เย้ๆ พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์แว้วววว T G I (Thanks God It's Friday)!!!!
ตรากตรำทำงาน labor มาทั้งอาทิตย์ ได้ยินแว่วๆ ว่าอาทิตย์หน้าจะมีสิ่งที่กระตุ้นรอยหยักให้ทำบ้าง (จิงปะ)
เดี๋ยวก็จะขับรถกลับ Atlanta แล้ว
ตื่นเต้นทุกทีที่เปิดห้องอะ กลัวเจอลูกปีเตอร์ตายเกลื่อน ไม่ก็คลานกันยั้วเยี้ยบนผ้าห่ม
ถ้าเป็นงั้นคงช็อคตายคาที่ และขึ้นอืดแบบไม่มีใครรู้อะนะ -_-"
ช่วงนี้น้ำมันลงไงไม่รู้ ปกติที่ Columbus น้ำมันก็ถูกกว่าที่ Atlanta อยู่แล้ว
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ Atlanta $3.49/ gallon พอขับมาที่ Columbus เหลือ $3.23 ก็ตาลีตาเหลือกรีบเติม
พอสี่วันผ่านไป วันนี้เหลือ $3.13 แล้ว ไม่มีถังให้เติมง่าาา
Ford Focus ที่ขับอยู่ก็จุดได้ไม่เยอะเท่าไหร่ เติมเต็มถังสุดๆก็สามสิบกว่าเหรียญเท่านั้นเอง
แต่ก็นะ เพื่อนรักที่อยู่ร่วมเรียงเคียงบ่ามาจะเดือนนึง เดี๋ยวก็มีอันต้องจากกันเพราะครบตาม policy ที่ให้รถเช่าหนึ่งเดือนแล้ว T_T คงคิดถึงมันนิดส์นึง
คืนนี้กลับไปก็ไปลุ้นกัน ว่า internet ที่สมัครไว้ โมเด็มที่สั่งออนไลน์ไว้ จะมาส่งรึเปล่า
ไม่ได้คาดหวังอะไรมากอะนะ กลับไปก็ดึกแล้วคงไม่ค่อยมีเวลามาก แต่ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยซักทีก็น่าจะดี
สุดสัปดาห์นี้จะต้องหารถ และซื้อรถให้ได้ (อย่างบ้าคลั่ง!!)
ตอนนี้เล็งไว้สามคัน
คันแรก เป็นพี่คนไทยที่ Atlanta แนะนำรถอู่ เป็น Honda Accord ปี 2004 ราคา 7,500
คันที่สอง เป็นของดีลเลอร์ Honda Civic 2003 ราคา 6,900
คันที่สาม เป็นของดีลเลอร์ Honda Civic 2004 ราคา 6,900 เท่ากัน
ทั้งสามคันก็ประมาณแสนไมล์แล้วแหละ เป็นทางเลือกเท่าที่มีอะนะ เพราะไม่อยากซื้อรถใหม่ที่ราคาประมาณ 15,000 (เท่าตัวเลยนี่นา) หรือรถมือสองที่ราคาหมื่นนิดๆ มันก็กระไรอยู่ แบบว่าอีกนิดก็ซื้อรถใหม่ได้แล้ว ก็คิดวนไปวนมา สุดท้ายเลยยังหาที่ถูกใจ (และถูกเงิน) ไม่ได้ซักที
หวังว่าจะมีโชคกับ 1 ในสามคันนี้ละกัน เพี้ยงงงงง
อัพเดทเท่านี้ กลับบ้านดีก่าาาา เย้ๆๆๆๆๆ
Thursday, October 6, 2011
Wednesday, October 5, 2011
ชีวิตออดิทที่อเมริกา ก็มีมุมที่หรูบ้างไรบ้าง
จากที่เคยเล่าว่า มาออกจ๊อบต่างจังหวัด
คำว่าต่างจังหวัดที่หมายถึง ก็เพราะว่าตัว office เราอยู่ที่ Atlanta ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ
การออกนอกเมืองก็คือต่างจังหวัดล่ะนะ มาทำงานที่ Columbus ซึ่งเคยพูดถึงไว้ที่
ฉันมาทำอะไรที่นี่? ที่ Columbus, Georgia
http://www.toffee-in-usa.com/2011/09/columbus-georgia.html
วีคแรกยังไม่ประสีประสา เลยพักที่ Holiday Inn ไป
ส่วนวีคถัดๆมาเริ่มประสาแระ ก็เลยอัพชั้น
ได้มาพักที่ Columbus Marriott ซึ่งเป็นโรงแรม tier 4 รองจากระดับ Ritz Calton และเป็นโรงแรมที่ไฮโซที่สุดในเมืองโคลัมบัสเลยเชียว (แต่โคลัมบัสก็เป็นเมืองธรรมด๊าธรรมดาอะนะ)
บล๊อคนี้ก็เลยขอเบรกอารมณ์อันอ่อนไหวด้วยรูปโรงแรมแล้วกัน
ประวัติโรงแรม (มีประวัติด้วยเว้ยย)
แต่เดิม โรงแรมนี้เคยเป็นโรงงานทอฝ้ายหรือสำลี (มั้ยนะ) มันคือ Cotton mill ตั้งแต่ปี 1861
พอมาทำเป็นโรงแรมก็ทำการ renovate ก่ออิฐขึ้นมาโดยคงสภาพ และการตกแต่งแบบ convention ไว้ ลักษณะในโรงแรมเลยจะเป็นอิฐสีแดง ยุคเก่าๆนิดนึง ไม่ได้เป็นแนว Modern เหมือน Marriott ในเมืองนั่นเอง
โดยตัวตึกที่เราอยู่มีทั้งหมด 6 ชั้น ชั้น 5-6 เรียกว่าเป็นชั้น VIP เนื่องจากต้องจ่ายแพงกว่า ไม่ก็ไว้สำหรับ Marriott member ที่เป็น silver ขึ้นไปเท่านั้น
สำหรับวีคแรก เราได้อยู่ชั้น 6 จัดเป็นแขก VIP เนื่องจากเราเป็น Silver Elite member ของ Marriott (ซึ่งได้มาจากการพักและสะสม 10 คืนเท่านั้นอะนะ)
ห้องนอนก็แอบเจ้าหญิงนิดๆ หมอนครบเซทเลย มีทั้งหมอนอิง หมอนข้าง หมอนหนุน
โต๊ะทำงาน มีน้ำเปล่าให้หนึ่งขวด ถังน้ำแข็ง นอกนั้นก็มีตู้เย็น(เปล่า)ไว้ให้
Sofa ก็จัดว่าสบายดี เหยียดแข้งเหยียดขาปรับนอนได้
ห้องน้ำ counter top เป็นหินอ่อน ไม่ชอบตรงที่ sink มันเล็ก และเตี้ยมาก
ดีที่มีกระจกส่องสิวให้ด้วย
มีกาแฟ กับไดร์เป่าผมให้ตามสไตล์ Marriott เค้าล่ะ
สิ่งที่คิดว่าหรูขึ้นมานิด ก็คือ Amenities ของ Bath and Body Works ที่มาในแพคเกจที่ทำให้แตกต่างออกไป เป็นคนละแบรนด์กับของเครือ Residence Inn
ที่มีให้มีทั้งหมด ห้าขวด ได้แก่ แชมพู ครีมนวด เจลอาบน้ำ โลชั่น และน้ำยาบ้วนปาก
อุปกรณ์ข้างเคียง มี สำลี คอตต้อนบัด ผ้าขัดรองเท้า และหมวกอาบน้ำ
ส่วนเครื่องดื่มที่มีให้ คือ Black tea, Camomile tea น้ำตาล ครีม sweetener กาแฟ ทั้งแบบธรรมดา และดีแคฟ แก้วกระดาษ พร้อมฝาทูโกสองใบ
จบจากห้องนอน ก็ไปดูห้อง VIP Conceirge Lounge กันบ้าง
อย่างที่บอกว่าความพิเศษ VIP ของชนชั้น 5-6 คือ สามารถเข้า VIP Lounge ได้
Lounger นี้มีอะไรบ้าง?
-มี Busniness center เป็นของตัวเอง แยกจากของโรงแรม สามารถมาเล่นเนต แสกน ปริ๊นงานได้เลย ส่วนกลางของโรงเป็นเครื่อง Mac ให้สองเครื่อง
- มีหนังสือพิมพ์หลากหลายให้อ่านฟรี อย่างพวก New York Times, Wallstreet Journal และนิตยสาร Forbies
- เด็ดสุด คือมีอาหารและเครื่องดื่ม
อาหารเช้า เป็นบุฟเฟ่ต์ ไลน์เล็กๆ มี 4-6 อย่าง
ออเดิร์ฟช่วงเย็น คือไม่ถึงขั้นเป็น full meal แต่ก็อิ่มได้ อย่างพวก อกไก่อบ กับสลัด
มี full bar ซึ่งเสิร์ฟไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (แต่ต้องจ่ายตังเพิ่ม)
ขนมรอบดึก วันละ 1 อย่าง ที่เคยกินก็มีพวก Chocolate Fudge Cake, Tiramisu, Brownie
- มีแม่บ้านประจำ ไว้คอยตอบคำถาม คุย เก็บจานชามให้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องทิป
จากนั้นก็พาลงมาดูที่ลอบบี้ และลักษณะการตกแต่งโดยรวม
ตรงนี้เป็นโถงหน้าลิฟต์ ตกแต่งได้อบอุ่นเหมือนในบ้าน (คฤหาสน์) มากๆ
หลังคาเป็นแบบโปร่ง รับแสงตอนกลางวันได้ เห็นฟ้าใสๆ ของโคลัมบัสแล้วน่านอนจัง
มีเปียนโนผี (ที่มันกดเล่นได้เองอะ) แล้วก็โซฟาให้นั่งรอได้
Coffee Shop ของโรงแรม จริงๆ ข้างในเป็น Starbucks น่ารักมากกก ดูอบอุ่นสุดๆ
ส่วนอันนี้เป็นทางเข้าบาร์ และห้องอาหารของโรงแรม สำหรับอาหารมื้อเช้า (ถ้าไม่ใช้ Conceirge lounge)
ทางเดินในล็อบบี้
เดินออกมาดูบรรยากาศตึกรอบๆ
ใกล้ๆ โรงแรมเป็นรางรถไฟ จะได้เสียงหวูดๆ ทุกคืน (เสียงคลาสสิคมาก)
ตึกตรงข้ามโรงแรมก็หน้าตาคล้ายๆกันคือใช้อิฐแดง
สระว่ายน้ำอยู่ส่วนปีกข้างๆโรงแรม ไม่ค่อยมีคนว่ายเพราะอากาศเย็นมากทีเดียว
สนนราคา ปกติอยู่ที่คืนละ $184++ สำหรับห้องธรรมดา
และ $194++ สำหรับห้อง VIP ชั้น 5-6
จริงๆ ราคาก็ไม่ค่อยต่างกันมากอะนะ ก็เลยดูเหมือนว่าทุกคนจะได้อยู่ชั้น 5-6 กัน
ส่วนเรทที่ออฟฟิศเราจ่ายคือ $109++ ถูกลงเกือบครึ่ง เนื่องจากลูกค้าที่มาพักที่โรงแรมนี้ส่วนใหญ่ก็คือลูกค้าของบริษัทที่เรามาตรวจสอบนั่นเอง
ถามว่าแพงโคตรมั้ย ก็ไม่ได้แบบหรูหราขนาดนั้น
แต่ถามว่ามันเพี้ยนจากวิถีออดิทมั้ย ถ้าเทียบกับโรงแรมที่เราได้พักในเมืองไทยก็ต่างกันมากเลยทีเดียว -_-"
ที่เมืองไทยส่วนใหญ่ก็จะได้นอนโรงแรมแบบที่พอนอนได้ บางทีก็เหมือนบ้านพักคนงาน service apartment เท่านั้น
ถ้าไม่ได้ออกจ๊อบโรงแรมที่จะได้มีโอกาสนอนหรูๆ ตามที่ลูกค้าจะมีให้แล้ว
ก็แทบไม่มีโอกาสได้นอนโรงแรมแบบที่อยู่ในเครือ Hilton, Marriott, Holiday Inn เลยก็ว่าได้
ชีวิตออดิทที่นี่มันช่างได้คุณภาพจริงๆ >_<
นอกจากได้พักฟรีๆ แล้ว ยังสะสมแต้มได้อีก
เนี่ยล่ะ ข้อดีของการออกจ๊อบต่างจังหวัดที่นี่!!
คำว่าต่างจังหวัดที่หมายถึง ก็เพราะว่าตัว office เราอยู่ที่ Atlanta ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ
การออกนอกเมืองก็คือต่างจังหวัดล่ะนะ มาทำงานที่ Columbus ซึ่งเคยพูดถึงไว้ที่
ฉันมาทำอะไรที่นี่? ที่ Columbus, Georgia
http://www.toffee-in-usa.com/2011/09/columbus-georgia.html
วีคแรกยังไม่ประสีประสา เลยพักที่ Holiday Inn ไป
ส่วนวีคถัดๆมาเริ่มประสาแระ ก็เลยอัพชั้น
ได้มาพักที่ Columbus Marriott ซึ่งเป็นโรงแรม tier 4 รองจากระดับ Ritz Calton และเป็นโรงแรมที่ไฮโซที่สุดในเมืองโคลัมบัสเลยเชียว (แต่โคลัมบัสก็เป็นเมืองธรรมด๊าธรรมดาอะนะ)
บล๊อคนี้ก็เลยขอเบรกอารมณ์อันอ่อนไหวด้วยรูปโรงแรมแล้วกัน
ประวัติโรงแรม (มีประวัติด้วยเว้ยย)
แต่เดิม โรงแรมนี้เคยเป็นโรงงานทอฝ้ายหรือสำลี (มั้ยนะ) มันคือ Cotton mill ตั้งแต่ปี 1861
พอมาทำเป็นโรงแรมก็ทำการ renovate ก่ออิฐขึ้นมาโดยคงสภาพ และการตกแต่งแบบ convention ไว้ ลักษณะในโรงแรมเลยจะเป็นอิฐสีแดง ยุคเก่าๆนิดนึง ไม่ได้เป็นแนว Modern เหมือน Marriott ในเมืองนั่นเอง
โดยตัวตึกที่เราอยู่มีทั้งหมด 6 ชั้น ชั้น 5-6 เรียกว่าเป็นชั้น VIP เนื่องจากต้องจ่ายแพงกว่า ไม่ก็ไว้สำหรับ Marriott member ที่เป็น silver ขึ้นไปเท่านั้น
สำหรับวีคแรก เราได้อยู่ชั้น 6 จัดเป็นแขก VIP เนื่องจากเราเป็น Silver Elite member ของ Marriott (ซึ่งได้มาจากการพักและสะสม 10 คืนเท่านั้นอะนะ)
ห้องนอนก็แอบเจ้าหญิงนิดๆ หมอนครบเซทเลย มีทั้งหมอนอิง หมอนข้าง หมอนหนุน
ห้องนอน King size |
Sofa ก็จัดว่าสบายดี เหยียดแข้งเหยียดขาปรับนอนได้
ห้องน้ำ counter top เป็นหินอ่อน ไม่ชอบตรงที่ sink มันเล็ก และเตี้ยมาก
ดีที่มีกระจกส่องสิวให้ด้วย
มีกาแฟ กับไดร์เป่าผมให้ตามสไตล์ Marriott เค้าล่ะ
สิ่งที่คิดว่าหรูขึ้นมานิด ก็คือ Amenities ของ Bath and Body Works ที่มาในแพคเกจที่ทำให้แตกต่างออกไป เป็นคนละแบรนด์กับของเครือ Residence Inn
ที่มีให้มีทั้งหมด ห้าขวด ได้แก่ แชมพู ครีมนวด เจลอาบน้ำ โลชั่น และน้ำยาบ้วนปาก
อุปกรณ์ข้างเคียง มี สำลี คอตต้อนบัด ผ้าขัดรองเท้า และหมวกอาบน้ำ
ส่วนเครื่องดื่มที่มีให้ คือ Black tea, Camomile tea น้ำตาล ครีม sweetener กาแฟ ทั้งแบบธรรมดา และดีแคฟ แก้วกระดาษ พร้อมฝาทูโกสองใบ
จบจากห้องนอน ก็ไปดูห้อง VIP Conceirge Lounge กันบ้าง
อย่างที่บอกว่าความพิเศษ VIP ของชนชั้น 5-6 คือ สามารถเข้า VIP Lounge ได้
Lounger นี้มีอะไรบ้าง?
-มี Busniness center เป็นของตัวเอง แยกจากของโรงแรม สามารถมาเล่นเนต แสกน ปริ๊นงานได้เลย ส่วนกลางของโรงเป็นเครื่อง Mac ให้สองเครื่อง
- มีหนังสือพิมพ์หลากหลายให้อ่านฟรี อย่างพวก New York Times, Wallstreet Journal และนิตยสาร Forbies
- เด็ดสุด คือมีอาหารและเครื่องดื่ม
อาหารเช้า เป็นบุฟเฟ่ต์ ไลน์เล็กๆ มี 4-6 อย่าง
ออเดิร์ฟช่วงเย็น คือไม่ถึงขั้นเป็น full meal แต่ก็อิ่มได้ อย่างพวก อกไก่อบ กับสลัด
มี full bar ซึ่งเสิร์ฟไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (แต่ต้องจ่ายตังเพิ่ม)
ขนมรอบดึก วันละ 1 อย่าง ที่เคยกินก็มีพวก Chocolate Fudge Cake, Tiramisu, Brownie
- มีแม่บ้านประจำ ไว้คอยตอบคำถาม คุย เก็บจานชามให้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องทิป
ห้องก็ไม่ได้ใหญ่อะไร จุดได้ประมาณยี่สิบคน |
เสริ์ฟ Starubucks + Tazo tea ตลอดวัน |
มี business center เป็นของตัวเอง
จากนั้นก็พาลงมาดูที่ลอบบี้ และลักษณะการตกแต่งโดยรวม
ตรงนี้เป็นโถงหน้าลิฟต์ ตกแต่งได้อบอุ่นเหมือนในบ้าน (คฤหาสน์) มากๆ
หลังคาเป็นแบบโปร่ง รับแสงตอนกลางวันได้ เห็นฟ้าใสๆ ของโคลัมบัสแล้วน่านอนจัง
มีเปียนโนผี (ที่มันกดเล่นได้เองอะ) แล้วก็โซฟาให้นั่งรอได้
Coffee Shop ของโรงแรม จริงๆ ข้างในเป็น Starbucks น่ารักมากกก ดูอบอุ่นสุดๆ
ส่วนอันนี้เป็นทางเข้าบาร์ และห้องอาหารของโรงแรม สำหรับอาหารมื้อเช้า (ถ้าไม่ใช้ Conceirge lounge)
ทางเดินในล็อบบี้
เดินออกมาดูบรรยากาศตึกรอบๆ
ใกล้ๆ โรงแรมเป็นรางรถไฟ จะได้เสียงหวูดๆ ทุกคืน (เสียงคลาสสิคมาก)
ตึกตรงข้ามโรงแรมก็หน้าตาคล้ายๆกันคือใช้อิฐแดง
สระว่ายน้ำอยู่ส่วนปีกข้างๆโรงแรม ไม่ค่อยมีคนว่ายเพราะอากาศเย็นมากทีเดียว
สนนราคา ปกติอยู่ที่คืนละ $184++ สำหรับห้องธรรมดา
และ $194++ สำหรับห้อง VIP ชั้น 5-6
จริงๆ ราคาก็ไม่ค่อยต่างกันมากอะนะ ก็เลยดูเหมือนว่าทุกคนจะได้อยู่ชั้น 5-6 กัน
ส่วนเรทที่ออฟฟิศเราจ่ายคือ $109++ ถูกลงเกือบครึ่ง เนื่องจากลูกค้าที่มาพักที่โรงแรมนี้ส่วนใหญ่ก็คือลูกค้าของบริษัทที่เรามาตรวจสอบนั่นเอง
ถามว่าแพงโคตรมั้ย ก็ไม่ได้แบบหรูหราขนาดนั้น
แต่ถามว่ามันเพี้ยนจากวิถีออดิทมั้ย ถ้าเทียบกับโรงแรมที่เราได้พักในเมืองไทยก็ต่างกันมากเลยทีเดียว -_-"
ที่เมืองไทยส่วนใหญ่ก็จะได้นอนโรงแรมแบบที่พอนอนได้ บางทีก็เหมือนบ้านพักคนงาน service apartment เท่านั้น
ถ้าไม่ได้ออกจ๊อบโรงแรมที่จะได้มีโอกาสนอนหรูๆ ตามที่ลูกค้าจะมีให้แล้ว
ก็แทบไม่มีโอกาสได้นอนโรงแรมแบบที่อยู่ในเครือ Hilton, Marriott, Holiday Inn เลยก็ว่าได้
ชีวิตออดิทที่นี่มันช่างได้คุณภาพจริงๆ >_<
นอกจากได้พักฟรีๆ แล้ว ยังสะสมแต้มได้อีก
เนี่ยล่ะ ข้อดีของการออกจ๊อบต่างจังหวัดที่นี่!!
Driving License อะไรกันนักกันหนา (วะ)
ตั้งแต่โตมา ขับรถก็จะสิบปีแระ ตอนทำใบขับขี่ที่เมืองไทย ที่เค้าว่ายาก และต้องยัด
กับเราก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น ก็เป็นไปตามขั้นตามตอน
มาอยู่นี่
มีเพื่อนๆ หลายคนไปสอบใบขับขี่ของแต่ละรัฐแล้วเอามาแชร์กัน ก็ทำให้รู้สึกว่าก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่นา
(หมายเหตุ ที่นี่ ถ้าอยู่รัฐไหนก็ต้องทำใบขับขี่รัฐนั้น เพราะจะมีผลกับการซื้อรถ ทำภาษี ส่วนใบขับขี่สากลที่ทำจากเมืองไทยนั้น จริงๆ ก็ใช้ได้ แต่ไม่นับว่าเป็น resident ถ้าตำรวจขอตรวจบางคนก็จะไม่ยอม)
แต่กับเรา ซับซ้อน วุ่นวาย หงุดหงิด เศร้าซึมโคตรๆ
เหตุการณ์เริ่มจากวันเสาร์ที่ผ่านมา
DDS (คือกรมขนส่งที่ Georgia เรียกกัน) เปิดถึงเที่ยงครึ่ง เป้าหมายของวันคือ อยากสอบข้อเขียนให้จบๆไป ไม่ได้กะว่าจะสอบ road test ให้เสร็จในวันเดียวหรอกนะ เพราะรู้ว่าต้องโทรนัดล่วงหน้า ขับรถไปประมาณ 20 นาทีถึง DDS ประมาณ 11 โมง คนหลามมมมาก
DDS ที่เราไปไม่ได้อยู่ใน Atlanta (ที่เป็นเมืองหลวง) แต่อยู่ที่ Decatur ซึ่งเป็นเมืองติดๆกัน ประมาณสมุทรปราการ หรือ ปทุมว่างั้น
ข้อดีก็คือ ตั้งอยู่ในห้าง หาง่าย ดูเก๋ๆ
ข้อเสียก็คือ คนเยอะเชียวว แล้วมีแต่คนดำ ดำ ดำ แล้วก็เม็กซิกัน พนักงานก็หน้าหงิกโคตร
เราก็ทำทุกอย่างตามคิว เตรียมเอกสารไปพร้อมเพรียง ก็มี
1) Passport + I94
2) Proof of Resident เราใช้ insurance policy เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งใน Georgia
3) Social Security card เป็นสิ่งจำเป็นในการพิสูจน์ความีตัวตนของคนอเมริกา (เหมือนบัตรประชาชน)
พนักงานใจดีบอกว่า เรามาเร็วน่าจะสอบข้อเขียน และสอบขับได้ในวันเดียว
เย้ ดีใจ
คุณพี่เคาน์เตอร์แรกบอกว่าเรียบร้อยแล้วจ้า รอเรียกชื่อที่เคาน์เตอร์หนึ่งได้เลย
เราก็แบ๊ว เดินไปเคาน์เตอร์หนึ่ง
อีเจ๊ช่อง 1 ถามกวนบาทาว่า: "เรียกชื่อแล้วเหรอถึงมา? (แปลเป็นไทยให้แล้วอะนะ)
อีฟี่: แบ๊วกลับ อุ๊ย ขอโทษค่าาา
แล้วก็เดินตัวลีบกลับไปนั่งรอที่เก้าอี้อย่างจดจ่อ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง จ้องหน้าจอที่เรียก ก็ไม่มีเรียกเราซักที ก็ยังเบาใจเห็นรอบๆมีคนนั่งรอหนาแน่นเกินร้อย ก็คิดว่าน่าจะเหมือนบ้านเราที่รอเป็นวัน
อะไม่เป็นไร เจ๊ชิลๆ วันนี้
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง หันไปอีกที เหลือไม่ถึงสิบแล้วฮึ้ย
ก็เลยตาลีตาเหลือกไปหาป้าช่อง 1
อีฟี่: ลืมเรียกชื่อหนูป่าวอะ จ้องจอมันเป็นชั่วโมงไม่เห็นมีเบอร์ขึ้นเลย
ป้าช่อง 1: ทำหน้าตาเบื่อหน่าย บอกว่า เรียกแล้วไม่มานิ ชื่อผ่านไปนานชาติเศษแล้ว!!!
กรี๊สสส มารู้ทีหลัง แมร่งเรียกชื่อด้วยปากเปล่า
เรานั่งก็ไกล (เพราะไปนั่งตรงมอนิเตอร์เรียกเบอร์)
อีป้า ก็เป็นคนดำ สำเนียงเหลาเหย่
อีฟี่ ก็เป็นคนเอเชีย ฟังอังกฤษไม่ค่อยออก
สรุป ผ่าน 12.30 ไปอย่างเศร้าๆ
ป้าช่องสองใจดีบอกว่า อะ อะ งั้นไปสอบข้อเขียนละกัน ไหนๆ คอมก็เปิดอยู่
แต่ๆๆๆ คอมมีอยู่ สิบกว่าเครื่อง เครื่องดีๆ ก็เกือบทุกเครื่อง (ที่นี่สอบข้อเขียนใช้คอมพิวเตอร์จิ้มๆ คลิ๊กๆอะนะ)
ป้าช่องสองกลั่นแกล้งต่างด้าว ให้ไปประจำเครื่องที่คอมเสีย!!! แล้วป้าก็ให้ทำข้อสอบกระดาษ ตอบ A B C กับดินสอไม้หนึ่งแท่ง
หันมองคนรอบตัว ก็นั่งจิ้มๆ ในคอมกันหมด กรูโดนกลั่นแกล้งงงง T____T
ก็ก้มหน้ารับไป เพราะโวยวายไปมันจำหน้าได้ เดี๋ยวสอบขับครั้งหน้าให้คะแนนยากอีก
ข้อสอบก็มีสองชุด เป็นข้อสอบเกี่ยวกับการใช้ถนน 20 ข้อ (เป็นภาษาอังกฤษล้วน แล้วมี choice A B C ให้) ส่วนชุดที่สองเป็นข้อสอบ Road sign ประมาณ 30 ข้อ มีรูปมาให้ แล้วให้ choice A B C ว่าป้ายนี้หมายความว่าอะไร
ทำเสร็จ ป้าช่องสองก็เอาไปตรวจแบบแมนนวลเหมือนครูสมัยประถม กลับมาพร้อมกับคะแนน 75% สำหรับชุดแรก และ 95% สำหรับชุดสอง สรุปก็คือสอบผ่าน (ที่นี่จะผ่านต้องได้ 75% ขึ้นไปทั้งสองชุด)
ป้าก็ไปปรึกษาหัวหน้าป้าอีกที ว่าอีกะเหรี่ยงนี่มันไม่มาตามที่เรียกทำให้พลาดสอบไปชั่วโมงนึงจะทำไง หัวหน้าป้าก็บอกว่าวันนี้สอบขับไม่ได้แระ ให้กลับมาชาติ เอ้ย อาทิตย์หน้า เราก็บอกป้าๆ ไปว่า เราจะไปต่างจังหวัด (Columbus) ไปสอบที่นั่นได้มั้ย
ป้าๆ บอกว่าสอบได้เลย ไปที่ counter แล้วบอกว่ามาสอบ road test ข้อมูลทั้งหมดของยูจะอยู่ในนั้น
วันเสาร์นั้นก็กลับบ้านด้วยความโล่งใจ อย่างน้อยก็สอบข้อเขียนผ่านแล้วล่ะน๊าาา
วันอังคารถัดมา ก็โทรไปจองสอบขับทางโทรศัพท์
เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าไม่มีเลข permit (เหมือนใบขับขี่ชั่วคราว) จะไม่สามารถจองออนไลน์ได้... แปลว่าอะไรรรรร แปลว่าอีป้าที่ขนส่งวันนั้นไม่ได้ออกใบ Permit ให้ เจ้าหน้าที่ที่จองเลยบอกว่าเราทำอะไรไม่ได้นอกจากไป walk in รอสอบเอา
วันพุธ ก็เลยแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า เพื่อไปให้ทันก่อนเข้างาน บอกเพื่อนไว้ว่าจะมาสายหน่อย ก็ออกจากโรงแรมประมาณ 7.30 GPS บอกว่าแค่ 20 นาทีก็ถึง DDS ที่โคลัมบัส
ถึงที่หมาย 8.01 AM อ่าววว ทำไมไม่เห็นมีอะไรที่หน้าตาเหมือน DDS เลย
ปรากฎว่า ใส่ที่อยู่ DDS ใน GPS ผิด!!! ดันใส่ชื่อเมืองเป็นชื่อถนน สถานที่จริงอยู่ห่างไปอีกเกือบ 8 ไมล์ เลยต้องขับย้อนกลับมา (อันนี้ซวยเพราะโง่ และสะเพร่า)
ถึง DDS (จริงๆ) ตอน 8.20 ได้ เข้าคิวนู่นนี่ก็ดูจะราบรื่น เพราะคนน้อยกว่าที่ Atlanta มากๆๆๆ
ยื่นเอกสารเสร็จเค้าก็บอกว่าให้นั่งรอสอบ Road Test ได้เล้ยย
ก็นั่งรอไป คิดว่าไม่น่าจะนานเพราะว่าคนน้อยมากๆๆ แล้วคนที่มาส่วนใหญ่ก็เป็นคนแก่ คงไม่ค่อยมีใครมาสอบ road test หรอก
รอไปอีก "หนึ่งชั่วโมง" จนเกือบสิบโมง ไม่ไหวละ เลยไปถามเคาน์เตอร์ เค้าคุยกันแล้วบอกว่า ก็ยู Walkin มาอะ ก็ต้องรอว่า คนที่โทรจองไม่มา ถึงจะให้เสียบได้!!!
กรี๊ดดดดด แล้วไม่บอกตรูตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าต้องรอเก้าอี้ดนตรี???
เจ้าหน้าที่ยังทำใจดี บอกว่าไม่ถึงทั้งวันหรอก แค่ต้องรอจนเบรก หรือรอคนยกเลิกนัด ซึ่งบางทีคนที่นัดไว้ก็อาจจะไม่มาซะงั้นก็ได้
เฮ้ยย รอไม่ไหวมั้งง ไม่รู้จะเมื่อไหร่ ถ้านัดไว้แล้วมาหมดทุกคนก็รอเก้ออะดิ
ไม่ไหวแระ เลยทำเรื่องขอ permit จ่ายไปสิบบาท ($10) แล้วก็ให้จองสอบไว้ ได้วันพฤหัสตอน 9 โมง (ต้องโดดงานอีกแล้วตรู)
ขับรถกลับมาถึงที่ทำงานตอน 10.30
เพื่อนหันมาหา ถามกันใหญ่ว่าเป็นไง
บอกไปว่าไม่ผ่าน ไม่ผ่านเพราะยังไม่ได้แม้แต่จะลงสอบเลยเหอะ
เพื่อนก็ขำๆกัน (ประมาณสามวิ) แล้วต่างคนก็ต่างหันไปทำงานของตัวเองต่อไป
เป็นอีกวันที่เฟลลลล อย่างแรว๊งส์ส์ส์ -_-
กับเราก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น ก็เป็นไปตามขั้นตามตอน
มาอยู่นี่
มีเพื่อนๆ หลายคนไปสอบใบขับขี่ของแต่ละรัฐแล้วเอามาแชร์กัน ก็ทำให้รู้สึกว่าก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่นา
(หมายเหตุ ที่นี่ ถ้าอยู่รัฐไหนก็ต้องทำใบขับขี่รัฐนั้น เพราะจะมีผลกับการซื้อรถ ทำภาษี ส่วนใบขับขี่สากลที่ทำจากเมืองไทยนั้น จริงๆ ก็ใช้ได้ แต่ไม่นับว่าเป็น resident ถ้าตำรวจขอตรวจบางคนก็จะไม่ยอม)
แต่กับเรา ซับซ้อน วุ่นวาย หงุดหงิด เศร้าซึมโคตรๆ
เหตุการณ์เริ่มจากวันเสาร์ที่ผ่านมา
DDS (คือกรมขนส่งที่ Georgia เรียกกัน) เปิดถึงเที่ยงครึ่ง เป้าหมายของวันคือ อยากสอบข้อเขียนให้จบๆไป ไม่ได้กะว่าจะสอบ road test ให้เสร็จในวันเดียวหรอกนะ เพราะรู้ว่าต้องโทรนัดล่วงหน้า ขับรถไปประมาณ 20 นาทีถึง DDS ประมาณ 11 โมง คนหลามมมมาก
DDS ที่เราไปไม่ได้อยู่ใน Atlanta (ที่เป็นเมืองหลวง) แต่อยู่ที่ Decatur ซึ่งเป็นเมืองติดๆกัน ประมาณสมุทรปราการ หรือ ปทุมว่างั้น
ข้อดีก็คือ ตั้งอยู่ในห้าง หาง่าย ดูเก๋ๆ
ข้อเสียก็คือ คนเยอะเชียวว แล้วมีแต่คนดำ ดำ ดำ แล้วก็เม็กซิกัน พนักงานก็หน้าหงิกโคตร
เราก็ทำทุกอย่างตามคิว เตรียมเอกสารไปพร้อมเพรียง ก็มี
1) Passport + I94
2) Proof of Resident เราใช้ insurance policy เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งใน Georgia
3) Social Security card เป็นสิ่งจำเป็นในการพิสูจน์ความีตัวตนของคนอเมริกา (เหมือนบัตรประชาชน)
พนักงานใจดีบอกว่า เรามาเร็วน่าจะสอบข้อเขียน และสอบขับได้ในวันเดียว
เย้ ดีใจ
คุณพี่เคาน์เตอร์แรกบอกว่าเรียบร้อยแล้วจ้า รอเรียกชื่อที่เคาน์เตอร์หนึ่งได้เลย
เราก็แบ๊ว เดินไปเคาน์เตอร์หนึ่ง
อีเจ๊ช่อง 1 ถามกวนบาทาว่า: "เรียกชื่อแล้วเหรอถึงมา? (แปลเป็นไทยให้แล้วอะนะ)
อีฟี่: แบ๊วกลับ อุ๊ย ขอโทษค่าาา
แล้วก็เดินตัวลีบกลับไปนั่งรอที่เก้าอี้อย่างจดจ่อ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง จ้องหน้าจอที่เรียก ก็ไม่มีเรียกเราซักที ก็ยังเบาใจเห็นรอบๆมีคนนั่งรอหนาแน่นเกินร้อย ก็คิดว่าน่าจะเหมือนบ้านเราที่รอเป็นวัน
อะไม่เป็นไร เจ๊ชิลๆ วันนี้
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง หันไปอีกที เหลือไม่ถึงสิบแล้วฮึ้ย
ก็เลยตาลีตาเหลือกไปหาป้าช่อง 1
อีฟี่: ลืมเรียกชื่อหนูป่าวอะ จ้องจอมันเป็นชั่วโมงไม่เห็นมีเบอร์ขึ้นเลย
ป้าช่อง 1: ทำหน้าตาเบื่อหน่าย บอกว่า เรียกแล้วไม่มานิ ชื่อผ่านไปนานชาติเศษแล้ว!!!
กรี๊สสส มารู้ทีหลัง แมร่งเรียกชื่อด้วยปากเปล่า
เรานั่งก็ไกล (เพราะไปนั่งตรงมอนิเตอร์เรียกเบอร์)
อีป้า ก็เป็นคนดำ สำเนียงเหลาเหย่
อีฟี่ ก็เป็นคนเอเชีย ฟังอังกฤษไม่ค่อยออก
สรุป ผ่าน 12.30 ไปอย่างเศร้าๆ
ป้าช่องสองใจดีบอกว่า อะ อะ งั้นไปสอบข้อเขียนละกัน ไหนๆ คอมก็เปิดอยู่
แต่ๆๆๆ คอมมีอยู่ สิบกว่าเครื่อง เครื่องดีๆ ก็เกือบทุกเครื่อง (ที่นี่สอบข้อเขียนใช้คอมพิวเตอร์จิ้มๆ คลิ๊กๆอะนะ)
ป้าช่องสองกลั่นแกล้งต่างด้าว ให้ไปประจำเครื่องที่คอมเสีย!!! แล้วป้าก็ให้ทำข้อสอบกระดาษ ตอบ A B C กับดินสอไม้หนึ่งแท่ง
หันมองคนรอบตัว ก็นั่งจิ้มๆ ในคอมกันหมด กรูโดนกลั่นแกล้งงงง T____T
ก็ก้มหน้ารับไป เพราะโวยวายไปมันจำหน้าได้ เดี๋ยวสอบขับครั้งหน้าให้คะแนนยากอีก
ข้อสอบก็มีสองชุด เป็นข้อสอบเกี่ยวกับการใช้ถนน 20 ข้อ (เป็นภาษาอังกฤษล้วน แล้วมี choice A B C ให้) ส่วนชุดที่สองเป็นข้อสอบ Road sign ประมาณ 30 ข้อ มีรูปมาให้ แล้วให้ choice A B C ว่าป้ายนี้หมายความว่าอะไร
ทำเสร็จ ป้าช่องสองก็เอาไปตรวจแบบแมนนวลเหมือนครูสมัยประถม กลับมาพร้อมกับคะแนน 75% สำหรับชุดแรก และ 95% สำหรับชุดสอง สรุปก็คือสอบผ่าน (ที่นี่จะผ่านต้องได้ 75% ขึ้นไปทั้งสองชุด)
ป้าก็ไปปรึกษาหัวหน้าป้าอีกที ว่าอีกะเหรี่ยงนี่มันไม่มาตามที่เรียกทำให้พลาดสอบไปชั่วโมงนึงจะทำไง หัวหน้าป้าก็บอกว่าวันนี้สอบขับไม่ได้แระ ให้กลับมาชาติ เอ้ย อาทิตย์หน้า เราก็บอกป้าๆ ไปว่า เราจะไปต่างจังหวัด (Columbus) ไปสอบที่นั่นได้มั้ย
ป้าๆ บอกว่าสอบได้เลย ไปที่ counter แล้วบอกว่ามาสอบ road test ข้อมูลทั้งหมดของยูจะอยู่ในนั้น
วันเสาร์นั้นก็กลับบ้านด้วยความโล่งใจ อย่างน้อยก็สอบข้อเขียนผ่านแล้วล่ะน๊าาา
วันอังคารถัดมา ก็โทรไปจองสอบขับทางโทรศัพท์
เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าไม่มีเลข permit (เหมือนใบขับขี่ชั่วคราว) จะไม่สามารถจองออนไลน์ได้... แปลว่าอะไรรรรร แปลว่าอีป้าที่ขนส่งวันนั้นไม่ได้ออกใบ Permit ให้ เจ้าหน้าที่ที่จองเลยบอกว่าเราทำอะไรไม่ได้นอกจากไป walk in รอสอบเอา
วันพุธ ก็เลยแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า เพื่อไปให้ทันก่อนเข้างาน บอกเพื่อนไว้ว่าจะมาสายหน่อย ก็ออกจากโรงแรมประมาณ 7.30 GPS บอกว่าแค่ 20 นาทีก็ถึง DDS ที่โคลัมบัส
ถึงที่หมาย 8.01 AM อ่าววว ทำไมไม่เห็นมีอะไรที่หน้าตาเหมือน DDS เลย
ปรากฎว่า ใส่ที่อยู่ DDS ใน GPS ผิด!!! ดันใส่ชื่อเมืองเป็นชื่อถนน สถานที่จริงอยู่ห่างไปอีกเกือบ 8 ไมล์ เลยต้องขับย้อนกลับมา (อันนี้ซวยเพราะโง่ และสะเพร่า)
ถึง DDS (จริงๆ) ตอน 8.20 ได้ เข้าคิวนู่นนี่ก็ดูจะราบรื่น เพราะคนน้อยกว่าที่ Atlanta มากๆๆๆ
ยื่นเอกสารเสร็จเค้าก็บอกว่าให้นั่งรอสอบ Road Test ได้เล้ยย
ก็นั่งรอไป คิดว่าไม่น่าจะนานเพราะว่าคนน้อยมากๆๆ แล้วคนที่มาส่วนใหญ่ก็เป็นคนแก่ คงไม่ค่อยมีใครมาสอบ road test หรอก
รอไปอีก "หนึ่งชั่วโมง" จนเกือบสิบโมง ไม่ไหวละ เลยไปถามเคาน์เตอร์ เค้าคุยกันแล้วบอกว่า ก็ยู Walkin มาอะ ก็ต้องรอว่า คนที่โทรจองไม่มา ถึงจะให้เสียบได้!!!
กรี๊ดดดดด แล้วไม่บอกตรูตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าต้องรอเก้าอี้ดนตรี???
เจ้าหน้าที่ยังทำใจดี บอกว่าไม่ถึงทั้งวันหรอก แค่ต้องรอจนเบรก หรือรอคนยกเลิกนัด ซึ่งบางทีคนที่นัดไว้ก็อาจจะไม่มาซะงั้นก็ได้
เฮ้ยย รอไม่ไหวมั้งง ไม่รู้จะเมื่อไหร่ ถ้านัดไว้แล้วมาหมดทุกคนก็รอเก้ออะดิ
ไม่ไหวแระ เลยทำเรื่องขอ permit จ่ายไปสิบบาท ($10) แล้วก็ให้จองสอบไว้ ได้วันพฤหัสตอน 9 โมง (ต้องโดดงานอีกแล้วตรู)
ขับรถกลับมาถึงที่ทำงานตอน 10.30
เพื่อนหันมาหา ถามกันใหญ่ว่าเป็นไง
บอกไปว่าไม่ผ่าน ไม่ผ่านเพราะยังไม่ได้แม้แต่จะลงสอบเลยเหอะ
เพื่อนก็ขำๆกัน (ประมาณสามวิ) แล้วต่างคนก็ต่างหันไปทำงานของตัวเองต่อไป
เป็นอีกวันที่เฟลลลล อย่างแรว๊งส์ส์ส์ -_-
Monday, October 3, 2011
44 days... and it's October
รู้ตัวอีกที ก็อยู่ที่นี่มา 44 วันแล้ว
44 วัน นานพอที่จะจัดห้องเสร็จ มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว
ย้ายเข้า apartment วันที่ 26 September แต่ได้อยู่บ้านเฉพาะคืนวันพฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น เพราะที่เหลือจันทร์-พฤหัส ต้องขับรถไปทำงานที่ Columbus ซึ่งห่างจากเมือง Atlanta 2 ชั่วโมง
ประกอบเฟอร์นิเจอร์กันจนปวดหลังเลยทีเดียว
ที่ต่อไปแล้วก็มี โต๊ะสีขาว ตู้ 6 ลิ้นชัก เตียงนอน ภูมิใจจริงๆ คู่มือบอกต้องใช้สองคน
แต่เราทำเองคนเดียว ผลคือทำได้ แต่แมร่งงง ปวดเมื่อยไปทั้งตัว
ของตกแต่งบ้าน ทำความสะอาด ก็เข้าที่เข้าทาง ทั้งม่านห้องน้ำ พรมกุ๊บกิ๊บ จาน ชาม หม้อ ช้อนส้อม ก็โอเคมากๆ
เครื่องดูดฝุ่นก็ซื้อแล้ว เพราะเจอลูกแมลงสาบบุกบ้าน -_- ถึงปีเตอร์ที่นี่จะไม่ร้ายกาจน่ากลัวเท่าเมืองไทยที่แลนดิ้งบนหัวเราได้ เพราะหน้าตามันคล้ายๆ แมลงหวี่บิ๊กไซส์ เล็กกว่าแมลงวัน ไม่เหม็น แถมโง่โดนบี้เอาได้ง่ายๆ แต่ก็แอบขยะแขยงอยู่ดี
ตอนนี้เลยกลายเป็นพวก clean freak เก็บเตา เก็บจานชามอย่างเรียบร้อยทุกครั้ง
แถมพวกตู้ไม้ก็จะเปิดทิ้งไว้ตลอด เพราะไม่อยากเจอ surprise ตอนเปิดตู้
เริ่มเป็นโรคจิตหวาดระแวง เห็นวัตถุจุดดำก็ผวา คิดว่าเป็นแมลงสาบ เตรียมหาทิชชู่รอบตัวไว้ "บี้" ในบัดดล (นี่กลัว หรือโหดกันแน่นะ)
44 วัน นานพอที่จะ active เป็นพนักงานบริษัทที่นี่ได้เกือบสามอาทิตย์
แต่ที่ร้ายกาจคือ มันยังไม่นานพอที่จะได้ "ทำงาน" แบบที่เป็นงาน
ในจ๊อบมีกันทั้งหมดสี่คนรวมเรา แต่ว่า ว่างมาก ถึงมากที่สุด
จะว่าไปก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาตลอดชีวิตการทำงาน audit ที่มาอยู่ลูกค้าแล้วยังทำตัวเหมือน non- charge ที่ออฟฟิศได้
ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรนะ ก็ถามเช้าถามเย็น ถามลูกเพ่ในจ๊อบ (ถึงมันจะอ่อนพรรษากว่าเรา) ว่ามีอะไรให้ I (กรู) ทำมั้ย มันก็บอกว่า ม่ายมี
เมลไปถาม Resource Planning ว่ามีจ๊อบอื่นให้ทำมั้ยย เค้าก็บอกว่า ยังม่ายมี
จะให้เทรนนิ่ง อ่านมาตรฐานมันก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ทำกันยามว่าง
สรุปก็คือ ไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา T_T ช่างไร้ค่ายิ่งนัก...
ถ้าอยู่เมืองไทย สามอาทิตย์ผ่านไป น่าจะเสร็จไป 5 จ๊อบแล้วอะ
44 วัน นานพอที่จะเริ่มเข้าใจ และยอมรับได้กับวัฒนธรรม Culture difference
เข้าใจว่า คนที่นี่เค้าจะไม่ hang out กับเพื่อนที่ทำงาน
ตอนเย็นเค้าก็ไม่ไปกินข้าวกัน ถึงจะมาจ๊อบต่างบ้านต่างเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องกระจุกด้วยกัน
เข้าใจว่า ถึงจะเดินทางจาก Atlanta เหมือนกัน แต่ทุกคนก็ต่างคนต่างขับรถ (เปลืองน้ำมัน เปลืองพลังงานมั้ยล่ะ ฮึ)
เข้าใจว่า ถึงจะพักโรงแรมเดียวกัน แต่ตอนเช้า หรือตอนเย็น ก็ไม่มา หรือกลับด้วยกัน
เข้าใจว่าถึงจะเลิกงานแล้วหิวข้าว ก็ไม่จำเป็นต้องไปกินข้าวด้วยกัน
เข้าใจว่าถ้าไม่มีงานอยากจะกลับก็กลับ ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องลาเพื่อนในทีม ไม่ต้องลาลูกค้า
เข้าใจว่าตอนกลางวัน ถ้าอยากกินก็ไปกิน ไม่อยากกินก็หาอะไรกินเอาเอง ไม่ต้องงอนง้อให้เสียเว
นานพอที่จะเข้าใจแระ ว่าทำไมคนอเมริกันถึงขาด "แฟน" ไม่ได้เลย
ก็ชีวิตแมร่ง เปลี่ยวขนาดเนี้ยยยย
อยู่มหา ลัย ก็ยังดีใช่ม๊า ถ้ามีชมรม ก็ยังมีเพื่อน hang out
แต่ที่นี่ที่เราสังเกตเห็น พอทำงานเป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่อยู่กับ roommate ก็อยู่กันแฟนนั่นเอง
44 วัน นานพอที่จะได้รับเงินเดือน "ครึ่ง" เดือนแรก จาก US Payroll
เม็ดเงินที่ได้นั้นจ๊าบใจ เพราะครึ่งเดือนก็ได้เหมือนเดือนครึ่งที่เมืองไทย
แต่ภาษีที่ถูกหักก็เกือบเท่าเงินเดือนทั้งเดือน =_=
เงินที่ได้มา แต่เดิมอยู่เมืองไทยก็บริหาร LTF, กองทุน, เงินฝากให้มันส์มือ
เหลือๆ ก็หาที่กิน ที่เที่ยว ชอปปิ้ง
อยู่นี่เงินที่ได้มา
ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เก็บไว้เป็นค่าประกันรถ จ่ายผิดเวลาก็ไม่ได้อีก เครดิตเสีย (build อยู่เนี่ย)
ซื้อของเข้าบ้าน (ตอนนี้ยังขาด TV กับเตารีด)
ไหนจะค่าน้ำมันรถที่สูบเอาๆ มากกว่าน้ำที่ดื่มในแต่ละวันอีก!!!
44 วัน ยังไม่นานพอที่จะหาซื้อรถเป็นของตัวเอง
ประสบปัญหาขาดแคลนรถดี ราคาถูก ไอ้ที่ถูกและดีก็มักไม่รอเรา
ไอ้ที่ดูดี ดูได้ ก็ดันเป็น salvage title คือเคยผ่านสงครามมาก่อน แล้วเอามาย้อมเป็นรถใหม่
ต้องคอยดูว่า อีกกี่วัน ถึงจะ "mission complete"
44 วัน ที่ห่างจากบ้าน ที่ออฟฟิศประกาศเลื่อนตำแหน่ง รอรับโบนัส
แม่จะไปเที่ยวเมืองจีน พี่สาวจะกลับจากอังกฤษ พ่อกำลังพัฒนา product ใหม่
ชีวิตเราทุกคนมันหมุนไปเรื่อยๆจริงๆ ในขณะที่เราใช้ชีวิตที่นี่ ตื่นเช้า ขับรถไปทำงาน กลับบ้านแต่หัววัน (ที่ออฟฟิศอย่าอิจฉานะ ไม่เคยเลิกงานเกิน 5.30 เลยอะ) ชอปปิ้งฆ่าเวลา ใช้เงินไปเรื่อยเปื่อย
ก็เริ่มกลับมาคิดเหมือนกัน ว่าจริงๆ แล้วเรามาที่นี่เพื่ออะไรอะ?
ลำบากกว่าเดิมโคตรๆ เพื่อนก็ไม่ค่อยมี (ถึงจะรู้ว่าเพื่อนที่ออฟฟิศอื่นก็ประสบปัญหา make friends กับคนอเมริกาก็เหอะ) ห่างบ้าน ห่างแฟน ห่างของกินอร่อยๆ ถูกๆ
อากาศก็หนาว (วันนี้ 44F คือ 7 องศา) เสื้อผ้าหน้าหนาวเก๋ๆ ก็โคตรแพง
=_= ณ จุดนี้ เป็น W curve ขาลง บ่นๆไปก็คงดีขึ้นเองแหละ
แต่ถามว่าโดยรวมไหวมั้ย ก็ไหวอะ "โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย" คำนี้อะ ใช่เลย
44 วัน นานพอที่จะจัดห้องเสร็จ มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว
ย้ายเข้า apartment วันที่ 26 September แต่ได้อยู่บ้านเฉพาะคืนวันพฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น เพราะที่เหลือจันทร์-พฤหัส ต้องขับรถไปทำงานที่ Columbus ซึ่งห่างจากเมือง Atlanta 2 ชั่วโมง
ประกอบเฟอร์นิเจอร์กันจนปวดหลังเลยทีเดียว
ที่ต่อไปแล้วก็มี โต๊ะสีขาว ตู้ 6 ลิ้นชัก เตียงนอน ภูมิใจจริงๆ คู่มือบอกต้องใช้สองคน
แต่เราทำเองคนเดียว ผลคือทำได้ แต่แมร่งงง ปวดเมื่อยไปทั้งตัว
ของตกแต่งบ้าน ทำความสะอาด ก็เข้าที่เข้าทาง ทั้งม่านห้องน้ำ พรมกุ๊บกิ๊บ จาน ชาม หม้อ ช้อนส้อม ก็โอเคมากๆ
เครื่องดูดฝุ่นก็ซื้อแล้ว เพราะเจอลูกแมลงสาบบุกบ้าน -_- ถึงปีเตอร์ที่นี่จะไม่ร้ายกาจน่ากลัวเท่าเมืองไทยที่แลนดิ้งบนหัวเราได้ เพราะหน้าตามันคล้ายๆ แมลงหวี่บิ๊กไซส์ เล็กกว่าแมลงวัน ไม่เหม็น แถมโง่โดนบี้เอาได้ง่ายๆ แต่ก็แอบขยะแขยงอยู่ดี
ตอนนี้เลยกลายเป็นพวก clean freak เก็บเตา เก็บจานชามอย่างเรียบร้อยทุกครั้ง
แถมพวกตู้ไม้ก็จะเปิดทิ้งไว้ตลอด เพราะไม่อยากเจอ surprise ตอนเปิดตู้
เริ่มเป็นโรคจิตหวาดระแวง เห็นวัตถุจุดดำก็ผวา คิดว่าเป็นแมลงสาบ เตรียมหาทิชชู่รอบตัวไว้ "บี้" ในบัดดล (นี่กลัว หรือโหดกันแน่นะ)
44 วัน นานพอที่จะ active เป็นพนักงานบริษัทที่นี่ได้เกือบสามอาทิตย์
แต่ที่ร้ายกาจคือ มันยังไม่นานพอที่จะได้ "ทำงาน" แบบที่เป็นงาน
ในจ๊อบมีกันทั้งหมดสี่คนรวมเรา แต่ว่า ว่างมาก ถึงมากที่สุด
จะว่าไปก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาตลอดชีวิตการทำงาน audit ที่มาอยู่ลูกค้าแล้วยังทำตัวเหมือน non- charge ที่ออฟฟิศได้
ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรนะ ก็ถามเช้าถามเย็น ถามลูกเพ่ในจ๊อบ (ถึงมันจะอ่อนพรรษากว่าเรา) ว่ามีอะไรให้ I (กรู) ทำมั้ย มันก็บอกว่า ม่ายมี
เมลไปถาม Resource Planning ว่ามีจ๊อบอื่นให้ทำมั้ยย เค้าก็บอกว่า ยังม่ายมี
จะให้เทรนนิ่ง อ่านมาตรฐานมันก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ทำกันยามว่าง
สรุปก็คือ ไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา T_T ช่างไร้ค่ายิ่งนัก...
ถ้าอยู่เมืองไทย สามอาทิตย์ผ่านไป น่าจะเสร็จไป 5 จ๊อบแล้วอะ
44 วัน นานพอที่จะเริ่มเข้าใจ และยอมรับได้กับวัฒนธรรม Culture difference
เข้าใจว่า คนที่นี่เค้าจะไม่ hang out กับเพื่อนที่ทำงาน
ตอนเย็นเค้าก็ไม่ไปกินข้าวกัน ถึงจะมาจ๊อบต่างบ้านต่างเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องกระจุกด้วยกัน
เข้าใจว่า ถึงจะเดินทางจาก Atlanta เหมือนกัน แต่ทุกคนก็ต่างคนต่างขับรถ (เปลืองน้ำมัน เปลืองพลังงานมั้ยล่ะ ฮึ)
เข้าใจว่า ถึงจะพักโรงแรมเดียวกัน แต่ตอนเช้า หรือตอนเย็น ก็ไม่มา หรือกลับด้วยกัน
เข้าใจว่าถึงจะเลิกงานแล้วหิวข้าว ก็ไม่จำเป็นต้องไปกินข้าวด้วยกัน
เข้าใจว่าถ้าไม่มีงานอยากจะกลับก็กลับ ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องลาเพื่อนในทีม ไม่ต้องลาลูกค้า
เข้าใจว่าตอนกลางวัน ถ้าอยากกินก็ไปกิน ไม่อยากกินก็หาอะไรกินเอาเอง ไม่ต้องงอนง้อให้เสียเว
นานพอที่จะเข้าใจแระ ว่าทำไมคนอเมริกันถึงขาด "แฟน" ไม่ได้เลย
ก็ชีวิตแมร่ง เปลี่ยวขนาดเนี้ยยยย
อยู่มหา ลัย ก็ยังดีใช่ม๊า ถ้ามีชมรม ก็ยังมีเพื่อน hang out
แต่ที่นี่ที่เราสังเกตเห็น พอทำงานเป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่อยู่กับ roommate ก็อยู่กันแฟนนั่นเอง
44 วัน นานพอที่จะได้รับเงินเดือน "ครึ่ง" เดือนแรก จาก US Payroll
เม็ดเงินที่ได้นั้นจ๊าบใจ เพราะครึ่งเดือนก็ได้เหมือนเดือนครึ่งที่เมืองไทย
แต่ภาษีที่ถูกหักก็เกือบเท่าเงินเดือนทั้งเดือน =_=
เงินที่ได้มา แต่เดิมอยู่เมืองไทยก็บริหาร LTF, กองทุน, เงินฝากให้มันส์มือ
เหลือๆ ก็หาที่กิน ที่เที่ยว ชอปปิ้ง
อยู่นี่เงินที่ได้มา
ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เก็บไว้เป็นค่าประกันรถ จ่ายผิดเวลาก็ไม่ได้อีก เครดิตเสีย (build อยู่เนี่ย)
ซื้อของเข้าบ้าน (ตอนนี้ยังขาด TV กับเตารีด)
ไหนจะค่าน้ำมันรถที่สูบเอาๆ มากกว่าน้ำที่ดื่มในแต่ละวันอีก!!!
44 วัน ยังไม่นานพอที่จะหาซื้อรถเป็นของตัวเอง
ประสบปัญหาขาดแคลนรถดี ราคาถูก ไอ้ที่ถูกและดีก็มักไม่รอเรา
ไอ้ที่ดูดี ดูได้ ก็ดันเป็น salvage title คือเคยผ่านสงครามมาก่อน แล้วเอามาย้อมเป็นรถใหม่
ต้องคอยดูว่า อีกกี่วัน ถึงจะ "mission complete"
44 วัน ที่ห่างจากบ้าน ที่ออฟฟิศประกาศเลื่อนตำแหน่ง รอรับโบนัส
แม่จะไปเที่ยวเมืองจีน พี่สาวจะกลับจากอังกฤษ พ่อกำลังพัฒนา product ใหม่
ชีวิตเราทุกคนมันหมุนไปเรื่อยๆจริงๆ ในขณะที่เราใช้ชีวิตที่นี่ ตื่นเช้า ขับรถไปทำงาน กลับบ้านแต่หัววัน (ที่ออฟฟิศอย่าอิจฉานะ ไม่เคยเลิกงานเกิน 5.30 เลยอะ) ชอปปิ้งฆ่าเวลา ใช้เงินไปเรื่อยเปื่อย
ก็เริ่มกลับมาคิดเหมือนกัน ว่าจริงๆ แล้วเรามาที่นี่เพื่ออะไรอะ?
ลำบากกว่าเดิมโคตรๆ เพื่อนก็ไม่ค่อยมี (ถึงจะรู้ว่าเพื่อนที่ออฟฟิศอื่นก็ประสบปัญหา make friends กับคนอเมริกาก็เหอะ) ห่างบ้าน ห่างแฟน ห่างของกินอร่อยๆ ถูกๆ
อากาศก็หนาว (วันนี้ 44F คือ 7 องศา) เสื้อผ้าหน้าหนาวเก๋ๆ ก็โคตรแพง
=_= ณ จุดนี้ เป็น W curve ขาลง บ่นๆไปก็คงดีขึ้นเองแหละ
แต่ถามว่าโดยรวมไหวมั้ย ก็ไหวอะ "โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย" คำนี้อะ ใช่เลย
Subscribe to:
Posts (Atom)