Saturday, October 22, 2011

Saturday, October 22, 2011ขอแนะนำให้รู้จัก "คุโระบุตะ" และ tips เกี่ยวการซื้อรถมือสอง (2)

การตัดสินใจ:

จากการพูดคุยกับเพื่อนๆ โปรแกรม USMP ทำให้สรุปได้ว่า ประเด็นหลักที่ใช้ในการตัดสินใจเลยคือ

1) งบประมาณ 

ถามว่ารถที่อเมริการาคาประมาณเท่าไหร่?  ขอบอกว่าถูกกว่าเมืองไทยอยู่พอควร
โดยเฉพาะใครสนใจรถ super car หรือรถ high end บ้านเรา อย่าง mini cooper, beetle, Lexus ก็สามารถมา fulfill ความฝันได้ที่นี่ ด้วยราคาที่ถูกกว่า

แต่ถามว่ามาถอย mini หรือ Beetle ที่นี่มันถูกโคตรๆ มั้ย
สำหรับเรา (ซึ่ง on budget) ก็ขอตอบว่า ไม่ได้ถูกขนาดน๊านนนน

หลักการพื้นฐานคือ ยิ่งซื้อรถแพงเท่าไหร่ ราคาส่วนต่างก็จะถูกลงมาก เมื่อเทียบกับราคาที่เมืองไทยเท่านั้น

เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ

รถ Toyota Yaris  ซึ่งจัดเป็นรถขนาด compact ของที่นี่ (คือเล็กสุดๆ)

บ้านเรา มือหนึ่งราคาเริ่มต้นที่ห้าแสนกว่าๆ จ่ายจริงก็ประมาณหกแสน
อเมริกา (อ้างอิงจาก Atlanta) จะเริ่มต้นที่ $16,XXX หรือเกือบห้าแสน ซึ่งเวลาซื้อจริงต้องบวกภาษีเข้าไปอีกเกือบ 10%

เทียบกับรถขนาดใหญ่ขึ้นหน่อย

Toyota Prius  ที่เมืองไทยเริ่มต้นที่ 1,190,000 ล้านเศษๆ
ที่อเมริกา เริ่มต้นที่ $24,XXX- $26,XXX  หรือประมาณเจ็ดแสนฝ่าๆ ตีซะว่าแปดแสนเท่านั้น

โดยความแตกต่างของราคารถที่อเมริกา นอกจากจะเรื่องของยี่ห้อ และปีที่ผลิตแล้ว
ยังต้องคำนึงด้วย ว่าซื้อจากรัฐไหน เพราะว่า ภาษีขาย (sales tax) จะไม่เท่ากัน
รถที่เหมือนกันทุกอย่าง แต่ซื้อจากคนละรัฐราคาก็อาจต่างกันเป็นหมื่นได้เลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่า การซื้อรถขนาดเล็กนั้น แทบจะไม่ต่างกับการซื้อที่เมืองไทยเลย  ส่วนการที่ตัดสินใจซื้อรถใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็จะทำให้รู้สึกว่าได้ของถูกกว่าเมืองไทยมากๆ
ที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะเรื่องภาษีนำเข้าของรถนั่นเอง

การซื้อรถใหม่นั่นง่ายแสนง่าย เพียงแค่พอมีไอเดียว่าอยากได้รถอะไร เช่น Honda Civic, Toyota Camry  อาศัยอยู่ที่เมืองไหน ก็จัดการหาออนไลน์ ให้ dealer แต่ละที่ quote ราคาแข่งกัน เลือกเอาที่ถูกที่สุด จ่ายเงินก็ได้รถมา

สามารถฟันธงให้ได้เลยว่า

ถ้าคุณมีเงินสดติดตัวมากกว่า $15,000 คุณก็สามารถถอยรถใหม่มือ 1 ขนาดเล็กมาเป็นของตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่น Nissan Versa Sedan ซึ่งราคารวมหมดแล้วประมาณ หมื่นห้าพัน(USD) นิดๆ 

(อันนี้พูดถึงการซื้อรถด้วยเงินสดของพวกเราที่ไม่มีเครดิตในอเมริกา และไม่สามารถผ่อน Finance ได้นะ)

ข้อดีของรถมือ 1 ก็อย่างที่ทุกคนรู้

  มีประกันศูนย์ตามระยะเวลา เช่น 3 ปี 50,000 miles 
  ปัญหาเรื่องอะไหล่ เครื่องยนต์ เก่าเก็บก็ลืมไปได้เลย
  ปัญหาเรื่องมีผีอีเม้ย หรือมีประวัติอะไรตุกติกมาก่อนก็ไม่ต้องคิด
  หอมใหม่ สบายใจ งานเอกสารก็จัดการโดยคนขายทั้งหมด

ข้อเสีย
   ข้อเสียหลักเลยคือ "ราคาตก" อย่างที่มีคนเคยพูดไว้ว่า แค่วันแรกที่ขับรถออกมาจากศูนย์ราคาก็ตกไปสองพันแล้ว!!!  เพราะฉะนั้น ให้ทำใจเรื่องราคาขายต่อได้เลย ว่าตกลงจากเดิมอย่างต่ำ ยี่สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์หลังการใช้ 3-6 เดือนแน่นอน
    
   อีกข้อเสียนึงก็คือ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีเงินสดติดตัว มีงบประมาณจำกัด
สำหรับกะเหรี่ยงชาวต่างชาติแล้วนั้น ต้อง "จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง" เท่านั้นจ้า

เพราะฉะนั้น ก็ขอสรุปให้ง่ายๆเลยคือ

ถ้ามีงบต่ำกว่า $15,000 หรือสี่แสนกว่าบาท "ไม่สามารถซื้อรถมือหนึ่งได้!!!" 

จากเพื่อนๆในกรุ๊ปสี่สิบคน มีคนที่ถอยรถใหม่เลย เท่าที่รู้ก็แค่สองคนเท่านั้น

โดยทั้งสองคนนั้น ถอย Nissan Versa แบบสี่ประตูคนนึง แล้วก็ห้าประตู (ซึ่งราคาที่ถามมาก็ $15-$16,000 นั่นเอง)

ส่วนเราจัดเป็นพวกที่สองคือ มีเงินติดตัวมาไม่ถึง $10,000 ด้วยซ้ำ!!!

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเลือกซื้อรถ "มือสอง" ซึ่งที่นี่เรียกให้เพราะจับใจว่า "Pre own car"  นั่นเอง (อย่าเรียกรถใช้แล้ว หรือ used car นะ คนซื้อแอบเคือง 555)

การหาซื้อรถมือสอง แบ่งได้หลักๆ เป็นสองแบบ

1) ซื้อจาก dealer คือพวกเต๊นรถที่โชว์ทั่วไป ก็จะมี subset แบ่งเป็น
     1.1) ซื้อมาขายไป คือการที่เราแวะไปดู ชอบใจคันไหน ตกลงราคากัน จ่ายเงินแล้วก็เอารถไป ไม่มีภาระผูกพันอะไรในแง่ของการดูแลหลังการขาย สิ่งที่ dealer ทำให้ก็คือ พวกเดินเรื่องเอกสารจดทะเบียนให้ 
      ข้อดี คือ รถก็เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง บาง dealer ก็จะมีประกันแบบรับซ่อมให้ถ้ามีปัญหาภายในระยะเวลาที่กำหนด (เช่นหนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน)  + มีรถให้เลือกหลากหลาย เห็นรถได้จริงๆ หลายๆ คัน ไปดูเปรียบเทียบกับ dealer หลายๆที่ กันจนตาลายเลยทีเดียว
     ข้อเสีย คือ ต้องจ่าย Sales tax เพราะ dealer พวกนี้ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แล้วราคาก็มักจะแพงกว่าราคาที่ซื้อโดยตรงจากเจ้าของนั่นเอง

   1.2) Certified pre-own car หรือ รถมือสองแบบมีประกัน  มันมีระบบนี้เกิดขึ้น ก็เพราะคนอเมริกาส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญญาซื้อรถใหม่กันทุกคน แล้วก็ไม่ทุกคนที่อยากแบบรับความเสี่ยงจากการซื้อรถที่ไม่มีประกันอะไรเลย 

จุดขายของ certified car ก็คือ เป็นรถที่ค่อนข้างใหม่ อาจยังอยู่ในประกันศูนย์ หรือใกล้หมดแต่มีการต่อประกัน Dealer ก็จะจัดการให้ทุกอย่าง แถมรถที่เราซื้อก็เหมือนว่าออกมาจากศูนย์ เกือบใหม่กิ๊กนั่นเอง

ข้อดี  มั่นใจหายห่วงเรื่องเครื่องดับ เครื่องเสีย โดนย้อมแมว เพราะ Dealer ก็มีหลักฐานให้ทุกอย่าง ว่ารถได้ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดสุดๆ ถ้าเสียก็สามารถส่งซ่อมได้เหมือนรถใหม่ทั่วไป  ส่วนใหญ่ก็เป็นรถค่อนข้าวใหม่ไม่เกิน 5 ปี สภาพใหม่ ถึงใหม่มาก จำนวนไมล์วิ่งก็ต่ำ (ไม่เกินแสน) 
เรียกว่า ถ้าไม่อยากได้รถใหม่เอี่ยม แต่ยังลังเลเรื่องเครื่องยนต์อยู่นั้น Certified car ก็จัดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

ข้อเสีย
จะบอกไว้เลยว่า แพง!!! Certified car หลายๆ คันที่เราดูมา แพงกว่าซื้อรถใหม่ซะอีก!!!
ถามว่าเป็นไปได้ไง??? ก็เพราะเรื่องการประกันหลังการขายเนี่ยแหละ

ซื้อรถมือหนึ่งจากศูนย์ อาจจะประกันสามปี หรือถึงจำนวนไมล์ที่กำหนด
แต่ถ้าซื้อ Ceritified นอกจากประกันศูนย์ (ถ้ายังเหลือ) บางทียังต่อออกไปอีก 2-5 ปีด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้น ราคาที่แพงก็เพื่อซื้อความอุ่นใจ สำหรับคนที่หวาดผวาเรื่อง breakdown หลังผ่านการใช้งานหลายๆปีแล้วนั่นเอง

สำหรับเรา (โดยส่วนตัว) ไม่เห็นด้วยกับการซื้อ Certified car เลย เพราะเราถือว่า ถ้ามีตังเพิ่มอีกนิดก็สามารถซื้อรถเล็กมือหนึ่งได้แล้ว

แต่ถามว่ามีเพื่อนซื้อมั้ย ก็มี มีเพื่อนสิงคโปร์คนนึง ซื้อ Ceritified BMW ราคาประมาณ $23,000 ซึ่งเป็นรถมือสองไมล์ต่ำ แต่ประกันหลังการขายให้อีกสามปี

ถ้าเป็นเรา $23,000 เราเอาไปซื้อ Honda Civic Hybrid ราคาคือๆ กันแต่มือหนึ่งแล้วอะ

การตัดสินใจก็เลยแล้วแต่คนอะนะ ถ้ามีแบรนด์ที่ชอบในใจอะไรก็ฉุดไม่อยู่ :p

2) ซื้อจากเจ้าของโดยตรง

 สำหรับเราก็มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนเต๊นรถประมาณห้าหกที่ได้
ทุกอย่างก็ดูดีหมดอะแหละ แต่เราติดที่ "Budget" หรืองบประมาณอย่างเดียวเลย

เราตั้งงบไว้ระหว่าง $7000- $10,000 เท่ากับเงินสดในกระเป๋าที่ติดตัวมา
dealer ก็เสนอมาหลายคันที่ราคาอยู่ในงบแหละ แต่ติดตรงที่ รถส่วนใหญ่ในงบนี้จะ "เก่ามาก ถึงมากที่สุด!!"

เก่าขนาดไหน?  ก็ปี 1998- 2002 เกือบสิบปีแล้วทั้งนั้น
ไมล์มากขนาดไหน ส่วนใหญ่ก็ 130,000- 150,000 ขึ้นทั้งนั้น

เราก็เลยคิดว่า ไม่ไหวอะ เสี่ยงเกินไป กับชีวิตออดิทสาวที่ต้องขับรถเดือนนึงเป็นพันไมล์ เราเลยเหลือทางเลือกสุดท้ายทางเลือกเดียวคือ "ซื้อโดยตรงจากเจ้าของ"

2) Private car owner
อันนี้ก็ตรงไปตรงมา คือซื้อจากเจ้าของรถโดยไม่ต้องผ่านคนกลางอย่าง dealer นั่นเอง

ข้อดี ชัดๆจากการที่จะซื้อจากเจ้าของโดยตรงก็คือ "ราคา"
ราคาถูกกว่าอย่างต่ำก็พันสองพันเลยทีเดียว ไม่ต้องจ่าย sales tax เพราะว่าเป็นการเปลี่ยนมือกัน ดูเหมือนทุกอย่างจะงามแงะโลกสดใสใช่มั้ย  แต่ความจริงมันไม่ง่ายแบบนั้น

ข้อเสีย 
- ไม่ได้มียี่ห้อ รุ่นรถ หรือปี รถมาให้เลือกอย่างใจอยาก  รถที่มาก็ต่างๆกันไป บางคันปีใหม่ๆ แต่วิ่งมาเยอะ บางคันเก่ามาก แต่ไมล์ต่ำ เลือกสี เลือกเบาะก็ไม่ได้

- ย้อมแมวมารึเปล่า?  เราไม่มีทางรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่เจ้าของต้องการขายเพราะอะไร
บางคนร้อนเงิน บางคนบอกว่าอยากขายเพราะอยากได้รถที่ใหญ่ขึ้น
ร้ายๆก็คือ ขโมยมาแล้วรีบขาย รถชนคนตายมาแล้วก็เลยขาย หรือรถเคยผ่านการซ่อม หรือมีเรื่องที่จะต้องซ่อมก็เลยขาย  ไอ้เรื่องงามๆ พวกนี้ก็คงไม่เอามาบอกเวลาประกาศขายกันหรอก จริงมะ?  เพราะฉะนั้น การซื้อรถจากเจ้าของเนี่ย ก็ต้องรับความเสี่ยงเรื่องพวกนี้ไปตรงๆเลย

- ไม่มีการเดินเอกสารให้ ขั้นตอนการเปลี่ยนมือรถ การลงทะเบียน จะไม่มีใครทำให้
เจ้าของรถถือว่า เอาเงินมาให้ เอารถ แล้วก็เอาสมุดทะเบียนไป ที่เหลือผู้ซื้อต้องจัดการเองทั้งหมด ถ้าใครคิดว่าไม่มีเวลา ไม่อยาก ไม่กล้าทำ การซื้อจากคนธรรมดา ให้ตัดทิ้งไปเลย

แต่ถามว่าขั้นตอนพวกนี้ยุ่งยากมั้ย ก็พอควร แต่ไม่อยากเกินกว่าจะศึกษาเรียนรู้
อย่างเราก็เริ่ม research จากอากู๋นั่นแหละ ว่าซื้อรถมาแล้วต้องทำยังไงบ้าง มันก็ต้องใช้เวลา ไม่ได้เป็นบะหมี่สำเร็จรูปแบบการซื้อจากเต๊นรถแน่นอน

พอดูๆ แล้ว ข้อดีของการซื้อรถจากเจ้าของ ก็ดูเหมือนมีแค่เรื่อง "ของถูก" เท่านั้น
แต่มันก็เป็นข้อดี ที่ match กับข้อจำกัดของเรา เราเลยเลือกมาทางนี้

ประสบการณ์หารถมือสอง

เราเริ่มต้นหารถมือสองจากหลายๆเวบไซต์ ที่แนะนำก็มี


รถที่เข้าตาก็มีอยู่หลายคัน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคหลักๆมีสองอย่าง
1)  รถดีมักไปเร็ว  รถไหนที่เจ้าของประกาศขาย แล้วราคาดี ถูกกว่าตลาดพอควร ก็มักจะมีคนติดต่อไปเยอะมาก แป๊ปเดียวขายได้ปิดกระทู้แระ :(
  เราเจอรถดีราคาถูกแบบนี้หลายคันมาก  แต่เป็นคนตัดสินใจช้า และไม่ค่อยมีเวลาติดตาม (เนื่องจากไปทำงานตจว) กว่าจะโทร กว่าจะนัด เจ้าของก็ขายปิดงานไปแล้ว
เจอแบบนี้กับ Honda Civic มาเกือบห้าคัน !!!  ขอบอกว่า ตลาด Honda Civic ที่นี่ฮอตมากๆ

2) รถที่ยังอยู่ ก็แปลว่าไม่ดี??  ถ้ารถไหนที่ประกาศขายแต่ยังไม่ไปซักที ก็ให้ตั้งสมมติฐานแรกเลยคือ ขายแพงเกินราคา คือเจ้าของตั้งราคาตามใจฉันไม่ดูตาม้าตาเรือ

หรือถ้าราคาดีโคตรรร ก็ให้สรุปได้เลย ว่าประวัติฉาวโฉ่แน่นอน!!

เราเจอประมาณ 2-3 คัน ตัดสินใจว่าจะไปลองขับ ติดต่อเจ้าของแล้ว แต่พอเช็คประวัติ เคยผ่านอุบัติเหตุ total loss แล้วมา rebuilt ใหม่ทั้งนั้น :( 

หรือบางคันก็ถูกใจ แต่ว่าเจ้าของรถอยู่ไกลมากๆ ก็ไม่กล้าเสี่ยง กลัวถ่อไปตั้งไกลไม่ได้รถสมใจก็คงเสียเวลา

คีย์หลักของการซื้อรถมือสองจากบุคคลธรรมดาเลยคือ VIN

VIN หรือ Vehicle Identification Number ก็เหมือนบัตรประชาชน แต่เป็นของรถนั่นเอง รถทุกคนของอเมริกาจะมี VIN ที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเคยเอาไปชน เคยโดนขโมย เข้าศูนย์ซ่อมที่มีการรายงานเข้าระบบ ก็จะมีประวัติติดตัวไว้เรียกดูได้ตลอด

ถ้าเกิดสนใจรถของคนไหนแล้ว ก็ให้ขอ VIN จากเจ้าของมาได้เลย

ถ้าเจ้าของยอมให้ VIN ก็ให้วางใจได้ระดับหนึ่ง ว่ายอมให้เช็คประวัติ

วางใจได้ แต่อย่าไว้ใจ เพราะหลายๆครั้ง ก็อาจเจอเจ้าของจงใจย้อมแมว (เราเจอมาสองครั้ง)  เพราะฉะนั้น ไม่ว่ารถจะดูดี ราคาดึงดูดใจขนาดไหน อย่าตัดสินใจอะไรจนกว่าจะ "เช็ค VIN" เป็นอันขาด

การเช็ค VIN เราขอบอก tips เล็ก ๆว่า
ให้ไปที่ https://www.nicb.org/theft_and_fraud_awareness/vincheck  เพื่อหาข้อมูลเบื้องต้นก่อน
เวบนี้เป็นเวบที่เอาไว้เช็คง่ายๆ และฟรี ว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุจนเกิด total loss แล้วหรือไม่ และเป็นรถที่ถูกแจ้งความหายหรือไม่

อาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่สามารถใช้กรองรถมากมายที่โพสต์ไว้ตามเนต ให้ลดจำนวนลงมา

ต่อจากนั้น โทรไปคุยกับเจ้าของรถ สอบถามเล็กน้อย ถ้าตัดสินใจว่าอยากได้คันนี้ล่ะ!
ก็ถึงเวลาเสียเงินเช็คประวัติจริงๆแล้ว

เวบยอดฮิตเลยคือ http://www.carfax.com/ 

  • 1 CARFAX Report for $34.99
  • SAVE! Add 4 more Reports for only $10 ($44.99)


แต่เราว่ามันยังแพงไปหน่อย เลยหนีไปใช้ http://www.instavin.com/
ที่ราคาถูกกว่ามาก คือ report ละ $6.99  และมีโปรโมชั่น ซื้อสองรีพอร์ทแถมหนึ่งรีพอร์ทด้วย เลยซื้อหารกับเพื่อนอีกคน (งกโคตรๆ)

ถามว่า report ที่ได้ต่างกันมั้ย
เราคิดเอาเองว่าด้วยราคาที่ต่างขนาดนี้ ที่ Carfax คงจะละเอียดกว่าอะแหละ
แต่ report ที่ได้จาก instavin ก็ไม่ขี้เหร่นะ คือมีประวัติรถให้พอควร ว่าเคยไปทำอะไรมาบ้าง เจ้าของจดทะเบียนที่ไหน ใช้มาแล้วกี่ปี ก็พอใช้ได้เลย
เราเลยคิดว่าจาก instavin ก็น่าจะพอแล้วอะนะ ^_^"

ต่อจากนั้น ถ้า VIN โอเค ก็เดินหน้านัดเวลากับเจ้าของรถได้เลย ว่าจะเอารถไป test drive ดู นัดสถานที่กัน

แล้วก็เอารถไปลองขับ (test drive) วิธีการเช็คเบื้องต้นก็หา google ได้เลยว่าต้องดูอะไรบ้าง

ถ้าพอใจโดนส่วนตัวแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เอาไปให้ mechanic อู่รถที่ไหนก็ได้เช็คสภาพดู (ก็จะมีแพคเกจ หรือลองถามอู่ทั่วๆไปก็ได้ ว่าขอให้เช็คสภาพรถก่อนซื้อ หรือเรียกว่า Pre-purchase check up เท่าไหร่ โดยทั่วไปก็ราคา $50-$99 แล้วแต่ความละเอียดของการเช็ค )
เพราะฉะนั้น การเอาไปให้อู่รถเช็คก็จะทำให้รู้ว่า รถคันนี้ที่เราจะเป็นเจ้าของในอนาคต มันมีอะไรต้องเปลี่ยน มีอะไรพังบ้าง ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจสุดท้ายว่า จะซื้อดีมั้ย หรือถ้ามีอะไรต้องซ่อม อาจให้ช่างตีราคา เพื่อเอาไปต่อราคากับเจ้าของ หรือถ้าเลวร้ายจริงๆ การเสียเงินเช็ครถก่อนก็ยังปลอดภัยกว่าการเสียเงินสดทั้งก้อนแล้วได้รถกากๆมานั่นเอง

อย่างที่บอกว่า ความอันตรายของการซื้อรถจากเจ้าของคือ จ่ายสด ซื้อแล้วซื้อเลย ต่างคนต่างไป เรียกร้องอะไรกันไม่ได้อีก

ถ้าโชคไม่ดีจริงๆ การต้องเสียเวลาดูรถ เสียเงินเอาไปให้ช่างเช็ค หลายๆครั้ง คิดไปคิดมาอาจไม่คุ้มก็ได้

เพราะฉะนั้น จึงแนะนำว่า ให้หาเพื่อนที่พอรู้เรื่องรถช่วยดูให้บ้างตั้งแต่ต้นดีกว่า
การที่จะถึงขั้นนัดเจ้าของเอาไปขับนั้น เรียกได้ว่าเป็นขั้นท้ายสุดๆ ของการซื้อรถแล้วก็ว่าได้

มันมีข้อที่ต้องระวัง มีสิ่งที่ต้องศึกษามาก แต่ในขณะเดียวกันราคาที่ได้มาก็มักจะ "ว้าววว" และนำความภาคภูมิใจมาให้เจ้าของรถ pre own อย่างเราๆ ได้เสมอ :)

No comments:

Post a Comment