อาจเป็น step ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้หญิงหลายๆคน ที่เฝ้าฝันและเฝ้ารอคอย
และไม่น่าเชื่อว่า วันหนึ่ง ก้าวสำคัญแบบนี้ก็ต้องมาหยุดเยี่ยมเราให้ได้เจอะได้เจอ
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์แต่งงาน เป็นฤกษ์แต่งงานที่ทางว่าที่คุณแม่สามีไปหามาให้ บอกว่าเป็นวันที่ 26 มกราคม ซึ่งจริงๆก็เป็นฤกษ์สุดท้ายก่อนขึ้นปีชวด เพื่อหนีปีชงของเราในปีหน้า (คือปีมะเมีย) เล่นเอาแบบว่าอีกสี่วันก็ขึ้นปีใหม่จีนเลยนั่นแหละ
พอได้ฤกษ์มาแล้ว ก็มีการเริ่มหาสถานที่จัดงานต่างๆนานา
สิ่งที่ฝัน
1 งานเล็กมากถึงมากที่สุด มีแต่ญาติ
2 เพื่อนก็ไม่ต้องเชิญก็ได้ เอาแค่สมน้ำสมเนื้อ อยากจัดโรงแรมที่เอาอาหารที่เราชอบกินเข้าได้ เช่นข้าวต้มปลา ขนมใบเตย ไอติม ฯลฯ เป็นงานที่เน้นกิน และเน้นง่ายๆ
3 ไม่มีพรีเวดดิ้ง ไม่มีช่างวิดิโอ ไม่ต้องมี cinematography บ้าบอไรนั่น
สิ่งที่พยายาม
1 ไปงานเวดดิ้งเพื่อหาดีลดีๆ กลับเหมือนไปเป็นเหยื่อโดน shark attack มีแต่พวกแพคเกจชวนฝันราคาเหยีบแสน ไม่ต้องบอกก็รู้พวกนี้ไม่ได้แอ้มเงินเราอยู่แล้ว ทำงานหาเงินมาแทบตาย เอาเที่ยวดีกว่าเอาเงินไปลงกับพวกนี้
2 ไปหาโรงแรม เริ่มตั้งแต่โรงแรมขำๆ แถวบ้าน เช่น Banyantree, Chatrium, แม่น้ำ, Millenium Hilton ดูแล้วไม่ชอบก็เริ่มอัพคลาสไปที่ Plaza Athinee Conrad Shangrila สุดท้ายว่าที่คุณแม่ฯ ก็ไม่ปลื้ม วกกลับไปที่โรงแรมเดิม คือจบที่ Mandarin Oriental ซึ่งเป็นโรงแรมแรกที่กะว่าไม่เอาแน่ๆ เพราะมันดูตำน้ำพริกละลายแม้น้ำ minimum spending หกแสนเจ็ดแสน (นางยืนยันว่าขั้นต่ำไม่ถึง แต่ที่จ่ายจริงอะไม่แน่)
จริงๆ โรงแรมแต่ละที่ก็ราคาไม่ได้ต่างกันมาก คือตกแล้ว 1200-1500 บาท มีแต่ไอ้โรงแรมที่เราจองได้เนี่ยแหละ ที่ราคาโดดจนน่าตกใจ นอกจากค่าอาหารต่อคนแล้ว ยังไม่รวมค่าดอกไม้ ค่าดนตรี OMG George งบประมาณบานปลายมาก
ไอ้เราก็กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก คือว่าไม่อยากได้แต่ก็ไม่รู้จะปฎิเสธยังไง แล้วอีกฝ่ายก็เป็นผู้ใหญ่ด้วย เลยไม่กล้าขัดขืน ความสุขของพ่อแม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แต่เพราะให้ความสำคัญเราเลยต้องมาเหนื่อยๆ งงๆ อยู่นี่ล่ะ -_-
จริงๆ คือเราไม่เชื่อเรื่องแต่งงานเลย คือว่าคนอื่นถ้าชอบ มีความฝัน มันก็เหมือนเป็นความชอบส่วนบุคคลอะ เหมือนกับการที่รับปริญญาต้องจ้างช่างแต่งหน้าราคาแพง ต้องมีถ่ายพรีปริญญา โพสต์ปริญญา วันจริง วันซ้อม วันถ่ายรวมกับเพื่อนนอกรอบ โว้ยยยยย ขอบอกว่าสำหรับเราเรื่องพวกนี้มัน "Out of scope" มาก คงมากพอๆกับคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ก็คงนึกไม่ออกว่าทำไมเราไม่ให้ความสำคัญกับมันเลย
ย้อนกลับไปตอนรับปริญญาอะ เสียตังให้ช่างแต่งหน้าแถวบ้านทำผม แต่งหน้า 500 บาท (ในขณะที่เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็จ่ายกัน 3,500 นะ) ไม่ได้บอกว่าภูมิใจที่จ่ายถูกหรืออะไรหรอก แต่เพราะเราไม่ได้คิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่อะไร คือว่าคนเราตั้งใจเรียนก็สอบเข้าเอง พ่อแม่ส่งเสีย ไม่ได้เรียนฟรี แล้วไม่ตั้งใจเองมันก็ไม่จบ พอเรียนจบมันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ achievement อะไรขนาดนั้น
และแล้วก็จริงอย่างว่า รูปรับปริญญาอะ สามปีดูที คือดูเมื่อปัดกวาดเช็ดถูฝุ่นเกาะนั่นแหละ -_-"
พอมาตอนแต่งงาน ก็โอเคยอมรับนะว่ามันสำคัญกว่าการรับปริญญามากโขอยู่ เพราะวันรับปปริญญา มีเพื่อนแต่งตัวแต่งหน้าเหมือนกันเป็นหมื่นเป็นพันคน แต่วันแต่งงานดูเหมือนเราจะเป็นจุดสำคัญ จุดสนใจมากที่สุด แบบนี้แหละยิ่งเครียด เพราะไม่อยากอยู่ในสถานการณ์อะไรแบบนั้นเลย
3 ต่อมาก็เรื่องการ์ด โชคดีที่อ่านเนตว่ามีที่ๆเค้าฮิตไปทำการ์ดกันราคาไม่แพง ไปเดินจตุจักรวันนึงก็คิดว่าน่าจะเลือกได้แล้ว
4 ต่อมาก็ของรับไหว้ ไปเดินจตุจักรก็เล็ง้ไว้แล้ว แต่พอมาคุยๆ ว่าที่ฯ ก็บอกว่าต้องดูระดับความอาวุโสของญาติผู้ใหญ่อีก เช่นญาติจีนมากๆ ก็ต้องให้แนวผ้าๆ ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าขนหนู อยู่ดี ....เราก็ "ค่ะ"
5 ต่อมาก็ชุดแต่งงาน อันนี้เริ่มใหญ่ละ คือแม่ม ไปลองชุดมาที่นึง หมายมั่นปั้นมือว่าใกล้บ้าน ราคาไม่แพง ไม่ยัดเยียด แต่พอไปลองแล้ว มันน่าเกลียดเว่อร์ค่ะ ไม่ใช่ชุดน่าเกลียดนะ แต่หุ่นเรามันไม่ได้กับชุดจริงๆ T_T สิ่งที่เฟลคือ เฟลว่าต้องไปหาที่ต่อๆ ไป และคิดว่าชุดสไตล์ที่ชอบอาจไม่มีที่ใส่แล้วทำให้เป็นผู้เป็นคนได้ เฟลคือไม่อยากลงเอยด้วยการเช่าตัด หรือตัดเก็บ เพราะบอกแล้วว่าไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ ถ้าต้องให้เสียเงินตัดเป็นหมื่นๆ มันเสียได้แหละนะ แต่มันทรมานใจจจจจ เอาเงินไปซื้อทองที่ละบาทสองบาทไม่รู้สึกเสียดาย แต่งานนี้มันบีบคั้นมากๆ
เฟลว่าเมื่อไหร่จะได้ แถมต้องไปลดความอ้วนอีก ถึงจะไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่พอไหลตามน้ำไปแล้ว จะให้ไปน่าเกลียดกลางงานให้คนจ้องก็ไม่่ใช่เราอีก เฮ้อออออ
เรื่องชุดแต่งงาน กับชุดหมั้นเลยเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติตอนนี้เลย (ของเราคนเดียว)
ส่วนคุณเจ้าบ่าว นี่ง่ายแสนง่าย ตัดสูท เลือกสีก็จบแล้ว อยากแลกเพศกันจริงไรจริง
6 step ต่อไป ไหนจะช่างแต่งหน้า ช่างภาพนิ่ง ช่างวิดิโอ (ว่าที่ request ว่าอยากได้) ช่างไฟ organizer
คือในใจก็เริ่มผวาละ ว่านางอุตส่าห์หาสถานที่แพงๆ หรูๆ ให้จะไปทำทอดทิ้งไม่ใส่ใจ ผู้ใหญ่ก็อาจเคืองได้ บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ท่องไว้ๆๆๆๆ ก็เลยเริ่มคิดว่า แล้วตรูต้องหา wedding planner มามั้ยเนี่ย
ประเด็นคือ งกมากกค่ะ ไม่อยากเสียเงินกับอะไรแบบนี้เลย จะซื้อประกัน ซื้อหุ้น เก็บเงิน ซื้อฟิตเนส อะไรมากมายกว่านี้ไม่สนอะ แต่เวลาที่เราต้องมาเสียเงินกับสิ่งที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญ มันรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ทรมานมากๆ คนอยากแต่งงานคงไม่เข้าใจสินะ (แล้วคนที่ยังไม่ได้แต่งงานก็อาจจะไม่เข้าใจด้วย)
นั่นแหละ ขอระบายแค่นี้ก่อน อาจต้องปล่อยวาง...
No comments:
Post a Comment