Wednesday, May 8, 2013

USA.... I kinda miss you...

USA คิดถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันจัง
มีแต่ฉัน และเธอ
ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย กำหนดได้เอง อยากไปไหนก็ไป
ไม่ต้องเบียดเสียด วุ่นวาย
ไม่ต้องทำตามบริบทสังคม เพราะเรามันกะเหรี่ยงแต่ไหนแต่ไร ^^"

อากาศเย็นๆ อาหารอร่อยๆ

เมื่อไรจะได้พบกันอีกนะ  คิดถึง....

Tuesday, April 9, 2013

Welcome to Bangkok---- super culture shock to changes

กลับมาแล้วๆๆ ช่วงนี้เพิ่งกลับมาสดๆ เลยอยากบันทึกความรู้สึก และสิ่งทีสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่จากไปไกลเกือบสองปี

ก่อนอื่นคือต้องบอกว่าโชคดีที่ได้ไปแวะเที่ยวญี่ปุ่นมาสี่ห้าวัน เลยถือว่าได้ปรับทุกอย่างมาแล้วกึ่งหนึ่งจะว่าไป ตอนก้าวแรกที่ออกจากสนามบินนาริตะเห็นประชาชนทั่วไปเป็นจุดแรกที่รู้สึกอึ้งและเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของตัวเองมากที่สุด เช่น

เรานั่งรถไฟออกจากสนามบิน เจอผู้หญิงสาววัยทำงาน (คาดว่าเป็นสาวออฟฟิศ) นั่งด้วยกันตรงข้ามเรา นางทั้งสองเหมือนกันราวกับแฝด คือ ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนเล็กน้อย ขนตายาวเฟื้อย หน้าขาว แก้มแดงระเรื่อแบบปัดบลัช ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ จากลิปกลอส ใส่เสื้อหนาวสีน้ำตาลเอิร์ธโทน (อากาศประมาณ (5-10C) ใส่กระโปรงกางเกงสั้น ถุงน่องดำมิด และรองเท้าบูท สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ดาษดื่นในโตเกียว ส่วนผู้ชายหนุ่มออฟฟิศ ก็มักใส่สูทสีกรมท่า สีดำ มีลายทางยาวๆ กับรองเท้่าหนังสีน้ำตาล ถือกระเป๋าเอกสารสีดำดูสุขุม จับกลุ่มขึ้นรถไฟกับเพื่อนชายอีกสองสามคนคุยไปเรื่อยเปื่อย

ความวุ่นวาย เร่งรีบ ทุกคนเดินไปมา สวนกัน ชนกัน ขอโทษบ้าง เพิกเฉยบ้าง ไลฟสไตล์คือชอปปิ้งร้านแบรนด์เนม กินข้าวร้านเก๋ๆ มีขนมกรุึบกริบน่ารักๆ ดริ๊งค์ไวน์บ้างไรบ้าง เป็นสังคมเมืองจ๋า

ได้มีัโอกาสนัดเจอเพื่อนคนญี่ปุ่นที่ได้ไปเจอที่อเมริกาด้วยกัน เลยมีโอกาสถกกัน และสิ่งที่เราทั้งสองคนเห็นเหมือนกันคือ ชีวิตในเอเชียช่างวุ่นวายเหลือเกิน คนเป็นมด คนเป็นหนอน ไม่ว่าเวลาเช้า กลางวัน เย็น คนออกไปไหนมาไหนเดินขวักไขว่ตลอดเวลา

ยิ่งคนอยู่ด้วยกันเยอะเท่าไหร่ กลับหาเป็นความเป็นปัจเจก ความเป็นตัวของตัวเองได้น้อยลงเท่านั้น

ด้วยความที่เราทั้งสองคนอยู่เมืองใหญ่ทางใต้ของอเมริกา ไม่ได้สัมผัสกับความเป็นเมืองแฟชั่นจ๋าที่คนเก๋ๆ เปรี้ยวๆ เยอะ ก็เลยร้างราวงการมานาน

อยู่โตเีกียววันเดียว เห็นผู้หญิงถือกระเป๋าแบรนด์เนมมากกว่าที่เคยเห็นที่อเมริกาตอนไปเดินห้างทั้งวัน
เห็นคนใส่สูท ทั้งที่อากาศร้อนกว่าเมืองที่เราอยู่ตั้งมากมาย
เห็นคนใส่เสื้อหนาวซะหนา ทั้งที่ตอนกลางวันออกจะร้อน
เห็นคนต่อคิวกินอาหารฝรั่งเศส ต่อคิว McDonald Denny's Starbucks ซึ่งเป็นสิ่งเบๆ ในอเมริกา แต่ดูเลอค่ามากมาย

ทุกอย่างย่อไซส์ลง ขนาดอาหาร จานข้าว คน เสื้อผ้า รองเท้า บ้านช่อง รถยนต์ ทุกอย่างย่อส่วน เรารู้สึกเหมือนเราอยู่เมืองยักษ์มายังไงยังงั้น จากที่เคยเห็นรถ SUV ขนาดฟอร์จูนเนอร์บ้านเรา แต่ที่อเมริกาเค้าเรียกว่ามินิ SUV  Toyota Camry ก็กลายเป็น intermediate size Altis Yaris ก็กลางเป็นรถ Economy พอแตะญี่ปุ่นรถ SUV กลายเป็นพี่เบิ้มไปในบัดดล

พอกลับเมืองไทยสิ่งที่ตกใจมากที่สุดคือค่าครองชีพ ราคาข้าวของ อาหารที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ประชากรไทยแม้แต่น้อย

วันแรกไปกินร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่ง อยู่ริมน้ำที่ Asiatique กินพิซซ่าถาดเดียวกับเบียร์หนึ่งแก้วหมดไปหกร้อย~~ OMFG! พูดจริงๆนะ คนส่วนใหญ่ที่เป็นสาวออฟฟิศเงินเืดือนก็ 15000-20000 ที่รายได้ดีหน่อยจบมหาลัยดีๆ มีหน้าที่การงานทำก็อะ ตีให้ประมาณ 4-6 หมื่น ส่วนพวกเงินเดือนเฉียดแสนหรือเกินแสนถึงจะมีมาก แต่เราเรียกว่าเป็นส่วนน้อยของคนไทยทั้งประเทศแล้วกันนะ เห็นเดินกันขวักไขว่ ทานอาหารมื้อนึงหัวนึงเหยียบห้าร้อยเนี่ยนะ ????/ เราแบบเฮ่ยย ตกใจอยู่กันได้ไง เราทำงานที่นั่น ได้เงินมากกว่าที่เค้าได้กันสี่ห้าเท่า ราคาข้าวต่อมื้อแบบร้านอาหารทั่วไปกลับพอๆกันอะ :-/

ผ่านไปแค่สองปี ค่ารถเมล์ รถสองแถว เสื้อตลาดนัด กระเป๋า รองเท้า กะเพราไก่ อาหารตามสั่ง ขึ้นราคาแพงแสนแพงทุกอย่าง

เกิดคำถามในใจว่า คนที่เค้าใช้ชีวิตในกรุงเทพ อยู่หอด้วย ใช้จ่ายเองทุกอย่าง กับไลฟ์สไตล์แบบนี้ เค้ามีเงินเก็บมั้ยนะ เค้ามีการวางแผนชีวิตข้างหน้าแบบไหนนะ?

เห็นเด็กวัยรุ่นมหาลัยที่นี่ก็ต่างจากเด็กฝรั่งจัง เด็กฝรั่งมันแก่แดด ดูโตกว่าวัยก็จริง แต่เรื่องที่จะมาถือหลุยส์ ชาแนลตอนอยู่ปีสามนี่มันมีแต่ในสังคมเอเชียชัดๆ

ในขณะที่เด็กๆในที่่ทำงานที่เรารู้จึก ซึ่งจัดเป็นคนชั้นกลางถึงสูง (พ่อแม่มีการศึกษา มีหน้าที่การงาน ไม่ต้องทำงานตอนเรียน จบปโทโดยไม่เป็นหนี้การศึกษา) กลับไม่เคยได้ยินเค้าขอเงินพ่อแม่ให้ซื้อกระเป๋า ส่งไปเที่ยวไก่กา ที่เห็นเพื่อนที่ทำงานไปเที่ยวกัน ก็เก็บตัง ใช้เงินที่หามาได้ตอนทำงานปิดเทอมทั้งนั้น

แล้วอะไร เด็กไทย พ่อแม่ส่งไปเที่ยวเมืองนอก แถม pocket money มีกระเป๋าดีๆ ของแพงๆ วันๆ ก็(แดร่ก )  Starbucks ที่ราคาแพงเท่าที่อเมริกา ในขณะที่ค่าครองชีพที่นี่ต่ำกว่าสามเท่าเนี่ยนะ???


เห็นรถเบนซ์ในกรุงเทพมากกว่าที่เห็นที่อเมริกา ทั้งๆที่อเมริกาภาษีรถ หรือราคารถถูกกว่าเกือบครึ่งๆ (สำหรับรถแพง)

เห็นเด็กวัยรุ่น คนเริ่มทำงาน ถอยรถใหม่ป้ายแดง ในขณะที่เด็กๆในจ๊อบเรา ขับรถเก่าแสนเก่า ทั้งที่เงินเดือนเดือนแรกแค่เดือนเีดียวก็ดาวน์รถได้เกิน 20% แล้ว

ไม่แปลกใจที่ภูมิคุ้มกันเด็กไทย ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตมันช่างต่ำแสนต่ำเหลือเกิน
ความเป็นตัวเอง รู้ใจตัวเอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง ก็ช่างหาได้ยากเหลือเกิน
ความรับผิดชอบ เอื้ออาทร บนท้องถนน ในร้านค้าตัวไป กลับหาได้น้อยกว่าเสียอีก

นี่หรือคือสยามเมืองยิ้ม
นี่หรือคือเมืองที่น่าเที่ยว เมืองที่คนบอกว่าอะไรๆก็ถูกไปหมด
นี่หรือคือเมืองที่เรากำลังจะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับมัน

ว่าแล้วก็เดินไปขุดกระเป๋าแบรนด์เนมกากๆที่มี แล้วพามันออกจากบ้าน หลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบสองปี ....

Wednesday, March 27, 2013

Moving Experience

วันนี้ก็ได้ประสบการณ์อีกอย่างกับการเก็บของขนของ

ย้ายบ้านครั้งก่อนได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆพี่ๆคนไทยหลายคน เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน แทบไม่มีเวลาแพคของเลยด้วยซ้ำ

มาคราวนี้รู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ แพคล่วงหน้านานเป้นอาทิตย์ แบบแพคตามอารมณ์ ค่อยๆคิด ค่อยๆเก็บ ค่อยๆ ใส่เข้ากล่องจัดเป็นอย่างดี สุดท้ายก็ได้กล่องจำนวนหนึ่งที่จะต้อง ship เรือกลับบ้าน

จะว่าไปก็ตลกดี เมื่อสองปีก่อนตอนมามีกระเป๋าใบละ 23 โลมาแค่สองใบ (ตอนนั้นจำได้ว่าจะเอายาทาเล็บประมาณ 7-8 ขวดมาแต่น้ำหนักเกิน ทางเคาน์เตอร์เช็คกระเป๋าก็ใจดีให้แอบเกินมาได้) มาถึงตอนนี้ยาทาเล็บนั้นงอกลูกงอกหลานมาเป็นเท่าตัว ^^" ส่วนข้าวของจากสองกระเป๋าก็กลายเป็นเหลือคณานับ ไอ้จะทิ้งก็ทำให้นึกว่าของที่งอกเงยขึ้นมาก็เงินเราที่ทำงานหามาทั้งนั้น แล้วก็เลือกซื้อแต่ในส่ิงที่ชอบเพราะฉะนั้นก็รักของทั้งหมดนั่นแหละ (งกว่างั้น) สุดท้ายก็เลยได้ของมากพอควร

รู้สึกเกรงใจเพื่อนคนไทยก็เลยเอาวะ ตกลงจ้าง mover ลอง American experience ดู

ก่อนอื่นคือต้องบอกว่า moving service เป็นอะไรที่ธรรมดามากของคนที่นี่ เพราะว่าฝรั่งย้ายบ้านกันบ่อย คนที่อยู่อพาร์ทเมนต์ซึ่งส่วนใหญ่สัญญาปีเดียว พอหมดสัญญา อาจเจอที่ใหม่ อาจเจอใครถูกใจ หรืออาจจะโดนขึ้นค่าเช่าจนทนไม่ไหวก็ย้ายกัน แล้วความเป็นอยู่ของคนที่นี่ก็เรียกว่าจัดเต็ม นึกถึงว่าระดับคนไทยทำงานอยู่หอ ก็คงมีสมบัติประมาณหนึ่งแต่ก็มักจะไม่ใช่ของชิ้นใหญ่อะไร แต่คนทีนี่ ทีวี 40 นิ้ว เครื่องเสียง โซฟา เตียงนอน ฟูก ฯลฯ เต็มไปหมด ครั้นเวลาย้าย ก็ใช่ว่าย้ายใกล้ๆ บางคนก็ย้ายต่างรัฐ ต่างเมืองเลยก็มี การให้บริการ moving ก็เลยเป็นสิ่งที่แพร่หลาย หาราคากันได้ตามเนตทั่วไป

ระบบที่นี่ก็มักจะเริ่มคิดที่สองชั่วโมง อย่างเมืองที่เราอยู่สว่นใหญ่ก็อยู่ที่ราคา $120/ 2 hours ซึ่งรวมแรงงานสองคนกับรถบรรทุกหนึ่งคัน ส่วนใครจะของเยอะของน้อยก็แล้วแต่ เค้าก็คิดขั้นต่ำสองชั่วโมง บ้านใหญ่ๆ อาจใช้เวลาหลายวันก็ชาร์จกันไป ส่วนเราของน้อย วันนี้นัดเค้ามาเค้าเห็นนี่ยิ้มเลยบอกว่า You give me an easy job :D ก็ดี ว่าเราทำให้เค้าได้สบายๆบ้าง
เค้าเล่าว่าบางทีรับขนบ้านทั้งบ้านของเศรษฐี เฟอร์นิเจอร์สุดหรู และหนักโคตร มีหลากหลายมาก ส่วนเราทุกอย่างแพคไว้แล้ว ไม่ต้อง wrap ไม่ต้องอะไร ลากอย่างเดียว ก็ทำทุกอย่างเสร็จภายในสองชั่วโมง

สบายใจ ตัวเบาแล้วตอนนี้ ที่เหลือก็แค่แพคกระเป๋าเตรียมกลับบ้านเท่านั้น

ซักมะรืนนี้ก็คงเอาคอมไปคืนที่ออฟฟิศ คืนบัตรพนักงาน คืนทุกอย่าง แล้วก็สิ้นสุดสภาพความเป็นพนักงานแต่เพียงเท่านี้ ฮึบๆ อีกไม่กี่วันก็จะได้กลับบ้านแล้ว ตื่นเต้นเล็กๆ

Monday, March 25, 2013

Last day at work

Last day comes faster than I thought...


วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่ง effective จริงๆ คือ 31 มีนาคม จากที่เคยคิดว่าอ๊ะ ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ปีนึงแล้ว ปีครึ่งแล้ว พอมาถึงตอนนี้กลายเป็นว่า อ๊ะ เหลือแค่อาทิตย์เดียวแล้ว สามารถ count down แบบนับวันกันได้เลยทีเดียว

วันนี้ก็ไม่มีอะไร ตื่นเช้ามาออฟฟิศเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่จะกลับมาอีกทีเพื่่อคืนคอมและทำ process ลาออกตาม step ทั่วไป มีงานให้เคลียร์เล็กน้อย และดูเหมือนว่าจะยังไม่เสร็จ แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไรนัก ถึงไม่ซีเรียสแต่ตอนนี้ก็ปาเข้าไปสองทุ่มละ -_-"

คิดๆแล้วก็ใจหายถึงแม้ว่าจะไม่ผูกพันกับออฟฟิศมากเท่าไหร่ นับเวลาที่ได้อยู่ ได้นั่งในออฟฟิศนี่น้อยมากกกก พูดถึงเพื่อนวงการ audit ก็เป็นขาจรทำงานกันแป๊ปๆก็จากกันเลยไม่ได้มีความผูกพันเหมือนกัน คนที่ทำงานด้วยนานสุดก็สองสามอาทิตย์เท่านั้น ด้วยความที่เรามีแต่จ๊อบเล็กๆสั้นๆ และเป็นจ๊อบนอกออฟฟิศ คนที่พบกันก็เพื่อจากลาซะมากกว่า จะมีคนที่ประทับใจก็ยังเล่น FB ทักทายทางอีเมลกันเป็นครั้งคราว

ถ้าพูดถึงคงไม่มีความผูกพันกับคนที่นี่เท่าไหร่นัก เพราะรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าการมาของเรานั้นเป็นเรื่องชั่วคราว ที่ผูกพันคงเป็นการใช้ชีวิตแบบอิสระ ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองไม่ต้องวุ่นวายกับใครมากกว่า เป็น 20 เดือนที่ได้อยู่กับตัวเองมากจริงๆ เป็นช่วงเวลาที่พิสูจน์ว่าจริงๆ เราอยู่คนเดียวได้ รับผิดชอบตัวเองได้อย่างเต็มที่เลยล่ะ

วันสุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรมาก ต่อให้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะบินออกจากอเมริกาก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่ากระซิบกับตัวเองเบาๆ ว่าขอบคุณนะ ช่วงเวลาที่ดีๆที่ผ่านมา ขอบคุณหลายสิ่งหลายอย่าง ความพยายามของเราเอง ความฝันของเรา และการสนับสนุนกำลังใจจากคนหลายๆคน ทำให้เราได้มีโอกาสมาลองประสบการณ์อะไรแบบนี้

มีทั้งความทรงจำที่ดี ไม่ดี ประทับใจบ้าง ไม่อยากจำบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันเป็นหนี่งในช่วงเวลาที่แสนจะพิเศษของชีวิต เป็นช่วงเวลาที่บอกตัวเองบ่อยๆ มีหลายๆวันที่พูดกับตัวเองว่า ดีจังที่ได้มาอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็โชคดีถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก

ขอบคุณหลายๆสิ่ง หลายๆอย่างนะ เราในวันนี้ เราว่าเปลี่ยนไปจากจุดเริ่มต้นเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2011 ก้าวแรกที่มาถึง เจอเพื่อนๆ
ได้ลอง ได้ทำหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ
ได้ไปหลายๆที่ที่อยากไป หลายๆที่ที่ไม่คิดว่าจะได้ไป หลายๆที่ที่ไม่คิดว่าจะได้กลับไปอีก
ได้กินหลายๆอย่างที่ไม่เคยกิน อาหารหลากสไตล์ที่แทบไม่เคยได้ยินในเมืองไทย
ได้เจอคนหลายๆคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ได้เป็นเพื่อนกัน ได้รู้จักกัน และสุดท้ายต้องจากกัน
ได้เก็บเงินพอสมควร ^^" ถึงแม้ว่ารายจ่าย และภาษีที่นี่จะหนักหนาสาหัสสากัน
ได้ shopping online ไปซุปเปอร์ แบบสะใจมากๆๆๆๆ
ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เป็นคนในแบบที่เราอยากเป็น และรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น
ได้กลับมารักตัวเอง อาหารการกินที่มีสุขภาพ (ปะปนกับขนมอร่อยๆ หรือไก่ทอดบ้าง) ได้ออกกำลังกายบ่อยมากๆ ไม่ต้องเจอรถติด ไม่ต้องรีบร้อนไปแข่งกันอัดในรถไฟกับใคร

ชีวิตมันสปอยเราเองจริงๆ  chapter ต่อไปก็คงเป็นการปรับตัวกลับไปอยู่ที่เดิม สินะ.......

และแล้วก็วันสุดท้ายจริงๆ

Monday, March 11, 2013

ประสบการณ์ขายของก่อนกลับ

ถ้าไม่นับเรื่องเก็บของ เตรียมเอกสารก่อนกลับที่มากมายก่ายกองแล้ว
การที่ต้องขายของ(ที่เคยซื้อมา) ก็เป็นอีกเรื่องที่สาหัสทีเดียว

ยังดีที่อเมริกามีเวบ Craigslist.org ที่เป็นเวบบอร์ดฟรีสำหรับให้คนอยากซื้อ ขาย ของ
ซึ่งจะแบ่งหมวดหมู่ตามเมือง และตามประเภทของ มีขายตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ
รวมถึงการนัดเดท นัดนุ้งนิ้งกันก็ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย -_-"
แต่แน่นอน การขายสินค้าผิดลิขสิทธิ์ ขายยา อะไรทำนองนั้นทำไม่ได้อยู่แล้ว

เราเลยอาศัยเวบนี้แหละ ขายทั้งเฟอร์นิเจอร์ ของใช้จุกจิก รวมถึงขายรถ

ขั้นตอนการขายก็ทั่วไป คือโพสต์รูป ลงรายละเอียด ราคา
ส่วนเบอร์ติดต่อก็แล้วแต่ความสมัครใจ ทางที่ดีไม่ต้องลงเมลส่วนตัวไว้ เพราะแสปมเมลขายบริการ sex call มาเยอะมากส์! (ขอบคุณ gmail ที่ดักไว้ให้)

ส่วนเวบ craigslist เอง ก็มีบริการแปลงอีเมลส่วนตัวเราเป็นอีเมลกลางที่ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว
เวลาใครสนใจอีเมลหาเรามันจะไปผ่านระบบเมลของเราก่อน ทำให้เราเห็นอีเมลของคนที่เขียนมาหาเรา แต่คนเขียนไม่เห็นเมลจริงของเรา จนกว่าเราจะตอบกลับ

เราเองไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็โพสต์เบอร์โทรทิ้งไว้เลย แล้วเลือกรับโดยการโทรกลับเฉพาะคนที่ทิ้ง voice mail ไว้เท่านั้น บางคนฉลาดหน่อยก็จะลองดูว่าเบอร์เราเป็น imessage รึเปล่าก็ chat กันต่อได้

สิ่งที่ต้องระวัง

ความปลอดภัย
เนื่องจากทุกคนเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีการลงทะเบียน บัตรปชช ไม่มีการการันตีใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางรู้ได้ว่าคนที่มาจะดีหรือร้าย เพราะฉะนั้น การนัดเจอ ควรทำในที่สาธารณะ เช่นตามปัํม ตามห้าง ตาม macDonald หรือที่ไหนก็ได้ที่มีคนผ่านไปผ่านมา

พยายามหาเพื่อนไปด้วย ถ้าเราเป็นผู้หญิง หาเพื่อนที่เป็นผู้ชายไปด้วยก็ดี ไม่แน่ใจว่าเพื่อนผู้หญิงเหมือนกันจะช่วยอะไรได้มั้ยหากเกิดอะไรขึ้นจริง แต่ก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว โดยเฉพาะการเปิดบ้าน garage sale แนวว่าให้คนมาจิ้มๆ ชี้ๆ เลือกดูของถึงบ้าน อันนี้ก็ต้องระวัง จะว่าไปคนซื้อก็กลัว คนขายก็กลัว เพราะฉะนั้นต่างคนต่างหาเพื่อนมาจะดีที่สุด

การจ่ายเงิน
เวลาขายของกันก็ให้ทำทุกอย่างด้วย "เงินสด" ไม่ต้องรับเช็คไม่ต้องเครดิต ไม่ต้องรอโอนอะไรให้วุ่นวาย แต่ถ้าไม่มีเงินสดจริงๆ เราเป็นคนขายแนะนำว่า เงินไม่มาของไม่ไป อย่าไปให้ของก่อนแล้วค่อยเก็บตัง อันนี้อาจโดนเชิดได้

ปสก ส่วนตัว
เราก็ค่อนข้างโอเคกับการขายของ ครั้งแรกที่มาอเมริกาตื่นเต้นสุดๆ นัดไปซื้อตู้ Ikea (คราวนั้นเป็นผู้ซื้อ) ก็ไปถึงบ้านคนขาย ดีที่คนขายดูหน้าตาไว้ใจได้ แล้วเป็นบ้านทาวน์โฮมอยู่ชั้นหนึ่ง ก็เลยกล้าซื้อขายกัน แต่ถ้าต้องขึ้นไปชั้นสามนี่ก็ลังเลอยู่ เพราะถ้าเค้าเกิดจับเรา rob ปล้นขึ้นมาก็ไม่มีใครช่วยได้ ณ จุดนั้น (ระวังนะจ๊ะ)  ซึ่งตู้นี้ก็เป็นปสกเดียวที่เราซื้อของมือสองจากคนแปลกหน้า โชคดีที่ผ่านไปได้ดว้ยดี

ครั้งถัดมา เราเริ่มเป็นผู้ขาย ตอนย้ายบ้านครั้งแรก ขายเตียง ตู้ โต๊ะ ไปให้คนนึง่ที่ติดต่อมาจาก Craigslist เหมือนกัน คราวนี้เราเป็นฝ่ายรอเค้ามาที่บ้าน ก็เลยชวนเพื่อนมาสองคน (ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง) คนที่มาก็มากับเพื่อนอีกคน (ผู้ชายสองคน) ก็มาง่ายๆ เอาเตียงออก เลาะเฟอร์ แล้วเค้าก็ขนรถขึ้นรถกระบะที่เค้าเช่ามาไป จ่ายเงินเราเป็นเงินสด say goodbye รักสนุกไม่ผูกพัน

ครั้งที่สาม เป็นการขายของครั้งล่าสุด เราลงขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้ากระจุกกระจิก เช่น เครื่องดูดฝุ่น เครื่องปั่นน้ำผลไม้ หม้อ กระทะ ก็มีคนติดต่อมาพอควร คนนี้ที่ได้เจอกันเป็นคนปากีสถาน (แต่ไม่แขกมาก) เพิ่งย้ายมาจากนิวยอร์ค อยากได้หลายอย่างเค้าเลยขอมาดูที่ห้อง ด้วยความที่คอนโดเราเป็นคอนโดที่ security ดี ก็ต้องพาเค้าเข้ามา เลยชวนเพื่อน ชายหญิง เซทเดิมมาเป็นไม้กันหมา 555 เค้ามาถึงก็ชี้ๆ ต่อราคาเล็กน้อย แล้วก็แบบของเกือบครึ่งนึงไป ได้มา $100 นึง ^^" แต่สิ่งที่เค้าได้ไปก็ค่อนข้างคุ้มทีเดียว เพราะเราก็ขายลดครึ่งราคาโละๆไป มีพวก เครื่องดูดฝุ่น printer toaster oven แล้วก็เครื่องครัว

ครั้งที่ส่ี่ เป็นการขายของลอตเดียวกัน คนซื้อต้องการแค่ราวตากผ้ามูลค่า $4 -_-" จับความ (และอนุมาน) ได้ว่าเค้ากำลังมาชอป IKEA กับครอบครัวในเมือง (เจ๊มากจากชานเมือง) แล้วบ้านเราเป็นทางผ่าน คงเป็นของที่เค้าคิดจะซื้ออยู่แล้วก็เลยแวะมาแบกไป จ่ายเงินมา $4 อย่างฮาาาา

ครั้งที่ห้า เป็นการขายฟูกที่นอน (ที่ขายไม่ออกซักที) นัดกันเป็นดิบดี เค้ามาถึงตัวคนเดียวกับรถเล็กๆคันนึง คุยไปคุยมา ชวนเข้าบ้านมายกฟูกละ เค้าดันเอะใจถามว่านี่มันไม่ใช่ Queen size นี่นา
เราบอกว่า เอ๊ะ สงสัยเราโก๊ะลงประกาศผิดไซส์ เค้าก็บอกว่าเค้าคงโก๊ะดูขนาดไม่ดี (มารู้ภายหลังว่าเราเองแหละที่ลงผิด) เค้าดูสภาพฟูกที่ใหม่ และดีกมาก็ทำหน้าเสียดาย เพราะว่ามันคุ้มจริงๆ แต่มันไม่ฟิตญเตียงเค้า ก็เลยเดินคอตกจากไป ครัั้งนี้เสียทั้งเวลา และไม่ได้ตังด้วย -_-"

ครั้งที่หก เป็นการนัดเจอคนที่ขอมาดูรถครั้งแรก ตื่่นเต้นสุดๆ เพราะครั้งนี้ไม่ได้ชวนเพื่อนมาด้วย (ชวนเริ่มบ่อยเกินเกรงใจ) ก็เลยจอดรถไว้หน้าลอบบี้คอนโด กะว่าเอาล่ะวะ ปลอดภัยสุดๆแล้วเพราะคอนโดมีกล้องวงจรปิด ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเราอย่างน้อยมีวิดิโดดูแน่ว่าสุดท้ายที่เรายังมีชีวิตแต่งตัวแบบไหน ออกไปเวลาไหน ก็นัดเจอกับคนซื้อหน้าคอนโด คนซื้อหล่อ หน้าตาดีเชียว ขับรถเบนซ์อย่างใหม่มาด้วยยย เหตุผลที่เค้าจะซื้อรถเก่าๆ เน่าๆ ของเราเพราะเค้าบอกว่าเค้าเพิ่งซื้อเบนซ์มาแต่ว่าขับ hardcore มาก คือขับวันนึงเกิด 100 ไมล์ ซื้อมาไม่นานล่อไปสามหมื่นไมล์แล้ว เค้าเลยอยากได้รถที่เอาไว้ขับไปทำงาน ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียหรืออะไร คุยกันทุกอย่างดีหมด แต่ติดที่ว่าเค้าเคย auction รถมาก่อนเลยดูรถเก่ง เค้าบอกว่าเค้าคงให้ราคาตามที่เราต้องการไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ต่อหนักนะ ไม่ได้ตื๊ออะไร เค้าก็เอาไปลองขับบอกว่าดีทุกอย่าง ยกเว้นว่าเค้าเล็งเห็นว่าจะต้องเปลี่ยนอะไรมูลค่าเท่าไหร่บ้าง สุดท้ายก็เลยไม่เอา กินแห้ว

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเลยหมดเวลาไปกับการรับสาย และนัดคน แต่เอาเข้าจริงก็โดนเชิดไม่มาตามนัดซะเยอะ เพราะกว่าจะนัดกว่าจะอะไร แต่ละคนก็คงมีหลาย option หลายตัวเลือก สุดท้ายก็เลยได้เจอแค่คนเดียว :'(  แต่ว่าวันนี้จะมีนัดเจออีกสองสามคน เลยดูอยู่ว่าขอให้เวิร์คๆ แล้วขายมันทิ้งไปซะที

ของใหญ่มูลค่ามากที่สุดแล้วเนี่ย หมดจากนี้ทุกอย่างก็เบๆ พร้อมแพคแล้ว

ตอนนี้ได้ประมาณ 7 ลังใหญ่ๆ ละ น่าจะไม่เกิน 15 ลังที่จะต้อง ship เรือกลับ ตื่นเต้นๆ


Friday, March 1, 2013

March...the last month in Atlanta

เวลาผ่านไปเร็วจัง วันนี้วันที่ 1 เป็นเดือนสุดท้ายกับชีวิตที่นี่แล้วจริงๆ
เราจองตั๋วออก one-way ticket ไว้แล้ววันที่ 2 เมษา ก็เหลืออีก 31 วัน

ที่มากกว่าความใจหายคือ

ข้าวของที่จะต้องจัด แพค ขายทิ้ง
รถที่เคยซื้อมา
เงินที่ต้องแบกกลับ (คิดอยู่ว่าจะเอาเงินกลับไงฟระ ไม่ให้เสียเรท ปลอดภัย)
บัตรเครดิตที่ต้องยกเลิก
ธนาคารที่ต้องปิด
process ที่จะต้องจัดการเสมือนลาออกจากออฟฟิศ

ต้องไปขอวีซ่าญี่ปุ่นอีก

ก่อนกลับยังมิวายมีจ๊อบไปตจวสองสามวัน คิดแล้วก็แปลกดี กลับไปเมืองที่เคยไปทำเมื่อตอนที่เริ่มงานเดือนแรก เหมือนจงใจกลับไปให้ย้อนความหลังซะงั้น

จากนี้ก็คงไม่ได้ไปเที่ยวไกลๆ เพราะ ส อ ต้องจัดของๆๆๆๆๆๆ
(พูดเหมือนของเยอะ แต่ก็แอบเยอะจริงๆแหละ) ต้องสละทิ้งไปบ้าง เอาไปให้คนอื่นบ้าง สุดท้ายแล้วคงเอากลับประมาณ 10 กล่อง พยายามให้ไม่เกินนี้

Tuesday, February 12, 2013

When that moment has come...

I once asked other alumni how they felt when they took their last flight and saw themselves leaving  from thier so called 'host country', the place they spent their life for over 18 months. 

They said... 'it is a mix of feelings you can't really explain'... glad and sad, joys and tears....

That moment has finally come to me. The moment I started to get a few emails about departure and repatriation prep, I realized my US clock is really ticking, counting down, and to be going back to the place where I used to be......

It is ending..... My last two months right here in Atlanta, in USA, the place where I ever dreamed of... The place where I fulfilled my dream, and the place where I never belong to....

Tuesday, February 5, 2013

Counting down 1

เวลาผ่านไปเร็วเนอะ ยิ่่งช่วงนี้หน้า year end ของชาวออดิทอย่างเรา ไม่ว่าประเทศไหนก็งานหนักทั้งนั้น แต่จะว่าไป year end นี้ก็เป็น YE แรกที่อเมริกาที่ทำงานขนาดนี้ ด้วยอะไรหลายๆอย่าง แต่มันก็ยังไม่ได้สุดๆขนาดอยากปาคอมแล้วขุดดินหนีขนาดนั้นหรอก

ที่คิดว่าทำให้เสร็จสมบูรณ์ไปก็เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงวันสุดท้ายของการทำงานที่นี้แล้ว คิดๆดูแล้วเวลาผ่านไปเร็วจัง เรารู้สึกว่าก็อยู่มานานแล่ะ แต่นานเกือบสองปีนี่มันก็นานเหมือนกันนะ

จะว่าไปก็เรียกว่าเป็นจังหวะที่มาค่อนข้างดี เค้าบอกกันว่าการที่จะมาอยู่ประเทศใดประเทศหนึ่งให้รู้ซึ้งควรจะต้องอยู่อย่างต่ำสามถึงสี่ปีเพื่อที่จะได้เห็นมุมมองต่างๆ ของคนในประเทศที่เราอยู่ต่อเหตุการณ์บ้านเมือง เหตุการณ์ภายในโลก ว่าคนที่มีคิดและมีปฎิกิริยาโต้ตอบยังไงบ้าง

เราเองคิดว่าโชคทีที่มาในช่วงปีที่สี่ของเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น

มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้รู้ว่าคนในเมืองที่เราอยู่ เค้ามีความเห็นด้านการเมืองเป็นยังไงบ้าง บรรยากาศการเลือกตั้งเป็นยังไงบ้าง

มีโอลิมปิค ซึ่งจัดทุกสี่ปี เราก็มาได้ทันโอลิมปิคคราวนี้ ก็ได้เห็นว่าเพื่อนๆรอบตัวก็เป็นแฟนโอลิมปิคตัวจริงไม่น้อยทีเดียว (โดยเฉพาะยิมนาสติก ว่ายน้ำ แล้วก็วิ่ง ของฮิตที่นี่เลย)

มีพายุใหญ่ถึงสองครั้ง ครั้งแรกที่ Catherine ถล่มนิวยอร์คนี่ก็โดนจริงๆมากับตัว คือ Blackout ไปคืนกว่าๆ จุดเทียน ของในตู้เย็นละลายกันไป

ครั้งที่สองที่น้ำท่วมหนักๆ ไม่ได้เจออะไรเพราะ ไปเที่ยว Seattle อยู่ใน National Park ไม่รู้เรื่องอะไร
แต่ก็ได้เห็นข่าว จากมุมมองของคนที่นี่

มีการยิงที่รรประถม ที่เป็น Talk of The Town

ถ้าไม่มีมาช่วงปี 2011-2013 นี่ก็อาจจะพลาดไปหลายอย่าง อย่างน้อยความมันส์เวลาที่มี presidential debate แล้วคนมา debate กันต่อที่ทำงานนี่ หืมมม แซ่บบบบ

นอกจากเรื่องการที่ได้เห็นและแลกเปลี่ยนมุมมองแล้ว เรื่องที่เป็นสิ่งที่เหมือนว่าจะสำคัญที่สุดที่ทำให้เรามาทำงานที่นี่ก็คือการได้ท่องเที่ยวและไปที่ต่างๆเนี่ยแหละ  อยู่มาจะสองปีแล้วก็มาในจุดทีว่าเมืองใหญ่ๆ ที่คนต่างชาติฮิตๆ กันก็ไปมาหมดแล้วแหละ หลังๆ ก็เริ่มไปเมืองเล็กๆ ดูชีวิตเรียบๆง่ายๆ บ้านนอกๆ ของอเมริกาบ้างก็บันเทิงไปอีกแบบ ลองนึกๆดู เราก็เที่ยวเก่งพอตัวนะเนี่ย (ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากการไปทำงาน)

เดือนสิงหาคม  ไป training 3 อาทิตย์ที่ Montvale, New Jersey ก็เลยเป็นผลพลอยได้ได้ไปดู Broadway เรื่อง Memphis ในนิวยอร์ค

ต้นเดือนกันยา ช่วง Labor's Day ก็ Road Trip ไป Boston, Massachusetts เที่ยวเมืองบอสตัน แล้วก็พวก Harvard MIT

กลางเดือนกันยาเริ่มทำงานครั้งแรก ก็เร่ิมจากจ๊อบแรกไปทำงานที่ Columbus, Georgia

เดือนตุลาคมหน้าฮาโลวีน ก็ไปออกจ๊อบสองไปทำงานที่ Decatur, Alabama แล้วก็แวะเที่ยว Pumpkin Patch + Cotton Farm ดู Space museum ที่ Huntsville, Alabama

แวะ Birmingham day trip ดูหน้าตาเมืองหลวงของ Alabama

เดือนพฤศจิกายน Thanksgiving ไปเยี่ยมเพื่อนที่เรียนอยู่ที่ Hawaii ก็ได้เที่ยว Honolulu แล้วก็ได้ไป Muai Road to Hana ซึ่งเป็นหนึ่งในเกาะยอดฮิตของฮาวาย

ปลายพฤศจิ จนถึงธันวา ก็ไปทำงานที่ Warren & Youngstown Ohio ได้ขับรถลุยหิมะเอง  ได้จ๊อบธนาคารเป็นครั้งแรก  แล้วก็ไปหาเพื่อนที่ Washington D.C. เป็นครั้งแรกที่ได้ไป D.C. ไป Spy Museum อนุเสาวรีย์สงครามโลก เวียดนาม และ tourist spots

มีช่วงระหว่างอาทิตย์ที่จ๊อบย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่ Pittsburgh, Pennsylvania ก็เลยมีโอกาสได้ไปทัวร์ชมเมืองบ้าง

ช่วงกลางเดือนธันวาก็บินไปหาเพื่อนที่ Washington D.C. อีก แล้วก็ขับรถไป Philadelphia, PA หาเพื่อนอีกคน ก็ทัวร์เมือง ตามจุดท่องเที่ยว ถ่ายรูปกับ Liberty Bell บ้างไรบ้าง

ปลายเดือนธันวาไป Orlando เที่ยว Disney World, Universal Studio, Sea World จนฉ่ำปอด
กลับมาก็ไปเก็บ Atlanta tourist spots ได้แก่ CocaCola, CNN

เดือนมกรากลับไปทำงานที่ Ohio อาทิตย์นึง แล้วก็มาต่อ year end ที่ Alabama ที่เดิม

เดือนกุมภา บินไป Richmond, VA เพื่อทำจ๊อบ Broker สามอาทิตย์ ได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่ D.C. อีกครั้ง (ไปบ่อยมว๊าก) แล้วก็ได้เจอเพื่อนคนจีนที่ทำงานที่ Richmond ทำงานท่ามกลางหิมะ และพักรรหรู :)

เดือนมีนา กลับมาอยู่ใน Atlanta เป็นครั้งแรก (แล้วก็อยู่ยาววววววววววว) ไปออกจ๊อบชานเมือง ไม่มีอะไรตื่นเต้นมากมายนัก

เดือนเมษา ชีวิตก็เร่ิมเศร้าเพราะไม่ได้เที่ยวมาเกือบสองเดือน

เดือนพค จึงออกแรดแบบจัดเต็มอีกครั้ง เริ่มทริปทีแอตแลนต้า มีเพื่อนจากนิวยอร์ค กับบัดดี้จาก D.C.มาแจม Road trip  ขับจากแอตแลนต้าไป Savannah, Georgia เมืองตากอากาศฝั่ง East Coast แล้วก็ขับต่อไป Charleston, South Carolina ทริปนี้ผ่านถึงหกรัฐด้วยกันได้แก่ Georgia, South Carolina, Alabama, Mississippi, Florida, Louisiana  จาก Charleston ก็ขับกลับมาพักที่แอตแลนต้า แล้วก็ขับรถลงใต้ไปเที่ยว Destin, Florida แล้วก็ขับลากยาวไปที่ New Orleans ทำ Volunteer Rebuilding Project อยู่สี่วัน แล้วก็ขับกลับจาก New Orleans คนเดียวเกือบ 800 ไมล์ (เกือบสิบชม)

เดือนมิถุนา ไป national training ที่ Chicago, Illinois อยู่เทรนห้าวันหกคืน แล้วก็เข้าไปเที่ยวในเมืองชิคาโก้อยู่หลายวัน ไปกิน Fried pizza Duo ชื่อดัง ขึ้นไปชมวิวบนยอดตึก กินอาหารสุดหรู ใช้ชีวิตสบาย ต่อจากนั้นก็บินไป Seattle ตามรอย Grey's Anatomy ไปเยี่ยม Starbucks สาขาแรก ไป Mount Rainier National Park

เดือนกค ไปหาเพื่อนที่ Houston, Texas เจอเพื่อนคนญี่ปุ่น คนจีน และเพื่อนสิงคโปร์ที่ขับมาจาก Baton Rouge รียูเนี่ยนเล็กๆ คุยกันถึงตีสาม แล้วก็ได้ไปดู Car Parade ที่เป็นงานใหญ่ประจำปีของ houston ด้วย

เดือนสิงหา ไมได้ไปไหน เพราะเตรียมตัวกลับเมืองไทย

เดือนกันยา Home leave ประมาณสิบวัน ไปภูเก็ตประมาณสี่วัน ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่

กลับมากลางเดือนกันยา ก็บินไปเจอเพื่อนที่ Houston แล้วขับรถไปหาเพื่อนที่ Baton Rouge Louisiana เลยได้กลับไปที่ New Orleans อีกครั้ง ชอบ Cajun Food ของนิวออร์ลีนส์ แล้วก็ไปทัวร์ดูจระเข้ด้วย

เดือนตุลาเหมือนว่าสลดไม่ได้ไปไหน (จำไม่ค่อยได้แล้ว)

เดือนพย ไปนับสต๊อกที่ Montgomery Alabama สองวันเลยได้เที่ยวบ้างไรบ้าง
เดือนเดียวกันช่วง Thanksgiving ก็ไปหาเพื่อนที่นิวยอร์คอยู่ไปประมาณห้าวันได้ ได้เจอเพื่อนสมัยมหาลัยด้วย ไปนั่ง Ferry ดูRockfeller ตามประสา นิวยอร์คเริ่มไม่ใหม่ แต่ดีที่ไปช่วง Thanksgiving เลยออกช้อปทุกวัน

ต้นเดือนธันวา ก็บินไป D.C. (อีกแล้ววว) คราวนี้ไปแบบแปลกหน่อย คือขับรถไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชาว Amish ที่ใช้ชีวิตแบบไม่ยึดติดเทคโนโลยี ไม่มีมือถือ ไม่ใช้รถ บ้านไม่มีไฟฟ้า (ในอเมริกาก็มีด้วย)
แล้วก็ขับรถไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งคลอดลูกสาวที่ Philadelphia เลยได้กลับไปแตะๆอีกครั้ง

เดือนธันวาก่อนคริสต์มาสได้ไปทำงานที่ Miami, Florida พักโอเรียลเต็ลด้วยยย ^^ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้ทำจ๊อบ IRM (ITaudit) ก็เป็นปสกแปลกๆดี

ช่วงคริสต์มาส ก็บินไป Fort Lauderdale แล้วก็ขับรถไป Key West จุดใต้สุดของอเมริกา

แล้วก็บินไป Puerto Rico ที่เป็น US Territories ได้ reunion เจอเพื่อนที่นั่นรวมทั้งหมด 17 คน (กรุ๊ปใหญ่มากกกก) ไป Bacardi museum, El yungue National Rain Forest, Ponce ชิมกาแฟเปอร์โตริโก้

กลับมาเดือนมคหลังปีใหม่ ได้ไปทำงานที่ Burlington, Vermont ท่ามกลางหิมะสูงเป็นฟุต อากาศติดลบ

หลังกลับเดือนมค ชีวิตดูจะเศร้าสร้อย เพราะทำงานนอกเมืองแต่ว่าไม่ค้างคืน เลยต้องไปกลับวันละ 90 ไมล์ ช่วงเดือนนี้เลยแอบหมดแรง

เหลือเดือนกพ กับมีนา ถ้าดูตามแพลนแล้วก็คงจะไม่ได้ไปไหนไกลแล้ว ทำงานในเมืองเนี่ยแหละ แล้วก็คงเริ่มแพคของแล้ว

ไว้วันหลังจะมาเขียนเก็บความทรงจำเพิ่มอีก :)