หายไปสองสามวัน วันนี้กลับมาประจำการที่ Atlanta Head Office แล้ว
ตอนนี้ระดับกระเทียมลีบ พัฒนาขึ้นเล็กน้อยประมาณ 0.5
เพิ่มจากวันอังคารที่อยู่ระดับ 6 เป็น 6.5 ^_^"
วันอังคาร ถึง พฤหัสที่ผ่านมา แทบไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนหนึ่่งเป็นเพราะทางลูกค้ายังเตรียมเอกสารให้ไม่เรียบร้อย แต่อีกส่วนหนึ่ง (ส่วนใหญ่รึเปล่านะ) คือเค้ายังไม่รู้จะให้เราทำอะไร เพราะไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรได้ขนาดไหน
วันหลังๆก็รู้สึกดีขึ้นมานิดนึง คนในทีมก็พูดคุยเป็นปกติมากขึ้น ไม่ค่อยทำเหมือนเราเป็น Alien
ระหว่างวันก็ว่างๆ ทำ online training บ้าง ส่วนใหญ่ก็คุยกับเพื่อนร่วมโปรแกรมที่เจอกันที่ New Jersey ว่าแต่ละคนรู้สึกยังไงกันบ้าง
ส่วนใหญ่ก็รู้สึกไม่ต่างกันแฮะ พวกเรามาจากสังคมเอเชีย (จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์) เคยชินกับการ "ให้" และ "ความใส่ใจ"
ถ้ามีคนแปลกหน้ามาใหม่ เราจะเข้าไปให้การต้อนรับขับสู้ พาไปกินข้าว ชวนคุย ถามนู่นนี่ ไม่ให้รู้สึกเหงา
แต่ที่นี่ สังคมอเมริกันนั้นต่างออกไป (จะว่าอย่างสิ้นเชิงก็ได้) เค้าจะไม่ได้ให้ความสนใจในความแตกต่างของเรากับเค้ามากมายนัก
ตอนกลางวันเค้าก็ชวนไปกินข้าว แต่ถ้าเราไม่กิน เค้าก็ไม่แม้แต่จะถามว่าทำไม (ถ้าเป็นคนไทยจะต้องแบบ เป็นอะไรป่าววว จะเอาอะไรมั้ย ให้ซื้ออะไรมารึเปล่า ใช่มะ?)
ตอนเย็นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ที่นี่ดีอย่าง คือแม้แต่ Junior ถ้างานเสร็จก็เก็บกระเป๋ากลับบ้านเองเลย ไม่ต้องรอกลับด้วยกันทั้งทีม ชอบมากค่าาาาา
ถ้ามองว่าดี ก็คือเค้าคิดว่าเราก็เป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เหมือนคนอื่น ที่ต้องใช้เวลาในการทำความรู้จัก สนิทสนม ซึ่งเราเองก็เชื่อว่ามันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
เพราะฉะนั้น ช่วงอาทิตย์แรกที่ ไม่มีเพื่อน และ ว่างงาน!! มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนที่มาทำงานที่นี่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้สินะ
ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นอีกอย่างคือ เมื่อวานมี manager มาเยี่ยมที่ออฟฟิศ เค้าเป็นคนแรกในบรรดาเพื่อนร่วมงานทุกคน ที่ถามเราว่า "เรามาจากกรุงเทพใช่มั้ย ทำนานเท่าไหร่ เช่าบ้านที่ไหน" เป็นคำถามแบบที่คุ้นเคยให้บรรยากาศเหมือนอยู่ออฟฟิศที่เมืองไทยอีกครั้ง
แต่คำเฉลยเบื้องหลังคือ manager คนนี้เป็นคนอินเดีย ที่ย้ายมาเรียนที่อเมริกาเมื่อ 11 ปีที่แล้ว
ไม่บอกก็รู้ว่า เค้ายังมี attitude ที่ฟอร์มแบบคนเอเชียอยู่เต็มๆ (ถึงการทำงานจะกลายเป็นสไตล์อเมริกันไปแล้วก็เถอะ)
รู้สึกดีขึ้น ไม่ใช่เพราะเค้าถามไถ่อะไรหรอกนะ แต่เพราะเริ่มยอมรับได้มากขึ้นจริงๆ แล้วมากกว่า
ก็รู้และเข้าใจมาตลอด เวลาเทรนใน cross cultural training เค้าก็เตือนเสมอแหละ ว่าช่วงแรกๆ ของการทำงาน ถ้ารู้สึกโดดเดี่ยว "อย่าคิดว่าเพราะเค้าเกลียด หรือไม่ชอบเรา" ให้คิดว่าเพราะเราเป็น "คนที่มาใหม่" ที่ยังแปลกหน้าเท่านั้นเอง
ก็รู้และเข้าใจ แต่บางทีวันแรกๆ ที่ต้องเจอสภาพแบบนี้ก็แอบซึมเศร้าเหมือนกันล่ะนะ เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็คนเรามีความรู้สึก และเคยมีเพื่อนๆ พี่ๆ คุยกันจุ๊งจิ๊งทั้งวัน (นี่หว่า)
Skinny มีแอบมาใจดีก่อนกลับบ้านด้วยล่ะ บอกว่าถ้ามีอะไรก็ถามได้นะ เค้าจะไปจ๊อบอื่นสองอาทิตย์ ถ้าเราสงสัยอะไรก็เมล หรือโทรหาได้ :-) ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ยิ้มได้เล็กๆ
แต่งานการก็ยังไก่กาเหมือนเคย วันนี้ช่วย senior print เอกสารแล้วเดินเอาไปส่งให้อีกคน นี่คืองานที่เราต้องทำเหรอฟระ ผู้ใหญ่ที่ออฟฟิศรู้คงขำอะ ส่งเรามาเรียนรู้ ให้เป็นผู้นำ นู่นนี่ แต่งานที่ได้นี่ยิ่งกว่า junior อีกอะ =_=
เอาวะ คงเพราะอาทิตย์แรกๆ ล่ะ ถ้าผ่านไปซักพัก พิสูจน์ตัวเองได้ คงมีงานไหลเข้าบ้าง
ส่วนความคืบหน้าเรื่องย้ายบ้าน มัน sad มากกก อพาร์ทเมนต์โทรมาบอกว่ายังให้ย้ายเข้าเสาร์นี้ไม่ได้ เพราะว่าคนทำความสะอาดพรมเบี้ยวงาน เลยเสร็จช้ากว่ากำหนด
เราต้อง check out เสาร์นี้แล้ว เพราะครบ 2 อาทิตย์พอดี ก็เลยต้องเมลไปขอ approval ให้เราเลื่อนเวลา check out ออกไปอีกสองคืน รู้สึกงืดที่สุดในโลก
แรกๆ กะว่าเสาร์อาทิตย์นี้ คงได้ประกอบเฟอร์ แต่งบ้าน และ unpack ข้าวของซะที แต่ก็มีอันเป็นไป
รถก็ยังหาที่ถูกใจ และถูกราคาไม่ได้
แต่ละวันเกิดเรื่องราวที่ต้องจัดการด้วยตัวเองเยอะมากจริงๆ ไม่ว่าจะ
- หา renter insurance (ต้องโทรไปขอ quote ราคาค่าประกันอพาร์ทเมนต์)
- ติดต่อ Georgia power ให้มาต่อไฟเข้าห้อง
- จองโรงแรมที่จะไปจ๊อบ (จองเอง)
- เติมน้ำมัน ขับรถไปกลับ 4 ชั่วโมง
- แบกของ ย้ายบ้าน ประกอบเฟอร์
- ซื้อรถ หาบ้าน หาที่จอดรถถูกๆ
- ทำบัตรเครดิต โทรไป activate
- แก้ปัญหาคอม
มันเยอะอะะะะ มันสนุก มันหวาดเสียว ตื่นเต้น (ที่ต้องคุยโทรศัพท์ภาษาอังกฤษ) หวาดกลัว บ้างบางเวลา แต่พอเราผ่านมันไปได้ ก็กลับไปประโยค Classic
"แล้วเราจะภูมิใจ ยิ้มให้มัน เมื่อมองกลับมาว่า สิ่งที่ทำลงไปมันแสนจะง่ายนิดเดียว"
อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าเราทำได้ (เหมือนที่คนอื่นเค้าก็ทำได้อะนะ)
และที่สำคัญเพื่อส่งเสริม brand image ของเรา
นอกจากทำได้แล้ว ยังต้องทำได้ถูกกว่า ประหยัดกว่า คนทั่วไปด้วยเหอะ :p
Friday, September 23, 2011
Tuesday, September 20, 2011
ฉันมาทำอะไรที่นี่? ที่ Columbus, Georgia
วันนี้กระเทียมลีบลงกว่าเดิมอีกหนึ่งระดับ ขั้นหกจากสิบละกัน
ตอนเช้ากินข้าวเสร็จออกจากโรงแรมประมาณ 7 โมงครึ่ง ต้องทิ้งโรงแรมนี้ไว้สองคืน เพราะว่ามันยุ่งยากเกินที่จะบอกบริษัทว่าเราต้องไปค้างอ้างแรมที่อื่น (เดี๋ยวโดนตัด per diem อะนะ 555)
จิ้มไปที่ GPS เพื่อนรัก จุดหมายวันนี้อยู่ไกลกว่า กรุงเทพ หัวหินซะอีก กดไป
Current location: Residence Inn Atlanta
Destination: Columbus, Georgia
สองชั่วโมงเต็มๆ ระยะทางจากอากู๋ คือ 114 ไมล์ 183 กิโลรวด
แล้วดินฟ้าอากาศเข้าข้างมาก Tornado เข้าแต่เช้า เลยฝนตก ฟ้าครึ้ม ตกแบบปรอยรั่วๆบ้าง หนักบ้างตลอดทาง เลยทำให้ขับได้ไม่เร็วเท่าไหร่ (จากแต่เดิมถ้าใครรู้ว่าเราก็ขับค่อนข้างช้าและขี้กลัวอยู่แล้วอะนะ)
ไปถึง 9.40 ได้ จอดรถ และไม่ลืมที่จะนึกในใจกล่าวขอบคุณ GPS เล็กๆ ที่ทำให้เราที่เดินทางตัวคนเดียวมาถึงโดยสวัสดิภาพ
แอบแวะเติมน้ำมันที่ที่ Columbus ถูกกว่าที่ Atlanta เกือบ 30 cent/ Gallon แน่ะ ดีที่อั้นมาเติมที่นี่ ประหยัดได้เยอะเลย
พอถึงที่ออฟฟิศลูกค้า ก็โทรเรียกเด็ก Junior (ที่นี่เรียก Associate) ลงมารับที่ Lobby ลูกค้า น้อง Stella (นามสมมติ) เป็นฝรั่งผิวขาว สูงยาวเข่าดี ทักทายจับมือกันเล็กน้อย Stella แนะนำตัวว่าเป็นจูเนียร์น้อยเพิ่งเข้าทำงานเมื่อเดือนสิงหาคม ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ คุยกันเล็กน้อยชีก็พาเดินนำไปห้องออดิท
บร๊ะเจ้า!!!! ห้องออดิทที่ลูกค้ายังมี Cubicle (แปลเป็นไทยว่า "คอก") ให้ทุกคนเข้ามุมของตัวเอง!! นึกถึงเวลาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้วมีคอกกั้นแบบนั้นเลย ใหญ่พอที่จะอยู่ได้สิบกว่าคน
แต่วันนี้มีกันทั้งหมด 5 คน เป็น manager 1 คน Senior 2 คน (ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง) ใครไม่รู้อีกหนึ่ง และ Stella รวมเราก็หกคนพอดี
Senior สาว คือ Skinny (นามสมมติ) เป็น buddy ของเราเอง คือเป็นคนที่จะต้องคอยแนะนำ สอนงานนู่นนี่ให้เราอะนะ น่าแปลกที่จ๊อบนี้ไม่มีผู้หญิงอ้วนเลย สาว Skinny ก็เก๋ๆ เป็นสาวผมบลอนด์ ใส่เสื้อเชิ้ต กระโปรงสอบเอวสูง กับรองเท้าสูงปรี๊ด แถมผอมมากๆ ในขณะที่ Stella ก็ไม่อ้วนเท่าไหร่
เอ หรือที่เค้าบอกว่าคนใต้อ้วนจะเป็นเรื่องในอดีตแล้วนะ?
แนะนำตัวกับคนในทีมล็กน้อย (เล็กน้อยจริงๆ คือบอกว่าเราชื่ออะไร) จับเราเข้ามุมแล้วก็แยกย้ายต่างคนต่างทำงานเงียบหายไปหลายชั่วโมง
เป็นห้องออดิทที่เงียบมากกกก 2 senior มีคุยกันเป็นพักๆ แต่ด้วยเรื่องงานล้วนๆ
ส่วนเด็กจูเนียร์ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป ถามเมื่อสงสัย แต่ไม่มีถามเป็นต่อยหอยแบบน้องๆที่เมืองไทย 555
เวลาผ่านไปประมาณเที่ยงครึ่ง ไวมากกก เพราะนั่ง chat ผ่าน Office Communicator กับเพื่อนอีกคนที่อยู่ Washington DC แนวปรับทุกข์กันไป รวมถึงปรึกษาเรื่องชอปปิ้งซื้อของด้วย
หมู่คณะก็ชวนกันไปกินข้าว ขับรถกันไปสองคัน ไปร้านไก่ทอด Fast food แนว KFC แต่เป็นร้านเชนชื่อดังของรัฐทางใต้ๆ ชื่อว่า Zaxby’s
นอกจากกิน แดกไก่ทอดแล้ว (ขออภัยหากไม่สุภาพ) ก็เกิดอาการ "จ๋อยแดก" ร่วมด้วย เนื่องจากหัวข้อสนทนามื้อกลางวันวันนี้คือ "American Football" เป็นการเก็บตกแมชใหญ่อาทิตย์ที่ผ่านมา ทุกคนเจรจากันออกรสออกชาติแมกซ์ ต่างคนต่างมีทีมของตัวเอง เหมือนแมนยู กับลิเวอร์พูลยังไงยังงั้น
ส่วนเราที่ไม่รู้แม้แต่ว่ามันเล่นยังไง ก็เลยก้มหน้าก้มตากินสลัดไก่ และแดกจ๋อยต่อไป...
กลับมาตอนบ่ายก็ได้งานขำๆ copy and paste เข้าโปรแกรมเล็กน้อย จนเลิกงานประมาณ 6 โมงก็แยกย้ายกัน
แยกแบบแยกจริงๆ เพราะต่างคนต่างจองโรงแรมคนละที่ ไอ้คนที่เชี่ยวชาญอยู่มาก่อน ก็จอง Marriott สุดหรู แพงสุดในเมืองไว้ ส่วน Stella เป็นจูเนียร์น้อยจองไม่ทันก็ได้ Fairfield Inn โรงแรมสามดาวไป
ส่วนกะเหรี่ยงไทยอย่างเรา จองอะไรไม่ได้ก็เอาวะ Courtyard Marriott ไหนๆ ที่ไป Courtyard ชะอำบ่อยๆ ก็ไม่แย่อะไรหนิ แต่พอบอก Skinny เพื่อนเลิฟไป ชียืนยันว่าโรงแรมมันอี๋มากๆ แนะนำปนหวังดีให้หาโรงแรมอื่นอยู่ เราก็ซื่อและเชื่อ เลยต้องระเห็ดระเหเร่ร่อนหาโรงแรมกลางสายฝนขากลับจากลูกค้าอีกรอบ T_T
ด้วยความที่เมืองนี้มันไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว หรูสุดก็ Marriott นั่นแหละ เลยเปิดไล่จากเนตหาโรงแรมที่เหมาะสมกับความเป็นวิชาชีพอย่างเรา ดีสุด (แพงสุด) ที่ไม่เต็มคือ Holiday Inn Columbus
วันนี้ก็เลยมาลงหลักปักฐาน เช็คอินเอง ลากเป๋าเอง สิงสถิตย์ที่นี่สองคืน
โรงแรมไม่ได้ดีอะไรมาก แอบน่ากลัวเล็กน้อยเพราะคนดำเยอะด้วยล่ะ แต่เช็คอินเข้ามาแล้วทำไงได้ ก็ต้องเซฟตัวเอง โดยการไม่ไปว่ายน้ำโชว์อะนะ 555
เลยเก็บตัวเอง ล็อกกลอน DEAD BOLT อยู่ในห้อง เตรียมต่อสู้ชะตากรรมพรุ่งนี้ต่อไป
ข้อคิดวันนี้
1) ตอกย้ำต่อจากเมื่อวาน ว่าไม่มีใครสนใจจริงๆ ว่าเราเป็นใคร วันนี้ไม่มีใครถามเราเลยล่ะ ว่าเรา "มาจากไหน" (ไม่สงสัยกันหรือไงฟระ ว่าพูดอังกฤษสำเนียงแบบนี้ หน้าตาแปลกๆขนาดนี้ มันเป็นใครมาจากไหน)
2) ต่างคนต่างอยู่ รับผิดชอบตัวเองได้เป็นพอ
อย่างวันนี้ตอนกลางวัน Stella ทำบัตรตกหาย ก็ไม่มีใครมาเป็นห่วงเป็นใย
ถ้าปกติ พี่อินชาร์จจะต้องมีน้ำใจช่วยหา ช่วยถามไถ่ แต่นี่ก็ให้มันหาไปเงียบๆคนเดียว (ดีที่หาเจอ)
สิ่งที่คุยกันตอนกลางวัน ที่ถามเราก็แค่ จะมาอยู่นี่นานเท่าไหร่ จ๊อบต่อไปคือที่ไหน...จบ
3) ออดิทที่นี่ "เลือกได้" จริงๆ เลือกโรงแรม เลือกความเป็นอยู่ที่ดี ที่เหมาะสมและปลอดภัยกับตัวเอง ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในกำมือลูกค้า
ทุกคนอยู่ห้องส่วนตัวของตัวเอง ไม่ต้องอัดกันเป็นปลากระป๋องสามคนห้องด้วยล่ะ
แต่ในขณะเดียวกัน เราว่าเค้าทำตัวเหมาะสมกับคำว่า Professional นะ ไม่มีใครแต่งตัวโป๊ๆ หรือหวือหวา กระโปรงลายจุด ลายดอกไม้ แต่ก็ไม่ได้แต่งตัวแบบสูทอะไร ก็เชิ้ต กางเกง กระโปรง สีสุภาพกันทุกคน
เรื่องความเป็นมืออาชีพที่เราชื่นชมคือ
ไม่คุยเล่นในเวลางานจริงๆ เวลางานคือเวลางาน รับผิดชอบงานของตัวเองให้เต็มที่
ถ้าเกิดเราถาม เค้าก็จะตอบ แต่จะไม่พูดพล่าม หรือย้วยอะไรให้เสียเวลา
ไม่กินขนมจุบจิบ.... เห็นเค้ากินอย่างมากก็พวก snack bar พวก Mars, Snicker ไรงี้
ทุกอย่างต้อง track ได้
จำได้ว่ามีผู้ใหญ่ในออฟฟิศที่ไทย เคยสั่งให้พนักงานอย่างเราๆ track ว่าทำอะไรไปกี่ชั่วโมงในแต่ละวันบ้าง เราจำคำพูดตัวเองได้เลยว่า "ใครจะทำได้ฟระ"
แต่ที่นี่ "หนูทำได้ค่ะ แตแด๊ด แตแด๊ด" เราเห็นน้องจูเนียร์จะมี note pad ส่วนตัวจดสิ่งที่ตัวเองทำตลอด เช่น
8.30-9.30 ทำ walkthrough
12.30-1.30 พักกลางวัน
3.30 พาเราไปทำบัตร visitor
จดไว้ละเอียดมากกก เพราะฉะนั้น เค้าจะสามารถติดตามรายงานได้เลย ว่าเสียเวลาไปกับอะไรบ้าง ทำตรงไหนนาน ตรงไหนเสียเวลา ซึ่งเราว่าดีมากๆเลย
ส่วนเรื่องงานก็ไม่ค่อยอมงานกันนะ พอน้องทำงานเสร็จก็เห็นเค้าบอกอินชาร์จเลยว่าเสร็จแล้ว ส่วนตัวอินชาร์จเองก็จิกพอควร คือต้องมีให้รายงานระหว่างวัน ว่าตอนนี้ทำอะไรแล้ว เสร็จชิ้นไหนไปแล้วบ้าง
ถ้าเป็นเรื่องงาน เราว่าเค้ามีการสื่อสารที่ดีในการวางแผนงานร่วมกัน มากกว่าคุยเล่นอีกล่ะ :)
ส่วนตัวเรา วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไร เพราะรู้สึกได้เลย ว่าเค้ายัง "ไม่ไว้ใจ" ที่จะให้ทำ เพราะไม่รู้ว่าระบบการทำงานของที่ไทย กับที่อเมริกาเหมือนกันมั้ย
มีถามด้วยนะว่าที่ออฟฟิศเรามี control testing มั้ย??? ไปอยู่ไหนมาาาา ได้ข่าวมันเป็นมาตรานการสอบบัญชีสากรเหอะ -_-"
ถามว่าที่เมืองไทยมีใช้โปรแกรมนี้มั้ย (คือเป็นโปรแกรมที่ใช้กันทุกบริษัททั่วโลกอะนะ) พอเราบอกว่ามีเหมือนกัน ยังถามต่ออีกว่าเหมือนกันขนาดไหน จนต้องบอกว่า เหมือนกันทุกอย่างง ชีถึงจะพอใจ -_-"
ไม่อยากจะบอกว่า เราเป็น trainer นี้ที่ออฟฟิศเราด้วยเหอะ ปล่อยให้คิดว่าเราโง่งงแบบนี้อะดีแล้ว ขำๆ
แล้วอย่างมี invite ชื่อเข้าจ๊อบ เรา connect ไม่ได้ เลยรู้เลย ว่าต้องเกิดจากพิมพ์ชื่อผิดแน่ๆ (ก็ชื่อไทย นามสกุลไทยมันโคตรสับสน) เค้าก็ไม่เชื่อเราเลย เค้าต้องถามเราหลายครั้งมากๆ ว่าเราทำเป็นมั้ย รู้ได้ไงว่าเราไม่ได้ผิด??? -_-"
ถึงจะกะเหรี่ยง แต่เมืองไทยก็มีโปรแกรมนี้ใช้มาเกือบปีแล้วน๊า T__T
อืมม แล้วเรื่องที่เค้าคงไม่ไว้ใจให้ทำ ก็คงเป็นเพราะเรื่องภาษาด้วยแหละ ลำพังคุยกันเล่นๆ ก็ไม่ค่อยจะสื่อสารกันได้ 100% แล้ว คงไม่ค่อยกล้าให้เรา document งานอะไรเท่าไหร่ ตอนนี้ศักดิ์ และศรี นี่ตกต่ำยิ่งกว่า Junior น้อยอีกนะ
นี่ฉันเป็น AM ที่ออฟฟิศ ที่เคยเรียกน้องๆ มารีวิวงาน ณ จุดนี้ back to basic มากๆ ต้องคอยของานอินชาร์จทำ หึหึ มีอะไรแบบนี้บ้างก็คงจะดี
ส่วนที่ทำให้ไม่มั่นใจก็คือ การที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานที่ไม่ถนัดเนี่ยแหละ มันสนุกที่ได้เรียนรู้ แต่มันทำให้ความรู้ที่เราเคยมีไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับเราเลย
เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ ....
แต่นี่แค่ Day 2 อะนะ จะไม่ตัดสินอะไรจากภายนอก และแน่นอน จะยิ้มสู้ต่อไป!!!!
ตอนเช้ากินข้าวเสร็จออกจากโรงแรมประมาณ 7 โมงครึ่ง ต้องทิ้งโรงแรมนี้ไว้สองคืน เพราะว่ามันยุ่งยากเกินที่จะบอกบริษัทว่าเราต้องไปค้างอ้างแรมที่อื่น (เดี๋ยวโดนตัด per diem อะนะ 555)
จิ้มไปที่ GPS เพื่อนรัก จุดหมายวันนี้อยู่ไกลกว่า กรุงเทพ หัวหินซะอีก กดไป
Current location: Residence Inn Atlanta
Destination: Columbus, Georgia
สองชั่วโมงเต็มๆ ระยะทางจากอากู๋ คือ 114 ไมล์ 183 กิโลรวด
แล้วดินฟ้าอากาศเข้าข้างมาก Tornado เข้าแต่เช้า เลยฝนตก ฟ้าครึ้ม ตกแบบปรอยรั่วๆบ้าง หนักบ้างตลอดทาง เลยทำให้ขับได้ไม่เร็วเท่าไหร่ (จากแต่เดิมถ้าใครรู้ว่าเราก็ขับค่อนข้างช้าและขี้กลัวอยู่แล้วอะนะ)
ไปถึง 9.40 ได้ จอดรถ และไม่ลืมที่จะนึกในใจกล่าวขอบคุณ GPS เล็กๆ ที่ทำให้เราที่เดินทางตัวคนเดียวมาถึงโดยสวัสดิภาพ
แอบแวะเติมน้ำมันที่ที่ Columbus ถูกกว่าที่ Atlanta เกือบ 30 cent/ Gallon แน่ะ ดีที่อั้นมาเติมที่นี่ ประหยัดได้เยอะเลย
พอถึงที่ออฟฟิศลูกค้า ก็โทรเรียกเด็ก Junior (ที่นี่เรียก Associate) ลงมารับที่ Lobby ลูกค้า น้อง Stella (นามสมมติ) เป็นฝรั่งผิวขาว สูงยาวเข่าดี ทักทายจับมือกันเล็กน้อย Stella แนะนำตัวว่าเป็นจูเนียร์น้อยเพิ่งเข้าทำงานเมื่อเดือนสิงหาคม ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ คุยกันเล็กน้อยชีก็พาเดินนำไปห้องออดิท
บร๊ะเจ้า!!!! ห้องออดิทที่ลูกค้ายังมี Cubicle (แปลเป็นไทยว่า "คอก") ให้ทุกคนเข้ามุมของตัวเอง!! นึกถึงเวลาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้วมีคอกกั้นแบบนั้นเลย ใหญ่พอที่จะอยู่ได้สิบกว่าคน
แต่วันนี้มีกันทั้งหมด 5 คน เป็น manager 1 คน Senior 2 คน (ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง) ใครไม่รู้อีกหนึ่ง และ Stella รวมเราก็หกคนพอดี
Senior สาว คือ Skinny (นามสมมติ) เป็น buddy ของเราเอง คือเป็นคนที่จะต้องคอยแนะนำ สอนงานนู่นนี่ให้เราอะนะ น่าแปลกที่จ๊อบนี้ไม่มีผู้หญิงอ้วนเลย สาว Skinny ก็เก๋ๆ เป็นสาวผมบลอนด์ ใส่เสื้อเชิ้ต กระโปรงสอบเอวสูง กับรองเท้าสูงปรี๊ด แถมผอมมากๆ ในขณะที่ Stella ก็ไม่อ้วนเท่าไหร่
เอ หรือที่เค้าบอกว่าคนใต้อ้วนจะเป็นเรื่องในอดีตแล้วนะ?
แนะนำตัวกับคนในทีมล็กน้อย (เล็กน้อยจริงๆ คือบอกว่าเราชื่ออะไร) จับเราเข้ามุมแล้วก็แยกย้ายต่างคนต่างทำงานเงียบหายไปหลายชั่วโมง
เป็นห้องออดิทที่เงียบมากกกก 2 senior มีคุยกันเป็นพักๆ แต่ด้วยเรื่องงานล้วนๆ
ส่วนเด็กจูเนียร์ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป ถามเมื่อสงสัย แต่ไม่มีถามเป็นต่อยหอยแบบน้องๆที่เมืองไทย 555
เวลาผ่านไปประมาณเที่ยงครึ่ง ไวมากกก เพราะนั่ง chat ผ่าน Office Communicator กับเพื่อนอีกคนที่อยู่ Washington DC แนวปรับทุกข์กันไป รวมถึงปรึกษาเรื่องชอปปิ้งซื้อของด้วย
หมู่คณะก็ชวนกันไปกินข้าว ขับรถกันไปสองคัน ไปร้านไก่ทอด Fast food แนว KFC แต่เป็นร้านเชนชื่อดังของรัฐทางใต้ๆ ชื่อว่า Zaxby’s
House salad- $6.49 |
ส่วนเราที่ไม่รู้แม้แต่ว่ามันเล่นยังไง ก็เลยก้มหน้าก้มตากินสลัดไก่ และแดกจ๋อยต่อไป...
กลับมาตอนบ่ายก็ได้งานขำๆ copy and paste เข้าโปรแกรมเล็กน้อย จนเลิกงานประมาณ 6 โมงก็แยกย้ายกัน
แยกแบบแยกจริงๆ เพราะต่างคนต่างจองโรงแรมคนละที่ ไอ้คนที่เชี่ยวชาญอยู่มาก่อน ก็จอง Marriott สุดหรู แพงสุดในเมืองไว้ ส่วน Stella เป็นจูเนียร์น้อยจองไม่ทันก็ได้ Fairfield Inn โรงแรมสามดาวไป
ส่วนกะเหรี่ยงไทยอย่างเรา จองอะไรไม่ได้ก็เอาวะ Courtyard Marriott ไหนๆ ที่ไป Courtyard ชะอำบ่อยๆ ก็ไม่แย่อะไรหนิ แต่พอบอก Skinny เพื่อนเลิฟไป ชียืนยันว่าโรงแรมมันอี๋มากๆ แนะนำปนหวังดีให้หาโรงแรมอื่นอยู่ เราก็ซื่อและเชื่อ เลยต้องระเห็ดระเหเร่ร่อนหาโรงแรมกลางสายฝนขากลับจากลูกค้าอีกรอบ T_T
ด้วยความที่เมืองนี้มันไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว หรูสุดก็ Marriott นั่นแหละ เลยเปิดไล่จากเนตหาโรงแรมที่เหมาะสมกับความเป็นวิชาชีพอย่างเรา ดีสุด (แพงสุด) ที่ไม่เต็มคือ Holiday Inn Columbus
วันนี้ก็เลยมาลงหลักปักฐาน เช็คอินเอง ลากเป๋าเอง สิงสถิตย์ที่นี่สองคืน
King size นอนคนเดียว (อีกแระ) |
จุดเด่นของเครือ Holiday Inn ที่นี่คือให้ amenities ของ Bath and Body Works |
สระว่ายน้ำสวยดี แต่ฝนตก และหนาวโคตร |
โรงแรมมีแค่สองชั้นเท่านั้น |
Welcome Pack เล็กน้อย |
เลยเก็บตัวเอง ล็อกกลอน DEAD BOLT อยู่ในห้อง เตรียมต่อสู้ชะตากรรมพรุ่งนี้ต่อไป
ข้อคิดวันนี้
1) ตอกย้ำต่อจากเมื่อวาน ว่าไม่มีใครสนใจจริงๆ ว่าเราเป็นใคร วันนี้ไม่มีใครถามเราเลยล่ะ ว่าเรา "มาจากไหน" (ไม่สงสัยกันหรือไงฟระ ว่าพูดอังกฤษสำเนียงแบบนี้ หน้าตาแปลกๆขนาดนี้ มันเป็นใครมาจากไหน)
2) ต่างคนต่างอยู่ รับผิดชอบตัวเองได้เป็นพอ
อย่างวันนี้ตอนกลางวัน Stella ทำบัตรตกหาย ก็ไม่มีใครมาเป็นห่วงเป็นใย
ถ้าปกติ พี่อินชาร์จจะต้องมีน้ำใจช่วยหา ช่วยถามไถ่ แต่นี่ก็ให้มันหาไปเงียบๆคนเดียว (ดีที่หาเจอ)
สิ่งที่คุยกันตอนกลางวัน ที่ถามเราก็แค่ จะมาอยู่นี่นานเท่าไหร่ จ๊อบต่อไปคือที่ไหน...จบ
3) ออดิทที่นี่ "เลือกได้" จริงๆ เลือกโรงแรม เลือกความเป็นอยู่ที่ดี ที่เหมาะสมและปลอดภัยกับตัวเอง ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในกำมือลูกค้า
ทุกคนอยู่ห้องส่วนตัวของตัวเอง ไม่ต้องอัดกันเป็นปลากระป๋องสามคนห้องด้วยล่ะ
แต่ในขณะเดียวกัน เราว่าเค้าทำตัวเหมาะสมกับคำว่า Professional นะ ไม่มีใครแต่งตัวโป๊ๆ หรือหวือหวา กระโปรงลายจุด ลายดอกไม้ แต่ก็ไม่ได้แต่งตัวแบบสูทอะไร ก็เชิ้ต กางเกง กระโปรง สีสุภาพกันทุกคน
เรื่องความเป็นมืออาชีพที่เราชื่นชมคือ
ไม่คุยเล่นในเวลางานจริงๆ เวลางานคือเวลางาน รับผิดชอบงานของตัวเองให้เต็มที่
ถ้าเกิดเราถาม เค้าก็จะตอบ แต่จะไม่พูดพล่าม หรือย้วยอะไรให้เสียเวลา
ไม่กินขนมจุบจิบ.... เห็นเค้ากินอย่างมากก็พวก snack bar พวก Mars, Snicker ไรงี้
ทุกอย่างต้อง track ได้
จำได้ว่ามีผู้ใหญ่ในออฟฟิศที่ไทย เคยสั่งให้พนักงานอย่างเราๆ track ว่าทำอะไรไปกี่ชั่วโมงในแต่ละวันบ้าง เราจำคำพูดตัวเองได้เลยว่า "ใครจะทำได้ฟระ"
แต่ที่นี่ "หนูทำได้ค่ะ แตแด๊ด แตแด๊ด" เราเห็นน้องจูเนียร์จะมี note pad ส่วนตัวจดสิ่งที่ตัวเองทำตลอด เช่น
8.30-9.30 ทำ walkthrough
12.30-1.30 พักกลางวัน
3.30 พาเราไปทำบัตร visitor
จดไว้ละเอียดมากกก เพราะฉะนั้น เค้าจะสามารถติดตามรายงานได้เลย ว่าเสียเวลาไปกับอะไรบ้าง ทำตรงไหนนาน ตรงไหนเสียเวลา ซึ่งเราว่าดีมากๆเลย
ส่วนเรื่องงานก็ไม่ค่อยอมงานกันนะ พอน้องทำงานเสร็จก็เห็นเค้าบอกอินชาร์จเลยว่าเสร็จแล้ว ส่วนตัวอินชาร์จเองก็จิกพอควร คือต้องมีให้รายงานระหว่างวัน ว่าตอนนี้ทำอะไรแล้ว เสร็จชิ้นไหนไปแล้วบ้าง
ถ้าเป็นเรื่องงาน เราว่าเค้ามีการสื่อสารที่ดีในการวางแผนงานร่วมกัน มากกว่าคุยเล่นอีกล่ะ :)
ส่วนตัวเรา วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไร เพราะรู้สึกได้เลย ว่าเค้ายัง "ไม่ไว้ใจ" ที่จะให้ทำ เพราะไม่รู้ว่าระบบการทำงานของที่ไทย กับที่อเมริกาเหมือนกันมั้ย
มีถามด้วยนะว่าที่ออฟฟิศเรามี control testing มั้ย??? ไปอยู่ไหนมาาาา ได้ข่าวมันเป็นมาตรานการสอบบัญชีสากรเหอะ -_-"
ถามว่าที่เมืองไทยมีใช้โปรแกรมนี้มั้ย (คือเป็นโปรแกรมที่ใช้กันทุกบริษัททั่วโลกอะนะ) พอเราบอกว่ามีเหมือนกัน ยังถามต่ออีกว่าเหมือนกันขนาดไหน จนต้องบอกว่า เหมือนกันทุกอย่างง ชีถึงจะพอใจ -_-"
ไม่อยากจะบอกว่า เราเป็น trainer นี้ที่ออฟฟิศเราด้วยเหอะ ปล่อยให้คิดว่าเราโง่งงแบบนี้อะดีแล้ว ขำๆ
แล้วอย่างมี invite ชื่อเข้าจ๊อบ เรา connect ไม่ได้ เลยรู้เลย ว่าต้องเกิดจากพิมพ์ชื่อผิดแน่ๆ (ก็ชื่อไทย นามสกุลไทยมันโคตรสับสน) เค้าก็ไม่เชื่อเราเลย เค้าต้องถามเราหลายครั้งมากๆ ว่าเราทำเป็นมั้ย รู้ได้ไงว่าเราไม่ได้ผิด??? -_-"
ถึงจะกะเหรี่ยง แต่เมืองไทยก็มีโปรแกรมนี้ใช้มาเกือบปีแล้วน๊า T__T
อืมม แล้วเรื่องที่เค้าคงไม่ไว้ใจให้ทำ ก็คงเป็นเพราะเรื่องภาษาด้วยแหละ ลำพังคุยกันเล่นๆ ก็ไม่ค่อยจะสื่อสารกันได้ 100% แล้ว คงไม่ค่อยกล้าให้เรา document งานอะไรเท่าไหร่ ตอนนี้ศักดิ์ และศรี นี่ตกต่ำยิ่งกว่า Junior น้อยอีกนะ
นี่ฉันเป็น AM ที่ออฟฟิศ ที่เคยเรียกน้องๆ มารีวิวงาน ณ จุดนี้ back to basic มากๆ ต้องคอยของานอินชาร์จทำ หึหึ มีอะไรแบบนี้บ้างก็คงจะดี
ส่วนที่ทำให้ไม่มั่นใจก็คือ การที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานที่ไม่ถนัดเนี่ยแหละ มันสนุกที่ได้เรียนรู้ แต่มันทำให้ความรู้ที่เราเคยมีไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับเราเลย
เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ ....
แต่นี่แค่ Day 2 อะนะ จะไม่ตัดสินอะไรจากภายนอก และแน่นอน จะยิ้มสู้ต่อไป!!!!
Monday, September 19, 2011
First working day in Atlanta
หลังจากอยู่ช่วง Honeymoon period มาได้ซักพักใหญ่ๆ ช่วงหนึ่งเดือนก่อนออกเดินทาง และช่วง training week ที่ New Jersey ก็เหมือนพวกเราชาว USMP กะเหรี่ยงทุกคนได้หยุด operate ไปเดือนกว่าๆเลยทีเดียว
วันอาทิตย์ วันสุดท้ายของวันหยุด
ไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนคนไทยที่ร้าน Sushi แถว Decatur ซัด Katsudon หรือข้าวหน้าหมูทอดไปหนึ่งจาน ที่นี่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใกล้เคียงความเป็นญี่ปุ่น แต่เด็กเสิร์ฟกลับเป็นคนไทยหมดเลยแฮะ
เสร็จแล้วก็ไปจิบกาแฟร้านแนวๆ
ต่อจากนั้นก็อิ่มอ้วก ไปเดิน Walmart + Ross ชอปปิ้งตามประสาสาวๆ กันเล็กน้อย
แล้วก็กลับบ้านเตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้น
วันอาทิตย์ วันสุดท้ายของวันหยุด
ไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนคนไทยที่ร้าน Sushi แถว Decatur ซัด Katsudon หรือข้าวหน้าหมูทอดไปหนึ่งจาน ที่นี่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใกล้เคียงความเป็นญี่ปุ่น แต่เด็กเสิร์ฟกลับเป็นคนไทยหมดเลยแฮะ
แล้วก็สั่งข้าวปั้นหน้าปลาซาบะ (ที่นี่ก็คือปลาแมกคอเรล) คำละ $1.9 ก็พอทนๆ แต่พอปลามาจริงชิ้นใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าที่มิยาตาเกะอีกล่ะ
บรรยากาศชิลๆ รอบๆ Decatur Square |
Sushi Avenue ร้านอาหารที่ฝากท้องไว้ |
บรรยากาศภายในร้านเก๋ไก๋ดี |
อาหารราคาไม่แพง เซทนี้ $7.50 เท่านั้น |
ข้าวหน้าหมูทอด รสชาติเหมือนทำเองเลย $6.75 |
ข้าวปั้นกล่องข้าวน้อย (อัดข้าวเยอะจริง) |
ตกแต่งแนววัยรุ่น Graffiti มีพวกผลงานศิลปินแขวนขายด้วย |
แก้วนี้เรียกว่า "Caramellatto" กาแฟเย็นใส่คาราเมลนั่นเอง อร่อยยย |
มอคค่าร้อนของเพื่อน คิดถึง Black Canyon แฮะ |
แล้วก็กลับบ้านเตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้น
Subscribe to:
Posts (Atom)