Monday, January 13, 2014

Top 37 Things Dying People Say They Regret

Here Are The Top 37 Things Dying People Say They Regret. Learn From It Before It’s Too Late.


วันนี้เห็นหลายคน forward link นี้กันใน Facebook แถมเป็นช่วงต้นปีด้วย
เลยอยากเอามาทำดูว่าเรา regret หรือไม่ regret เรื่องอะไรบ้าง

1) Not traveling when you had the chance
ไม่เสียใจกับสิ่งนี้เลย ถ้าจะเสียดายก็คงเสียดายที่ว่าไม่ได้เกิดมาครอบครัวที่มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ขนาดไปไหนต่อไหนแบบไม่ต้องคิดอะไร แต่ความโชคดีก็คือ เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่เห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นการเปิดโลกที่สำคัญ สมัยเด็กๆ ช่วยประถม ถือว่าที่บ้านมีความเฟื่องฟูทางการเงินพอควร ก็เลยได้ไปเที่ยวต่างประเทศทุกปี สถานที่ที่ประทับใจว่าเออ พ่อแม่เราเจ๋งนะที่พาไปก็มี USA, South Africa 

พอโตมาหน่อยจำได้ว่าเลิกกับแฟนเก่าตอนจบมปลายพอดี ก็เลยไปซัมเมอร์ที่ไต้หวันพักใจ

พอตอนเรียนมหาลัย ก็ไป Work and Travel ที่อเมริกาสองครั้ง ครั้งแรกทำที่ Yellow Stone National Park ก็ได้ไปเที่ยวแถบ US West Coast อย่างพวก LA, Las Vegas, San Franciso พออีกปีไปทำที่ Cedar Point Amusement Park Ohio ก็ได้ไปหลายที่ฝั่ง East Coast อย่าง New York, Niagara Falls 

ตอนจบทำงานใหม่ๆ เริ่มทำกับ ExxonMobil ก็ได้ไปอยู่ที่ญี่ปุ่นใช้ชีวิตเองเกือบเดือน

พอทำกับที่ปัจจุบัน ก็มีโอกาสได้ไปทำงานที่ลาวหลายครั้ง ไปทำงานที่ USA (ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าได้กลับไปเยี่ยมเยียนที่นั่นอีกครั้ง ทั้งๆที่ตอนนั้นคิดว่าเมืองเล็กๆแบบนี้ต่อให้มาเที่ยวก็คงไม่มีวันกลับมา แล้วอีกไม่เกินสองปีดันได้กลับไปทำงานที่นั่นเลยด้วยซ้ำ!)

ยังไม่รวมเที่ยวประปรายที่ได้ไปเสมอๆ อย่างต่ำปีละครั้งสองครั้ง ทั้งที่ได้รับโอกาสไปแบบไม่ต้องจ่ายตังบ้าง ทั้งที่คว้าโอกาสโดยการเก็บหอมรอมริบจากน้ำพักน้ำแรงบ้าง 

แล้วพอช่วงปี 2011-2013 ที่ได้ไปทำงานที่อเมริกา มันถือเป็นการเปิดโลกการท่องเที่ยวของเราอีกโลกเลย คือไปที่ใหม่ๆ เยอะจริงๆ แทบจะเรียกได้ว่าไปเมืองใหม่ๆ ทุกสองอาทิตย์ บินอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ไปเที่ยวที่ใหญ่ๆ สำคัญๆ ทุกเทศกาล ^_^

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นเรื่องนี้แล้ว เราพูดได้เลยว่าเราได้ทำสุดความสามารถตามโอกาส เวลา และกำลังทรัพย์ที่มีแล้วจริงๆ ไม่มีอะไรที่เสียใจ ณ จุดนี้

2. Not learning another language

นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่เสียใจ แต่อาจจะต้องขอบคุณพ่อแม่ของเรามากกว่า ที่บังคับให้เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่เข้ามัธยม เรียนแบบจริงจังกับครูคนญี่ปุ่นตัวต่อตัวด้วย ถึงแม้ตอนนั้นจะเรียนไก่กาไม่ได้คิดว่าจะใช้อะไร แต่มันกลับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่ตอนจบทำงานเป็นตัวสร้างโอกาสให้เราได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่น

ได้เรียนภาษาจีนพร้อมๆกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นเรียนอยู่เกือบห้าปี ก็เรียกได้ว่ามีพื้นฐานที่ค่อนข้างแข๊งแรง ถึงมาตอนนี้ภาษาทั้งสองจะไม่ค่อยเหลือในความทรงจำแล้ว แต่ก็เรียกได้ว่าเวลาไปไหนต่อไหนก็ไม่ค่อยมีปัญหาในการ catch up อะไรเท่าไหร่เลย อย่างการเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว สั่งอาหาร สนทนาทั่วไปก็ยังพอทำได้อยู่

ที่ดีใจก็คือการได้ไป Work and Travel และการเรียน BBA ที่ทำให้ภาษาอังกฤษเราดีขึ้นมาก และมันเป็นตัวช่วยเสริมให้มีโอกาสได้ไปทำงานที่อเมริกา เพราะถ้าภาษาไม่โอเคในระดับหนึ่งแล้วการไปทำงานที่อเมริกาแบบจริงจังเป็นเรื่องยากจริงๆ (ตอนเราไปก็ใช่ว่าง่ายนะ ขมขื่น ขื่นขมเรื่องภาษามิใช่น้อย)

ที่ Regret ก็คงไม่ แต่จริงๆ แล้วมีแพลนอยากลองเรียนภาษาที่ไม่เคยเรียนมากกว่า ที่คิดไว้ตั้งนานแล้วก็คือเรียน ภาษาฝรั่งเศส หรือ ภาษาอิตาลี (เกี่ยวกับอาหาร) คิดว่าน่าสนุกดี เพราะไม่เคยเรียนภาษาแถบนี้เลย

3.Staying in a bad relationship
ไม่เคยอยู่ใน bad relationship นานขนาดนั้น รู้สึกว่าชีวิตเราค่อนข้างชัดเจน และเลือกเอง 
การจะเริ่มคบกับใคร ส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัยเวลาพูดคุยรู้จักกันพอควร 
การจะเลิกคบกับใคร ก็คิดไตร่ตรองมากๆ เพราะฉะนั้น ในความทรงจำเราเราก้ไม่ค่อยเสียน้ำตา หรือเสียเวลาไร้สาระอะไรกับเรื่องความรักเท่าไหร่ 

เคยมี moment ที่บอกเลิกแล้วคบกัน แต่นั่นก็เป็นช่วง puppy love 
เคยมี moment ที่ไม่แน่ใจว่าจะคบกับดีมั้ย ตัดสินใจถูกรึเปล่า แต่ก็ผ่านไปได้แบบไม่ซับซ้อนอะไร
เคยมี moment ที่เป็น long distance relationship แต่ก็ขอบคุณทั้งความรักของเขา และเรา ที่ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์มันอ่อนแอ กระปอดกระแปด 

ถ้าจะคิดเสียใจ คงเสียใจมากกว่า ที่ตอนเด็กๆ Drama มากเกินไป (ทั้งๆที่ก็ drama น้อยแล้วนะ) เพราะพอมองกลับไป คนที่เคยคบกันได้ก็อาจจะยังคบกันมาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเหุตผลที่เลิกก็ยังงงๆ จนตอนนี้คิดว่าคงเป็นโชคชะตา และเป็นสิ่งที่ทั้งเราและเค้าเลือกแล้วแหละ ว่าไม่ได้ลงเอยกัน

4. Forgoing sunscreen อันนี้จบนะ ไม่คิดเสียใจ เพราะไม่ใช่ฝรั่งอยากผิวแทน 555

5. Missing the chance to see your favorite musicians อันนี้ก็ไม่เคยเสียใจ เพราะจนทุกวันนี้ก็ไม่เคยชอบดาราน้กร้องคนไหนเป็นตัวเป็นตนมากพอที่จะเสียเงินเลย! สรุปคือยังไม่เคยไปดูคอนเสิร์ตแบบตั้งใจเสียเงินเลยซักครั้ง เอวัง!

6. Being afraid to do things
เรื่องนี้นึกไม่ค่อยออก เพราะจริงๆ แล้วเราออกจะเป็นคนกล้าบ้าบิ่น ลุยๆมากกว่า แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เคยคิดว่าอยากลองทำแล้วไม่ได้ทำ ก็คงเป็นพวกแบบไปค่ายอาสา volunteer แบบไปคนเดียว ตามเนปาล เอธิโอเปียอะไรงี้ ไม่ก็พวกไปเก็บผลไม้ช่วง summer ที่ฝรั่ง หรือคนญี่ปุ่นเค้าหาแรงงาน

เคยคิดว่าถ้ามีงานที่ไม่ดี และโสด ก็อยากไปลองเป็นเด็กเสิร์ฟใช้ชีวิตที่อเมริกาดู ไม่ก็อยากไปทำงานที่สิงคโปร์ไรงี้ แต่พวกนี้ก็ได้แต่คิดอะ มีหลายคอนดิชั่นที่ทำให้ไม่ลงตัว ก็เลยไม่ได้ทำ

เรื่องที่กลัวสุดๆ ก็คงเป็นเรื่องการเรียนดำน้ำมั้ง เพื่อนๆรอบตัวไปดำน้ำกันหลายคนก็้คิดว่าอยากไปสอบ cer open water diving บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังแอบกลัวอันตรายโลกใต้ทะเล กลัวหอยเม่น กลัวเป็นอัลไซเมอร์ กลัวขาดออกซิเจน สุดท้ายก็เลยไม่ได้เริ่มซักที

7. Failing to make physical fitness a priority
ถึงจะไม่เคยผอมแบบนางแบบ แต่ก็คิดว่าเราเองเป็นหนึ่งในคนที่ดูแลสุขภาพ ถึงบางทีจะแบบขึ้นๆลงๆ ก็ตามที ช่วงที่คิดว่าดูแลตัวเองดีมากคือตอนไปทำงานที่อเมริกาที่ไปฟิตเนสแทบทุกวัน ทำกับข้าวไปกินเอง ด้วยการคุมคุณภาพอาหาร แคลอรี่ทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยม ถึงจะต้องหลุดกิน junk food อาทิตย์ละครั้ง กินเค้กบ้าง กินเบียร์บ้าง แต่การมีสุขภาพแข็งแรง มีหุ่นที่ดีๆ เฟิรืมๆ ก็ยังเป็น หนึ่งใน resolution ของเราเสมอ (ปีนี้ก็ด้วย)

8. Letting yourself be defined by gender role
หัวข้อนี้ดูเป็นอองซานซูจีปกป้องสิทธิมนุษยชนมาก จะบอกว่าการเกิดเป็นคนไทย และเกิดในบ้านที่มีลูกสาวสามคนเนี่ย การเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวหรอกนะ แต่ก็เคยมีบ้างที่คิดว่าถ้าเป็นผู้ชายคงทำอะไรได้สะดวกกว่านี้ อย่างเช่นไปไหนต่อไหนคนเดียว ไปลุยๆ แบคแพคคนเดียว ไปเมาแอ๋ในผับ เที่ยวกลางคืนไรงี้ 

9. Not quitting a terrible job
หัวข้อนี้เราค่อนข้างภูมิใจว่าในอดีตเราไม่ได้ปล่อยให้มันทำร้ายเรา จำได้ว่าตอนครึ่งปีหลังหลังจากที่กลับมาญี่ปุ่น งานที่ได้รับมอบหมายน่าเบื่อมากกกก ดูแล้วคงทนอยู่กับมันไม่ได้ก็เลยตัดสินใจลาออกแล้วก็ได้งานใหม่เป็นงานออดิทแบบที่เคยตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

แล้วก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องการลาออกอีกเลยจนเข้าปีที่ห้าของการทำงาน เป็นช่วงที่คิดว่าจะไป mobility ดีหรือไม่ดี โอกาสเติบโตก็ไม่ค่อยมี งานที่ทำก็ไม่ค่อยได้ไปไหนต่อไหน ก็เลยไปสัมภาษณ์งานใหม่สองที่ ได้การตอบรับที่นึงเป็นบริษัทคู่แข่งตึกตรงข้าม แล้วก็ไปอีกที่นึงเป็นแนวไฟแนนซ์ซึ่งถูกปฎิเสธ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่ต่อ แล้วก็ได้ไปทำงานที่อเมริกาในที่สุด

ถ้าจะเสียใจ ก็กำลังคิดว่า เป็นตอนนี้มั้ยนะ? กำลังคิดว่า ในอนาคตหลังลาออกจากที่ปัจจุบัน เราจะมองกลับมารึเปล่าว่า "รู้งี้" ออกมาตั้งนานแล้ว อะไรประมาณนี้อะ ^^"

10. Not trying harder in school
แต่ข้อนี้เป็นข้อแรกที่รู้สึกเสียใจแฮะ คือไม่ใช่ว่าเราเรียนไม่เก่งหรืออะไร เพราะที่ผ่านๆ มาก็เป็นเด็กเรียนค่อนข้างดี ได้อยู่รร.มปลายที่ดังสุดในประเทศ ได้เรียนมหาวิทยาลัยกับโปรแกรมชั้นดี แต่กำลังคิดว่าถ้าตั้งใจเรียนกว่านี้ ถ้าขยันกว่านี้ ถ้าฉลาดกว่านี้ เราจะได้ไปไกลถึงแบบเป็นนักเรียนทุนคิง ทุนมง ทุน full bright อะไรก็ว่าไปมั้ยนะ? จริงๆ ลึกมากๆ ก็เคยแอบอยากเป็นหมอนะ แต่โดยนิสัยนี่ขี้เกียจอ่านหนังสือตั้งแต่เล็กจนเรียนปโท ก็แทบไม่ค่อยอ่านหนังสือเลย 

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าจะทำได้มั้ย เพราะนิสัยเรามันไม่เหมาะกับวิชาการเลยจริงๆ -_-"

11. Not realizing how beautiful you are
อันนี้เฉยๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองสวย เพราะคิดว่ามองตัวเองตามความเป็นจริง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองหน้าแต่แย่ เหียกสุดๆ เพราะฉะนั้นก็เลยใช้ชีวิตไปตามธรรมดา 

แต่เคยคิดเล็กน้อยว่า ถ้ายอมลงทุนกับเรื่องความงามมากกว่านี้ เช่นลงทุนเรื่องเสื้อผ้า หน้าผม กระเป๋า หรืออะไรต่อมิอะไรด้วย budget ที่คนระดับเงินเดือนเดียวกับเรา หรือเพื่อนๆ เราทั่วไปใช้กันก็อาจจะออกมาเก๋ๆ กว่านี้ก็ได้ แต่ spending ของเราด้านนี้แบบจำกัดมาก ไม่อยากลงทุนกับอะไรแบบนี้เท่าไหร่อะนะ

12. Being afraid to say I love you
คงจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้มี culture บอกรักในครอบครัวมากกว่า เพราะฉะนั้น เรื่องคำหวานๆ หรือคำบอกรักกับพ่อแม่ไม่มีเท่าไหร่ แต่สิ่งนี้ได้ชดเชยกับคนข้างกายแล้วนะ แล้วก็คิดว่าจะทำให้มันเป็นเรื่องๆง่าย เมื่อเรามีครอบครัวของเราเองด้วย

13. Not listening to your parents' advice
อันนี้เราแอบกึ่งฟังกึ่งเถียง เพราะจะ question + challenge ตลอดว่าทำไม เพราะอะไร จำเป็นไหม อันไหนที่เค้าบอกให้ทำแล้วไม่ฝืนก็ทำๆไป แต่อันไหนที่เราคิดแล้วว่าเราอยากทำก็จะทำ ซึ่งครอบครัวเราก็ค่อนข้างให้อิสระด้านนี้ พ่อแม่ไม่เคยตีกรอบบังคับการใช้ชีวิตอะไร เลยเรียกได้ว่าค่อนข้างสบายๆกับเรื่องนี้

14. Spending your youth by being self absorbed
อืมม อันนี้ก็อาจจะนะ เพราะเป็นคนใช้เวลากับตัวเอง ไม่ค่อยได้ไปไหน หรือสนใจใครเท่าไหร่
จะเก็บไปคิดนะ....

15. Caring too much about what people think
ข้อนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่เสียใจเลย เพราะเป็นคนมั่นใจไม่แคร์สื่อด้วยซ้ำ
ถ้าจะเสียใจน่าจะเป็นตรงข้ามกันมากกว่า แต่ก็ไม่ค่อยสำนึกเท่าไหร่ ^^"

พอแค่สิบห้าข้อก่อน ที่เหลือนี่แนวนางฟ้ามากเลย ถ้ามีเวลา และมีอารมณ์จะมาต่อดู แต่คิดว่าสิบข้อแรกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วแหละ

ถ้าใครผ่านมาอ่านก็ลองคิดตามดูเนอะ ว่าเราเสียใจ หรือไม่ กับสิ่งที่ผ่านมา :)

Another step in my life

อาจเป็น step ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้หญิงหลายๆคน ที่เฝ้าฝันและเฝ้ารอคอย
และไม่น่าเชื่อว่า วันหนึ่ง ก้าวสำคัญแบบนี้ก็ต้องมาหยุดเยี่ยมเราให้ได้เจอะได้เจอ

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์แต่งงาน เป็นฤกษ์แต่งงานที่ทางว่าที่คุณแม่สามีไปหามาให้ บอกว่าเป็นวันที่ 26 มกราคม ซึ่งจริงๆก็เป็นฤกษ์สุดท้ายก่อนขึ้นปีชวด เพื่อหนีปีชงของเราในปีหน้า (คือปีมะเมีย) เล่นเอาแบบว่าอีกสี่วันก็ขึ้นปีใหม่จีนเลยนั่นแหละ

พอได้ฤกษ์มาแล้ว ก็มีการเริ่มหาสถานที่จัดงานต่างๆนานา

สิ่งที่ฝัน
1 งานเล็กมากถึงมากที่สุด มีแต่ญาติ
2 เพื่อนก็ไม่ต้องเชิญก็ได้ เอาแค่สมน้ำสมเนื้อ อยากจัดโรงแรมที่เอาอาหารที่เราชอบกินเข้าได้ เช่นข้าวต้มปลา ขนมใบเตย ไอติม ฯลฯ เป็นงานที่เน้นกิน และเน้นง่ายๆ
3 ไม่มีพรีเวดดิ้ง ไม่มีช่างวิดิโอ ไม่ต้องมี cinematography บ้าบอไรนั่น

สิ่งที่พยายาม
1 ไปงานเวดดิ้งเพื่อหาดีลดีๆ กลับเหมือนไปเป็นเหยื่อโดน shark attack มีแต่พวกแพคเกจชวนฝันราคาเหยีบแสน ไม่ต้องบอกก็รู้พวกนี้ไม่ได้แอ้มเงินเราอยู่แล้ว ทำงานหาเงินมาแทบตาย เอาเที่ยวดีกว่าเอาเงินไปลงกับพวกนี้

2 ไปหาโรงแรม เริ่มตั้งแต่โรงแรมขำๆ แถวบ้าน เช่น Banyantree, Chatrium, แม่น้ำ, Millenium Hilton  ดูแล้วไม่ชอบก็เริ่มอัพคลาสไปที่ Plaza Athinee Conrad Shangrila   สุดท้ายว่าที่คุณแม่ฯ ก็ไม่ปลื้ม วกกลับไปที่โรงแรมเดิม คือจบที่ Mandarin Oriental ซึ่งเป็นโรงแรมแรกที่กะว่าไม่เอาแน่ๆ เพราะมันดูตำน้ำพริกละลายแม้น้ำ minimum spending หกแสนเจ็ดแสน (นางยืนยันว่าขั้นต่ำไม่ถึง แต่ที่จ่ายจริงอะไม่แน่)

จริงๆ โรงแรมแต่ละที่ก็ราคาไม่ได้ต่างกันมาก คือตกแล้ว 1200-1500 บาท มีแต่ไอ้โรงแรมที่เราจองได้เนี่ยแหละ ที่ราคาโดดจนน่าตกใจ นอกจากค่าอาหารต่อคนแล้ว ยังไม่รวมค่าดอกไม้ ค่าดนตรี OMG George งบประมาณบานปลายมาก

ไอ้เราก็กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก คือว่าไม่อยากได้แต่ก็ไม่รู้จะปฎิเสธยังไง แล้วอีกฝ่ายก็เป็นผู้ใหญ่ด้วย เลยไม่กล้าขัดขืน ความสุขของพ่อแม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แต่เพราะให้ความสำคัญเราเลยต้องมาเหนื่อยๆ งงๆ อยู่นี่ล่ะ -_-

จริงๆ คือเราไม่เชื่อเรื่องแต่งงานเลย คือว่าคนอื่นถ้าชอบ มีความฝัน มันก็เหมือนเป็นความชอบส่วนบุคคลอะ เหมือนกับการที่รับปริญญาต้องจ้างช่างแต่งหน้าราคาแพง ต้องมีถ่ายพรีปริญญา โพสต์ปริญญา วันจริง วันซ้อม วันถ่ายรวมกับเพื่อนนอกรอบ โว้ยยยยย ขอบอกว่าสำหรับเราเรื่องพวกนี้มัน "Out of scope" มาก คงมากพอๆกับคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ก็คงนึกไม่ออกว่าทำไมเราไม่ให้ความสำคัญกับมันเลย

ย้อนกลับไปตอนรับปริญญาอะ เสียตังให้ช่างแต่งหน้าแถวบ้านทำผม แต่งหน้า 500 บาท (ในขณะที่เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็จ่ายกัน 3,500 นะ) ไม่ได้บอกว่าภูมิใจที่จ่ายถูกหรืออะไรหรอก แต่เพราะเราไม่ได้คิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่อะไร คือว่าคนเราตั้งใจเรียนก็สอบเข้าเอง พ่อแม่ส่งเสีย ไม่ได้เรียนฟรี แล้วไม่ตั้งใจเองมันก็ไม่จบ พอเรียนจบมันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ achievement อะไรขนาดนั้น

และแล้วก็จริงอย่างว่า รูปรับปริญญาอะ สามปีดูที คือดูเมื่อปัดกวาดเช็ดถูฝุ่นเกาะนั่นแหละ -_-"

พอมาตอนแต่งงาน ก็โอเคยอมรับนะว่ามันสำคัญกว่าการรับปริญญามากโขอยู่ เพราะวันรับปปริญญา มีเพื่อนแต่งตัวแต่งหน้าเหมือนกันเป็นหมื่นเป็นพันคน แต่วันแต่งงานดูเหมือนเราจะเป็นจุดสำคัญ จุดสนใจมากที่สุด แบบนี้แหละยิ่งเครียด เพราะไม่อยากอยู่ในสถานการณ์อะไรแบบนั้นเลย

3 ต่อมาก็เรื่องการ์ด โชคดีที่อ่านเนตว่ามีที่ๆเค้าฮิตไปทำการ์ดกันราคาไม่แพง ไปเดินจตุจักรวันนึงก็คิดว่าน่าจะเลือกได้แล้ว

4 ต่อมาก็ของรับไหว้ ไปเดินจตุจักรก็เล็ง้ไว้แล้ว แต่พอมาคุยๆ ว่าที่ฯ ก็บอกว่าต้องดูระดับความอาวุโสของญาติผู้ใหญ่อีก เช่นญาติจีนมากๆ ก็ต้องให้แนวผ้าๆ ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าขนหนู อยู่ดี ....เราก็ "ค่ะ"

5 ต่อมาก็ชุดแต่งงาน อันนี้เริ่มใหญ่ละ คือแม่ม ไปลองชุดมาที่นึง หมายมั่นปั้นมือว่าใกล้บ้าน ราคาไม่แพง ไม่ยัดเยียด แต่พอไปลองแล้ว มันน่าเกลียดเว่อร์ค่ะ ไม่ใช่ชุดน่าเกลียดนะ แต่หุ่นเรามันไม่ได้กับชุดจริงๆ T_T  สิ่งที่เฟลคือ เฟลว่าต้องไปหาที่ต่อๆ ไป และคิดว่าชุดสไตล์ที่ชอบอาจไม่มีที่ใส่แล้วทำให้เป็นผู้เป็นคนได้ เฟลคือไม่อยากลงเอยด้วยการเช่าตัด หรือตัดเก็บ เพราะบอกแล้วว่าไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ ถ้าต้องให้เสียเงินตัดเป็นหมื่นๆ มันเสียได้แหละนะ แต่มันทรมานใจจจจจ เอาเงินไปซื้อทองที่ละบาทสองบาทไม่รู้สึกเสียดาย แต่งานนี้มันบีบคั้นมากๆ

เฟลว่าเมื่อไหร่จะได้ แถมต้องไปลดความอ้วนอีก ถึงจะไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่พอไหลตามน้ำไปแล้ว จะให้ไปน่าเกลียดกลางงานให้คนจ้องก็ไม่่ใช่เราอีก เฮ้อออออ

เรื่องชุดแต่งงาน กับชุดหมั้นเลยเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติตอนนี้เลย (ของเราคนเดียว)
ส่วนคุณเจ้าบ่าว นี่ง่ายแสนง่าย ตัดสูท เลือกสีก็จบแล้ว อยากแลกเพศกันจริงไรจริง

6 step ต่อไป ไหนจะช่างแต่งหน้า ช่างภาพนิ่ง ช่างวิดิโอ (ว่าที่ request ว่าอยากได้) ช่างไฟ organizer
คือในใจก็เริ่มผวาละ ว่านางอุตส่าห์หาสถานที่แพงๆ หรูๆ ให้จะไปทำทอดทิ้งไม่ใส่ใจ ผู้ใหญ่ก็อาจเคืองได้ บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ท่องไว้ๆๆๆๆ ก็เลยเริ่มคิดว่า แล้วตรูต้องหา wedding planner มามั้ยเนี่ย

ประเด็นคือ งกมากกค่ะ ไม่อยากเสียเงินกับอะไรแบบนี้เลย จะซื้อประกัน ซื้อหุ้น เก็บเงิน ซื้อฟิตเนส อะไรมากมายกว่านี้ไม่สนอะ แต่เวลาที่เราต้องมาเสียเงินกับสิ่งที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญ มันรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ทรมานมากๆ คนอยากแต่งงานคงไม่เข้าใจสินะ (แล้วคนที่ยังไม่ได้แต่งงานก็อาจจะไม่เข้าใจด้วย)

นั่นแหละ ขอระบายแค่นี้ก่อน อาจต้องปล่อยวาง...

My 2013 life summary

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เขียน blog มานานมากกก เพราะช่วงต้นปี 2013 มีเหตุขัดข้องทางเทคนิค คือเผลอไปลบ .com ที่เคยลงทะเบียนไว้ แล้วไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ ขี้เกียจติดตามก็เลยเก็บ blog เป็นของส่วนตัว (ยังแอบดีใจที่มันไม่ได้หายไปทั้งหมด แค่โพสต์ให้คนอื่นอ่านไม่ได้เท่านั้น)


มาวันนี้ เวลาผ่านไปเร็วเนอะ เกือบจะครบปีที่กลับมาแล้ว (กลับมาช่วง April 2013) จะว่าไปเป็นปีที่ผ่านไปเร็วมากเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมี life event เกิดขึ้นน้อยมาก ไปไหนต่อไหนมาน้อยมากกก

งั้นขอสรุปเหตุการณ์คร่าวๆที่เกิดขึ้นปี 2013

Jan - March  ทำงานที่ Atlanta ซะส่วนใหญ่ มีโอกาสไป North Carolina + South Carolina อยู่พักนึงก่อนกลับบ้าน

April แพคของเตรียมกลับบ้าน ไปเจอ Kazuko ที่ Tokyo เที่ยวอยู่สามสี่วัน

May กลับมางงๆ จัดของ ปรับตัวกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม

June ไปเที่ยวพม่า พรอ้มเก็บของเตรียม Renovate บ้าน

July  ยุ่งกับโปรเจคนึงที่ดูดวิญญาณเราไป ต้องไปทำงานที่พม่า (เหมือนได้กลับไปอีกครั้งภายในเวลาอันรวดเร็ว

August ไปเทรน sampling specialist ที่ฮ่องกง กับแชมป์ กับ พี่บอย 

September เดือนเกิด แต่หามรุ่งหามค่ำทำงาน มีไป Team Building ที่กาญจนบุรี

October ทำแต่งานมี Year end 30 Sep สองตัว พร้อม SOX deadline ดีที่ปลายเดือนไปเที่ยวญี่ปุ่น trip Fukuoka-Osaka-Beppu แบบที่ไม่ได้วางแผนไว้ แต่ก็เป็นช่วงเบรคที่ดี

November ไปทำงานแหลมฉบัง และ ไปเทรน New Manager Workshop ที่ตรัง

December มี Year end 30 November อีกสองตัว โดยรวมทำแต่งาน ไม่ได้ไปไหน

New Year อยู่บ้านซะส่วนใหญ่ หยุดสี่วันไปเซนทรัลสามที่ -_-"

ช่างเป็นปีที่น่าผิดหวังเล็กน้อย ตรงที่เราไม่ได้เที่ยว ไม่ได้ไปไหนต่อไหน ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เป็นปีแห่งการปรับตัว เป็นปีที่ทรมานมากจริงๆ 


Wednesday, May 8, 2013

USA.... I kinda miss you...

USA คิดถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันจัง
มีแต่ฉัน และเธอ
ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย กำหนดได้เอง อยากไปไหนก็ไป
ไม่ต้องเบียดเสียด วุ่นวาย
ไม่ต้องทำตามบริบทสังคม เพราะเรามันกะเหรี่ยงแต่ไหนแต่ไร ^^"

อากาศเย็นๆ อาหารอร่อยๆ

เมื่อไรจะได้พบกันอีกนะ  คิดถึง....

Tuesday, April 9, 2013

Welcome to Bangkok---- super culture shock to changes

กลับมาแล้วๆๆ ช่วงนี้เพิ่งกลับมาสดๆ เลยอยากบันทึกความรู้สึก และสิ่งทีสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่จากไปไกลเกือบสองปี

ก่อนอื่นคือต้องบอกว่าโชคดีที่ได้ไปแวะเที่ยวญี่ปุ่นมาสี่ห้าวัน เลยถือว่าได้ปรับทุกอย่างมาแล้วกึ่งหนึ่งจะว่าไป ตอนก้าวแรกที่ออกจากสนามบินนาริตะเห็นประชาชนทั่วไปเป็นจุดแรกที่รู้สึกอึ้งและเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของตัวเองมากที่สุด เช่น

เรานั่งรถไฟออกจากสนามบิน เจอผู้หญิงสาววัยทำงาน (คาดว่าเป็นสาวออฟฟิศ) นั่งด้วยกันตรงข้ามเรา นางทั้งสองเหมือนกันราวกับแฝด คือ ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนเล็กน้อย ขนตายาวเฟื้อย หน้าขาว แก้มแดงระเรื่อแบบปัดบลัช ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ จากลิปกลอส ใส่เสื้อหนาวสีน้ำตาลเอิร์ธโทน (อากาศประมาณ (5-10C) ใส่กระโปรงกางเกงสั้น ถุงน่องดำมิด และรองเท้าบูท สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ดาษดื่นในโตเกียว ส่วนผู้ชายหนุ่มออฟฟิศ ก็มักใส่สูทสีกรมท่า สีดำ มีลายทางยาวๆ กับรองเท้่าหนังสีน้ำตาล ถือกระเป๋าเอกสารสีดำดูสุขุม จับกลุ่มขึ้นรถไฟกับเพื่อนชายอีกสองสามคนคุยไปเรื่อยเปื่อย

ความวุ่นวาย เร่งรีบ ทุกคนเดินไปมา สวนกัน ชนกัน ขอโทษบ้าง เพิกเฉยบ้าง ไลฟสไตล์คือชอปปิ้งร้านแบรนด์เนม กินข้าวร้านเก๋ๆ มีขนมกรุึบกริบน่ารักๆ ดริ๊งค์ไวน์บ้างไรบ้าง เป็นสังคมเมืองจ๋า

ได้มีัโอกาสนัดเจอเพื่อนคนญี่ปุ่นที่ได้ไปเจอที่อเมริกาด้วยกัน เลยมีโอกาสถกกัน และสิ่งที่เราทั้งสองคนเห็นเหมือนกันคือ ชีวิตในเอเชียช่างวุ่นวายเหลือเกิน คนเป็นมด คนเป็นหนอน ไม่ว่าเวลาเช้า กลางวัน เย็น คนออกไปไหนมาไหนเดินขวักไขว่ตลอดเวลา

ยิ่งคนอยู่ด้วยกันเยอะเท่าไหร่ กลับหาเป็นความเป็นปัจเจก ความเป็นตัวของตัวเองได้น้อยลงเท่านั้น

ด้วยความที่เราทั้งสองคนอยู่เมืองใหญ่ทางใต้ของอเมริกา ไม่ได้สัมผัสกับความเป็นเมืองแฟชั่นจ๋าที่คนเก๋ๆ เปรี้ยวๆ เยอะ ก็เลยร้างราวงการมานาน

อยู่โตเีกียววันเดียว เห็นผู้หญิงถือกระเป๋าแบรนด์เนมมากกว่าที่เคยเห็นที่อเมริกาตอนไปเดินห้างทั้งวัน
เห็นคนใส่สูท ทั้งที่อากาศร้อนกว่าเมืองที่เราอยู่ตั้งมากมาย
เห็นคนใส่เสื้อหนาวซะหนา ทั้งที่ตอนกลางวันออกจะร้อน
เห็นคนต่อคิวกินอาหารฝรั่งเศส ต่อคิว McDonald Denny's Starbucks ซึ่งเป็นสิ่งเบๆ ในอเมริกา แต่ดูเลอค่ามากมาย

ทุกอย่างย่อไซส์ลง ขนาดอาหาร จานข้าว คน เสื้อผ้า รองเท้า บ้านช่อง รถยนต์ ทุกอย่างย่อส่วน เรารู้สึกเหมือนเราอยู่เมืองยักษ์มายังไงยังงั้น จากที่เคยเห็นรถ SUV ขนาดฟอร์จูนเนอร์บ้านเรา แต่ที่อเมริกาเค้าเรียกว่ามินิ SUV  Toyota Camry ก็กลายเป็น intermediate size Altis Yaris ก็กลางเป็นรถ Economy พอแตะญี่ปุ่นรถ SUV กลายเป็นพี่เบิ้มไปในบัดดล

พอกลับเมืองไทยสิ่งที่ตกใจมากที่สุดคือค่าครองชีพ ราคาข้าวของ อาหารที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ประชากรไทยแม้แต่น้อย

วันแรกไปกินร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่ง อยู่ริมน้ำที่ Asiatique กินพิซซ่าถาดเดียวกับเบียร์หนึ่งแก้วหมดไปหกร้อย~~ OMFG! พูดจริงๆนะ คนส่วนใหญ่ที่เป็นสาวออฟฟิศเงินเืดือนก็ 15000-20000 ที่รายได้ดีหน่อยจบมหาลัยดีๆ มีหน้าที่การงานทำก็อะ ตีให้ประมาณ 4-6 หมื่น ส่วนพวกเงินเดือนเฉียดแสนหรือเกินแสนถึงจะมีมาก แต่เราเรียกว่าเป็นส่วนน้อยของคนไทยทั้งประเทศแล้วกันนะ เห็นเดินกันขวักไขว่ ทานอาหารมื้อนึงหัวนึงเหยียบห้าร้อยเนี่ยนะ ????/ เราแบบเฮ่ยย ตกใจอยู่กันได้ไง เราทำงานที่นั่น ได้เงินมากกว่าที่เค้าได้กันสี่ห้าเท่า ราคาข้าวต่อมื้อแบบร้านอาหารทั่วไปกลับพอๆกันอะ :-/

ผ่านไปแค่สองปี ค่ารถเมล์ รถสองแถว เสื้อตลาดนัด กระเป๋า รองเท้า กะเพราไก่ อาหารตามสั่ง ขึ้นราคาแพงแสนแพงทุกอย่าง

เกิดคำถามในใจว่า คนที่เค้าใช้ชีวิตในกรุงเทพ อยู่หอด้วย ใช้จ่ายเองทุกอย่าง กับไลฟ์สไตล์แบบนี้ เค้ามีเงินเก็บมั้ยนะ เค้ามีการวางแผนชีวิตข้างหน้าแบบไหนนะ?

เห็นเด็กวัยรุ่นมหาลัยที่นี่ก็ต่างจากเด็กฝรั่งจัง เด็กฝรั่งมันแก่แดด ดูโตกว่าวัยก็จริง แต่เรื่องที่จะมาถือหลุยส์ ชาแนลตอนอยู่ปีสามนี่มันมีแต่ในสังคมเอเชียชัดๆ

ในขณะที่เด็กๆในที่่ทำงานที่เรารู้จึก ซึ่งจัดเป็นคนชั้นกลางถึงสูง (พ่อแม่มีการศึกษา มีหน้าที่การงาน ไม่ต้องทำงานตอนเรียน จบปโทโดยไม่เป็นหนี้การศึกษา) กลับไม่เคยได้ยินเค้าขอเงินพ่อแม่ให้ซื้อกระเป๋า ส่งไปเที่ยวไก่กา ที่เห็นเพื่อนที่ทำงานไปเที่ยวกัน ก็เก็บตัง ใช้เงินที่หามาได้ตอนทำงานปิดเทอมทั้งนั้น

แล้วอะไร เด็กไทย พ่อแม่ส่งไปเที่ยวเมืองนอก แถม pocket money มีกระเป๋าดีๆ ของแพงๆ วันๆ ก็(แดร่ก )  Starbucks ที่ราคาแพงเท่าที่อเมริกา ในขณะที่ค่าครองชีพที่นี่ต่ำกว่าสามเท่าเนี่ยนะ???


เห็นรถเบนซ์ในกรุงเทพมากกว่าที่เห็นที่อเมริกา ทั้งๆที่อเมริกาภาษีรถ หรือราคารถถูกกว่าเกือบครึ่งๆ (สำหรับรถแพง)

เห็นเด็กวัยรุ่น คนเริ่มทำงาน ถอยรถใหม่ป้ายแดง ในขณะที่เด็กๆในจ๊อบเรา ขับรถเก่าแสนเก่า ทั้งที่เงินเดือนเดือนแรกแค่เดือนเีดียวก็ดาวน์รถได้เกิน 20% แล้ว

ไม่แปลกใจที่ภูมิคุ้มกันเด็กไทย ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตมันช่างต่ำแสนต่ำเหลือเกิน
ความเป็นตัวเอง รู้ใจตัวเอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง ก็ช่างหาได้ยากเหลือเกิน
ความรับผิดชอบ เอื้ออาทร บนท้องถนน ในร้านค้าตัวไป กลับหาได้น้อยกว่าเสียอีก

นี่หรือคือสยามเมืองยิ้ม
นี่หรือคือเมืองที่น่าเที่ยว เมืองที่คนบอกว่าอะไรๆก็ถูกไปหมด
นี่หรือคือเมืองที่เรากำลังจะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับมัน

ว่าแล้วก็เดินไปขุดกระเป๋าแบรนด์เนมกากๆที่มี แล้วพามันออกจากบ้าน หลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบสองปี ....

Wednesday, March 27, 2013

Moving Experience

วันนี้ก็ได้ประสบการณ์อีกอย่างกับการเก็บของขนของ

ย้ายบ้านครั้งก่อนได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆพี่ๆคนไทยหลายคน เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน แทบไม่มีเวลาแพคของเลยด้วยซ้ำ

มาคราวนี้รู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ แพคล่วงหน้านานเป้นอาทิตย์ แบบแพคตามอารมณ์ ค่อยๆคิด ค่อยๆเก็บ ค่อยๆ ใส่เข้ากล่องจัดเป็นอย่างดี สุดท้ายก็ได้กล่องจำนวนหนึ่งที่จะต้อง ship เรือกลับบ้าน

จะว่าไปก็ตลกดี เมื่อสองปีก่อนตอนมามีกระเป๋าใบละ 23 โลมาแค่สองใบ (ตอนนั้นจำได้ว่าจะเอายาทาเล็บประมาณ 7-8 ขวดมาแต่น้ำหนักเกิน ทางเคาน์เตอร์เช็คกระเป๋าก็ใจดีให้แอบเกินมาได้) มาถึงตอนนี้ยาทาเล็บนั้นงอกลูกงอกหลานมาเป็นเท่าตัว ^^" ส่วนข้าวของจากสองกระเป๋าก็กลายเป็นเหลือคณานับ ไอ้จะทิ้งก็ทำให้นึกว่าของที่งอกเงยขึ้นมาก็เงินเราที่ทำงานหามาทั้งนั้น แล้วก็เลือกซื้อแต่ในส่ิงที่ชอบเพราะฉะนั้นก็รักของทั้งหมดนั่นแหละ (งกว่างั้น) สุดท้ายก็เลยได้ของมากพอควร

รู้สึกเกรงใจเพื่อนคนไทยก็เลยเอาวะ ตกลงจ้าง mover ลอง American experience ดู

ก่อนอื่นคือต้องบอกว่า moving service เป็นอะไรที่ธรรมดามากของคนที่นี่ เพราะว่าฝรั่งย้ายบ้านกันบ่อย คนที่อยู่อพาร์ทเมนต์ซึ่งส่วนใหญ่สัญญาปีเดียว พอหมดสัญญา อาจเจอที่ใหม่ อาจเจอใครถูกใจ หรืออาจจะโดนขึ้นค่าเช่าจนทนไม่ไหวก็ย้ายกัน แล้วความเป็นอยู่ของคนที่นี่ก็เรียกว่าจัดเต็ม นึกถึงว่าระดับคนไทยทำงานอยู่หอ ก็คงมีสมบัติประมาณหนึ่งแต่ก็มักจะไม่ใช่ของชิ้นใหญ่อะไร แต่คนทีนี่ ทีวี 40 นิ้ว เครื่องเสียง โซฟา เตียงนอน ฟูก ฯลฯ เต็มไปหมด ครั้นเวลาย้าย ก็ใช่ว่าย้ายใกล้ๆ บางคนก็ย้ายต่างรัฐ ต่างเมืองเลยก็มี การให้บริการ moving ก็เลยเป็นสิ่งที่แพร่หลาย หาราคากันได้ตามเนตทั่วไป

ระบบที่นี่ก็มักจะเริ่มคิดที่สองชั่วโมง อย่างเมืองที่เราอยู่สว่นใหญ่ก็อยู่ที่ราคา $120/ 2 hours ซึ่งรวมแรงงานสองคนกับรถบรรทุกหนึ่งคัน ส่วนใครจะของเยอะของน้อยก็แล้วแต่ เค้าก็คิดขั้นต่ำสองชั่วโมง บ้านใหญ่ๆ อาจใช้เวลาหลายวันก็ชาร์จกันไป ส่วนเราของน้อย วันนี้นัดเค้ามาเค้าเห็นนี่ยิ้มเลยบอกว่า You give me an easy job :D ก็ดี ว่าเราทำให้เค้าได้สบายๆบ้าง
เค้าเล่าว่าบางทีรับขนบ้านทั้งบ้านของเศรษฐี เฟอร์นิเจอร์สุดหรู และหนักโคตร มีหลากหลายมาก ส่วนเราทุกอย่างแพคไว้แล้ว ไม่ต้อง wrap ไม่ต้องอะไร ลากอย่างเดียว ก็ทำทุกอย่างเสร็จภายในสองชั่วโมง

สบายใจ ตัวเบาแล้วตอนนี้ ที่เหลือก็แค่แพคกระเป๋าเตรียมกลับบ้านเท่านั้น

ซักมะรืนนี้ก็คงเอาคอมไปคืนที่ออฟฟิศ คืนบัตรพนักงาน คืนทุกอย่าง แล้วก็สิ้นสุดสภาพความเป็นพนักงานแต่เพียงเท่านี้ ฮึบๆ อีกไม่กี่วันก็จะได้กลับบ้านแล้ว ตื่นเต้นเล็กๆ

Monday, March 25, 2013

Last day at work

Last day comes faster than I thought...


วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่ง effective จริงๆ คือ 31 มีนาคม จากที่เคยคิดว่าอ๊ะ ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ปีนึงแล้ว ปีครึ่งแล้ว พอมาถึงตอนนี้กลายเป็นว่า อ๊ะ เหลือแค่อาทิตย์เดียวแล้ว สามารถ count down แบบนับวันกันได้เลยทีเดียว

วันนี้ก็ไม่มีอะไร ตื่นเช้ามาออฟฟิศเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่จะกลับมาอีกทีเพื่่อคืนคอมและทำ process ลาออกตาม step ทั่วไป มีงานให้เคลียร์เล็กน้อย และดูเหมือนว่าจะยังไม่เสร็จ แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไรนัก ถึงไม่ซีเรียสแต่ตอนนี้ก็ปาเข้าไปสองทุ่มละ -_-"

คิดๆแล้วก็ใจหายถึงแม้ว่าจะไม่ผูกพันกับออฟฟิศมากเท่าไหร่ นับเวลาที่ได้อยู่ ได้นั่งในออฟฟิศนี่น้อยมากกกก พูดถึงเพื่อนวงการ audit ก็เป็นขาจรทำงานกันแป๊ปๆก็จากกันเลยไม่ได้มีความผูกพันเหมือนกัน คนที่ทำงานด้วยนานสุดก็สองสามอาทิตย์เท่านั้น ด้วยความที่เรามีแต่จ๊อบเล็กๆสั้นๆ และเป็นจ๊อบนอกออฟฟิศ คนที่พบกันก็เพื่อจากลาซะมากกว่า จะมีคนที่ประทับใจก็ยังเล่น FB ทักทายทางอีเมลกันเป็นครั้งคราว

ถ้าพูดถึงคงไม่มีความผูกพันกับคนที่นี่เท่าไหร่นัก เพราะรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าการมาของเรานั้นเป็นเรื่องชั่วคราว ที่ผูกพันคงเป็นการใช้ชีวิตแบบอิสระ ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองไม่ต้องวุ่นวายกับใครมากกว่า เป็น 20 เดือนที่ได้อยู่กับตัวเองมากจริงๆ เป็นช่วงเวลาที่พิสูจน์ว่าจริงๆ เราอยู่คนเดียวได้ รับผิดชอบตัวเองได้อย่างเต็มที่เลยล่ะ

วันสุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรมาก ต่อให้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะบินออกจากอเมริกาก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่ากระซิบกับตัวเองเบาๆ ว่าขอบคุณนะ ช่วงเวลาที่ดีๆที่ผ่านมา ขอบคุณหลายสิ่งหลายอย่าง ความพยายามของเราเอง ความฝันของเรา และการสนับสนุนกำลังใจจากคนหลายๆคน ทำให้เราได้มีโอกาสมาลองประสบการณ์อะไรแบบนี้

มีทั้งความทรงจำที่ดี ไม่ดี ประทับใจบ้าง ไม่อยากจำบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันเป็นหนี่งในช่วงเวลาที่แสนจะพิเศษของชีวิต เป็นช่วงเวลาที่บอกตัวเองบ่อยๆ มีหลายๆวันที่พูดกับตัวเองว่า ดีจังที่ได้มาอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็โชคดีถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก

ขอบคุณหลายๆสิ่ง หลายๆอย่างนะ เราในวันนี้ เราว่าเปลี่ยนไปจากจุดเริ่มต้นเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2011 ก้าวแรกที่มาถึง เจอเพื่อนๆ
ได้ลอง ได้ทำหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ
ได้ไปหลายๆที่ที่อยากไป หลายๆที่ที่ไม่คิดว่าจะได้ไป หลายๆที่ที่ไม่คิดว่าจะได้กลับไปอีก
ได้กินหลายๆอย่างที่ไม่เคยกิน อาหารหลากสไตล์ที่แทบไม่เคยได้ยินในเมืองไทย
ได้เจอคนหลายๆคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ได้เป็นเพื่อนกัน ได้รู้จักกัน และสุดท้ายต้องจากกัน
ได้เก็บเงินพอสมควร ^^" ถึงแม้ว่ารายจ่าย และภาษีที่นี่จะหนักหนาสาหัสสากัน
ได้ shopping online ไปซุปเปอร์ แบบสะใจมากๆๆๆๆ
ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เป็นคนในแบบที่เราอยากเป็น และรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น
ได้กลับมารักตัวเอง อาหารการกินที่มีสุขภาพ (ปะปนกับขนมอร่อยๆ หรือไก่ทอดบ้าง) ได้ออกกำลังกายบ่อยมากๆ ไม่ต้องเจอรถติด ไม่ต้องรีบร้อนไปแข่งกันอัดในรถไฟกับใคร

ชีวิตมันสปอยเราเองจริงๆ  chapter ต่อไปก็คงเป็นการปรับตัวกลับไปอยู่ที่เดิม สินะ.......

และแล้วก็วันสุดท้ายจริงๆ