนแบบว่าทำไมต้องทรมานร่างกายขนาดนี้เนี่ย เดี๋ยวนี้เวลาอิ่มภาพในฟิตเนสที่ตัวเองวิ่งอย่างทรมานนี่มันลอยมาเลย (แต่ปากก็กินต่อไป) ^_^" นี่ล่ะน๊า ถึงไม่ผอมเพรียว slender ซักกะที

วันนี้ไปแวะดูกล้องที่ร้าน Samsung มา มีรุ่นนึงที่แข่งกับ Canon G12 คือ Samsung EX1 ราคาพอๆกัน ก็ดูโอเคนะ ช่วงนี้เลยหาข้อมูลกล้องใหม่อยู่ ใจจริงอยากได้แนว Canon S95 หรือ Nikon P300 แบบที่เบาๆพกพาง่าย แต่พอคิดว่าอีกหน่อยไปเที่ยวคนเดียวอยู่คนเดียวซะส่วนใหญ่ ไอ้กล้องประเภทพลินเลนส์เห็นหน้าตัวเองได้น่าจะดี

ใครมีข้อแนะนำอะไรบ้างจ๊ะ อยากฟังกูรู หรือผู้มีปสก มาแชร์บ้างง่ะ