เมื่อวานมีเด็กในจ๊อบมาบอกว่า "จะลาออกแล้วนะ!"
ขอเกริ่นประวัติคร่าวๆของน้องคนนี้
ชี เป็นฝรั่งคน local เนี่ยแหละ ทำงานกับบริษัทมาได้ประมาณปีครึ่ง ได้ CPA ตั้งแต่ก่อนเข้าทำงานแล้ว เพราะว่าเด็ก Accounting ส่วนใหญ่ในอเมริกาจะเรียนต่อจนจบ Master ตั้งแต่ก่อนเริ่มทำงานที่แรก เพราะว่า US CPA requirement มักจะต้องการ 150 หน่วยกิต ซึ่งปกติ ป.ตรีก็มักจะแค่ 120-130 เครดิต ไม่พอที่จะสอบ CPA อยู่แล้ว เด็กจากหลายๆรัฐที่เราเคยทำงานด้วย เช่น Georgia, Alabama, Virginia, etc ก็เลยแอบแก่นิดส์สึง คือเริ่มทำงานประมาณอายุ 23-25
ต่อๆ ชีก็เป็นเด็กที่ดีพอสมควร แต่มี passion ในการออกกำลังกายมาก (ซึ่งน่ายกย่องเป็นที่สุด) ทุกวันถึงแม้จะเป็นช่วง Year-end ชีก็จะพยายามเลิกงานไม่เกินสองทุ่ม เพื่อกลับไปฟิตเนสแถวบ้าน งานอดิเรกก็คือการยกเวท!!! หน้าตาก็สวย หุ่นก็ดี เหมือน นาตาลี (ภรรยาเก่าภารดร) ประมาณนั้น อิจฉา!
วันศุกร์ที่ผ่านมา ชีขอลาหยุดแบบสายฟ้าแล่บจน manager ยังงง บอกว่าจะไปทำธุระที่ South Carolina ซึ่งห่างประมาณ 6 ชั่วโมงจากเมืองที่เราทำงานอยู่ พวกเราก็ไม่ได้อะไร คิดว่าไปหาญาติ หรือทำธุระ
วันจันทร์ ชีแอบกระซิบ (หลังจากทำงานกันอย่างเงียบงัน) ว่า
นาตาลี: มีอะไรอยากเล่าให้ฟัง
Toffee: อะไร??!! (กำลังทำงานอย่างเคร่งเครียดดด)
นาตาลี: จะลาออกแล้วแหละ เมื่อวันศุกร์ที่ลา จริงๆ คือไปสัมภาษณ์งาน แล้วเค้าก็ตอบรับแระ เริ่มงานเดือนเมษายน
Toffee: อ่าวว แล้วที่ manager บอกว่าปีหน้าจะให้หล่อนเป็น in-charge ล่ะ
นาตาลี: ออดิทก็เงี้ย ใครๆก็รู้ว่าพวกเราเปลี่ยนงาน เปลี่ยนหน้ากันบ่อยจะตาย
Toffee: ......( แมร่ง จริงว่ะ)
แต่การตัดสินใจของชี เราว่าสมเหตุสมผลนะ ที่ใหม่ที่ไปห่างจากบ้านเกิดชี 6 ชั่วโมงขับรถ ก็ไม่ได้ไกลมาก ยังกลับมาเยี่ยมครอบครัว เพื่อนๆได้ ชีเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เกิดมาแทบไม่เคยไปไหนเลย โตที่นี่ เรียนที่นี่ ทำงานที่นี่ เมืองเก๋ๆ ที่ใครเค้าไปกัน ก็ยังแทบไม่เคยไป
เออ เหลือเชื่อเนอะ เป็นฝรั่งเองซะเปล่า ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง New York แล้ว แต่เกิดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยไปเลยเนี่ยนะ?? แต่ก็จริงที่ว่า ถ้าคนเราไม่มี passion ต่อให้ใกล้แค่ไหนก็ไม่ได้เห็นว่าสำคัญอะเนอะ
จะไปว่าว่าใกล้เกลือกินด่างก็ไม่ถูก เพราะถ้าเราไม่ชอบ ไม่สนใจตั้งแต่แรกแล้ว มันก็ไม่เป็นประเด็น
เมืองที่ชีจะย้ายเป็นเมืองร้อนนิดนึง ติดทะเล และมีฟิตเนสให้เล่นทุกวัน บริษัทใหม่ก็เป็นบริษัทใหญ่ๆของเมืองนั้นที่เพิ่ง listed ในตลาดหลักทรัพย์เลยต้องการ Internal Auditor กลุ่มใหม่ไฟแรงไปทำนู่นนี่
เงินเดือนให้มากกว่าเยอะ แถมชีเล่าว่า แอบกล้าต่อขึ้นเงินเดือนไป เค้ายังตอบตกลง
ทั้งเรื่องเงิน เรื่อง work-life balance ที่ชีสามารถไปฟิตแอนด์เฟิร์มได้ตั้งแต่ห้าโมงเย็น ทั้งเรื่องที่ชีอยากหนีจากแฟนเก่าที่วนเวียนไปไหนไม่ไกลกัน (เพราะเกิดและโตมาในเมืองเล็กๆเมืองเดียวกัน) ชีก็เลยเอาวะ! ตัดสินใจ
วันนี้ชีโทรหา Performance Manager ต่อหน้าเรา ก็ได้ยินสนทนากันซักพัก ไม่มีการเหนี่ยวรั้งใดๆทั้งสิ้น
นึกถึงออฟฟิศเราที่เมืองไทย กว่าจะออกได้เหนี่ยวรั้งกันแทบตาย
คิดไม่ตกว่าการที่โดนรั้งไว้ กับการที่ไม่ถูกรั้งไว้เลย อะไรจะดีกว่ากัน??
มานึกๆดูอยู่ที่นี่เหตุผลของการลาออกที่ง่ายและต้านทานไม่ได้เลยก็คือจะย้ายเมือง
อยู่กรุงเทพบอกว่าเปลี่ยนงาน เพราะย้ายเมือง ผู้ใหญ่คงถามว่า ย้ายออกจากกทมไปตจวเนี่ยนะ???
ก็ฟังดู very rare
แต่ที่นี่ อารมณ์ติสต์มันเยอะ คนที่นี่มีคำที่ชอบโดนแซวบ่อยๆว่า "American Dream" คือ คนฝั่ง New York ก็มักจะมีความฝันอยากไปอยู่ LA เห็นทะเล เจอแดด คน LA ก็อยากอยู่ New York เห็นตึกสูงๆ
คนใต้ก็อยากเข้าเมืองหลวง คนเมืองหลวงก็อยากมาใช้ชีวิตชนบท พวกนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ ไม่ใช่เคส extreme แนวอยากอยู่ดอยเหมือนคนไทย
การคมนาคม รถเช่า โรงแรมในแต่ละเมืองก็เลยคึกคัก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ๆเดียว
เออ สรุปวันนี้ไม่มีประเด็นเลยแฮะ
มาบ่นๆ เล่าๆ ให้ฟัง ว่าเด็กในจ๊อบจะลาออก เพื่อไปตามความฝัน American Dream โอเคป่ะ??
Thursday, April 5, 2012
ณ จุดนี้อยากได้วุ้นแปลภาษา ของพี่โดเป็นที่สุด (T__T)
เปิดมาไม่ต้องตกใจว่ารูปนี้คือก้อนอะไร
ถ้าใครเคยอ่าน หรือดูการ์ตูนโดเรมอนก็คงจะพอร้องอ๋อได้บ้าง
มันคือ "วุ้นแปลภาษา" นั่นเอง!!!
ทำไมถึงนึกถึงสิ่งนี้ขึ้นมา?
เพราะว่าลองคิดๆดูแล้ว ทำงานที่อเมริกามาเกือบหกเดือน สิ่งที่ยังขาดและไม่ไหวจริงๆเลยก็คือ "ภาษาอังกฤษ" เนี่ยแหละ
ถามว่าดักดาน หรือแย่มากๆ อะไรขนาดนั้นมั้ย ก็ต้องบอกว่า ไม่ได้แย่แบบนั้น ณ จุดนี้ก็สามารถฟอร์มประโยคที่ถูกต้องตาม grammar ซะส่วนใหญ่ (ถ้าเตรียมตัวมา) และมีฐานคำศัพท์ที่มากพอที่จะดูหนัง ดูรายการทีวี ได้รู้เรื่องเกือบหมดแล้ว
พอจะคุยกับฝรั่งรู้เรื่อง สื่อสารประจำวันได้ 95% (หมายถึงเมาท์เรื่องทั่วไป คุยเรื่องชีวิตประจำวันเรื่องหนัง เรื่องอาหาร เรื่องไปเที่ยว) แต่ยังไม่อัพเลเวลถึงขั้นคุยเรื่องกฎหมาย การเมือง (แบบลึกซึ้ง) หรือการแสดงความเห็น บรรยายภาพอย่างถึงรากเหง้า
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ เหมือนกับเวลาที่เราไปเที่ยวแล้วรู้สึกว่า มันสวย
ถ้าเป็นฝรั่งที่เรียนภาษาไทย ก็คงพูดได้แค่ว่า "ที่นี่สวยมาก ฉันชอบมาก ดีที่สุด"
แต่ถ้าเจ้าของภาษา ซึ่งในที่นี่คือเราเป็นคนไทย เราจะสามารถบรรยายได้มาก ว่า สิ่งที่เห็นนั้นมันงดงามหยาดเยิ้ม แทบหยุดหายใจ ไหลลึกเข้าไปในภวังค์ เหมือนอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.... ประมาณเนี้ย
คำว่า สวย จริงๆ ภาษาไทยเราก็มีภาษา หรือคำศัพท์ที่สามารถสื่อออกมาได้เยอะกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ถ้าไม่ใช่เจ้าของภาษาก็คงไม่เข้า
พวกนี้มัน require vocab level ประมาณหนึ่ง ถ้าไม่รู้ศัพท์เฉพาะทาง หรือ adjective ที่บรรยายได้ตรงจุด การสื่อสารความหมายก็จะไม่ตรงประเด็นแบบที่ใจมันอยากสื่อนัก ซึ่ง ณ จุดนี้เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดมาก :(
ทีนี้ปัญหาตอนนี้คืออะไร ก็คือทุกครั้งเวลาที่ต้องคุย หรือถามปัญหาลูกค้าเนี่ยแหละ เวลาที่ต้องพูดประโยคยาวมากๆ คุยกันเป็นสิบห้ายี่สิบนาทีขึ้นไป เถียงกันเรื่อง Accounting practice, Audit finding
เราก็มีความสามารถพิเศษที่พี่ม่อนไม่มี คือ สามารถทำให้เค้าทั้งรู้เรื่อง และงงไปได้พร้อมๆ กัน -_-" แบบว่าพูดไปซะยาวววว ลูกค้าถามกลับมา ว่า ฮึ I am sorry I do not understand what you mean (ในใจเค้าคงแบบ มรึงพูดภาษาอังกฤษอยู่รึเปล่าเนี่ย)
หรือเวลาเถียงประเด็นกับคนในจ๊อบ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง คือ รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่เอามาเถียงไม่ทัน (โว้ยยย)
ณ บางมุม มองไปหาเด็กน้อย Junior ที่นั่งข้างๆ และเป็นเจ้าของภาษา ถึงความรู้ปสกจะมีไม่มาก แต่หน้าตาท่าทางเวลามันพูดออกมานี่แบบ ดู Professional เว้ยเฮ้ย ถึงจะรู้ว่าเค้าเป็นเจ้าของภาษา ก็พูดได้เก่ง ด่าได้เจ็บเท่ากับเวลาเราพูดภาษาไทย แต่ก็นะ ตอนนี้ไม่ได้อยู่บ้านเกิดตัวเองนินา ก็ต้องก้มหน้าก้มตาต่อสู้ไป >_<
แต่ขอบอกว่า เวลาทำงานอะ รู้เรื่องนะ แต่ทำงานรู้เรื่องขนาดไหน พูดออกไปไม่รู้เรื่องมันก็ดูเหมือนไม่รู้เรื่องอยู่ดีอะแหละ (T____T) เวลาที่เหลืออยู่จะกู้กลับมาทำหน้าตาชื่อเสียงให้บ้านเกิดตัวเองได้มั้ยเนี่ย
หายหน้าหายตา
ไม่ได้ update blog นานเกิ๊นนนน
งานรุมเร้าคอดๆ -_-"
แต่ก็ไม่บ่นหรอกนะ เพราะว่าเวลางานที่นี่ก็เรียกว่าปราณีกว่าที่เมืองไทยมากมาย ไม่เคยกลับบ้านหลัง 3 ทุ่มเลย ถือเป็นความโชคดี เพราะหน้าพีคแบบนี้ ออดิทประเทศไหนก็หนักทั้งนั้นแหละ
(ทีมอื่นดึกๆ ก็มีนะ แต่ก็ไม่ได้ทุกวันติดกันเป็นเดือนๆ)
มีเอางานกลับมาทำที่บ้านบ้างอาทิตย์ละสองสามวัน บางทีก็ลากยาวไปตีหนึ่งตีสอง แต่ก็เรียกได้ว่าทำตัวเองซะมากกว่า ไม่ใช่อารมณ์ว่างานมันบีบคั้น แต่ก็นะ บางทีถ้ารู้สึกว่างานไม่เสร็จ ทำอะไรไม่คืบหน้าเท่าไหร่ก็จะรู้สึกเครียดๆ เล็กน้อย นอนตายตาไม่หลับ ก็เลยทำๆ ซะให้มันรู้สึกสบายใจ :)
Review note ที่ได้จาก manager/partner ก็ยังมากมายตามสไตล์คนที่รีวิว (ซึ่งไม่ใช่คนทำ) ก็ตั้งหน้าตั้งตาเคลียร์กันไป
สรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์
งานรุมเร้าคอดๆ -_-"
แต่ก็ไม่บ่นหรอกนะ เพราะว่าเวลางานที่นี่ก็เรียกว่าปราณีกว่าที่เมืองไทยมากมาย ไม่เคยกลับบ้านหลัง 3 ทุ่มเลย ถือเป็นความโชคดี เพราะหน้าพีคแบบนี้ ออดิทประเทศไหนก็หนักทั้งนั้นแหละ
(ทีมอื่นดึกๆ ก็มีนะ แต่ก็ไม่ได้ทุกวันติดกันเป็นเดือนๆ)
มีเอางานกลับมาทำที่บ้านบ้างอาทิตย์ละสองสามวัน บางทีก็ลากยาวไปตีหนึ่งตีสอง แต่ก็เรียกได้ว่าทำตัวเองซะมากกว่า ไม่ใช่อารมณ์ว่างานมันบีบคั้น แต่ก็นะ บางทีถ้ารู้สึกว่างานไม่เสร็จ ทำอะไรไม่คืบหน้าเท่าไหร่ก็จะรู้สึกเครียดๆ เล็กน้อย นอนตายตาไม่หลับ ก็เลยทำๆ ซะให้มันรู้สึกสบายใจ :)
Review note ที่ได้จาก manager/partner ก็ยังมากมายตามสไตล์คนที่รีวิว (ซึ่งไม่ใช่คนทำ) ก็ตั้งหน้าตั้งตาเคลียร์กันไป
สรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์
- เสร็จ engagement ที่ Richmond กลับมาพำนักพักพิง ยาวววววววววว ที่ Atlanta อีกเป็นเดือน (ช่วงนี้ก็กินแกลบกันไป ไม่ได้ Per diem ค่าดิฟก็กระจิ๊ดริ๊ดไม่พอยาไส้ shopping แต้มบัตรเครดิต แต้มโรงแรมก็ไม่กระเพื่อมเล้ยยย หดหู่สุดๆ
- สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นก็คือ manager ที่จ๊อบ Richmond ให้ Review performance ดีเชียว ก็แอบดีใจนะ เพราะเป็นบริษัท Brokerage firm ที่ไม่เคยมีปสก ด้านนี้ แต่เค้าพอใจในผลงานที่เราตั้งใจทำ ก็ดีอะ
- ข้อดีที่กลับมาก็คือ ได้ทำอาหารกินเองเยอะขึ้น ตอนนี้เริ่มนับแคลอรี่แบบว่ากินไม่เกินวันละ 1200 โดยใช้ App ใน iPhone มาได้จะเดือนนึงแระ น้ำหนักก็ลดแบบเป็นที่น่าพอใจอยู่ แต่ของแบบนี้จะเหลิงไม่ได้อะนะ ปัญหาการควบคุมจิตใจไม่ให้ (แหล่ก) กินมากเกินไปเนี่ย ปัญหาระดับชาติ!! อ้วนมาทั้งชีวิตแล้ว เดือนเดียวคงจะไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยได้ถาวรหรอกน่า ^^"
- ลูกค้าที่ใหม่เป็นแนวบริษัทยา ถึงจะเป็นแนวยาๆ แบบลูกค้าหลักของเราที่เมืองไทย แต่ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ยังดีเล็กน้อยที่ลูกค้ามี 2 Locations ที่นึงเหมือนเป็น accounting office อยู่ใน Kennesaw, GA ก็ขับรถวันละ 30-40 นาที ระยะทางประมาณ 19 ไมล์ได้ ส่วนอีกที่อยู่ที่ McDonough, GA ก็เรียกว่าในเมืองเหมือนกัน แต่ห่างจากบ้านไปตั้ง 40 กว่าไมล์แน่ะ วันๆ ก็อยู่บนถนนไปกลับรวมสองชั่วโมง ตอนนี้ คุโระบุตะ (หมูดำ Accord) ของเรา ไมล์เลยเฉียด 118,000 แล้ว >___< ภาวนาอย่าเจ๊ง อย่าแตก อย่าเคือง อย่างอน บนท้องถนนนะลูกนะะะะ
- จ๊อบนี้ก็ได้เป็นอินชาร์จแบบเต็มตัว มีเด็กในสังกัดเป็นเด็กอเมริกันสองคน สั่งงานกันมันส์มือ เวลาอธิบายงาน ก็มันส์พะยะค่ะ เพราะหลายครั้ง เด็กๆ ก็งงว่าเราพูดภาษาอะไรอยู่ (ฉันพูดภาษาอังกฤษ สำเนียงไทย ที่พยามแอ๊บฝรั่งแล้วนะเว่ยยย) เด็กในจ๊อบคนนึงแซวขำๆว่า เนี่ยๆ ถ้าพูดแบบยูลงไป deep south (หมายถึง ลงไปทางแถบ Alabama/ Mississippi) ฝรั่งจะงงนะ ว่ายูพูดภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทยอยู่ เง้อออ แอบบเจ็บ (มันหลอกด่าว่าเป็นกะเหรี่ยงป่าวฟระ) แต่ก็ต้องทำใจ ....ถึงจะพูดได้แต่สำเนียงก็ส่อชาติเกิด 555 ไว้มีลูกจะส่งไปเรียนเมืองนอกแต่เด็กให้ปิดตาฟังคิดว่าเป็นฝรั่งเลยเหอะะะ จำไว้!!!
Subscribe to:
Posts (Atom)