Friday, December 14, 2012

You rock it! Miami

อาทิตย์หน้าโดน book ไปจ๊อบคนเดียวอีกแว้วววว

ดีใจที่เป็น Advisory Project ซึ่งเป็นงานที่เราทำซะส่วนใหญ่ตั้งแต่มาเหยียบอเมริกา

นับๆดูทำงานออดิทไม่ถึงห้าจ๊อบด้วยซ้ำ ที่เหลือเป็นโปรเจคแบบ random (ภาษาไทยเรียกไก่กา) เพิ่มภูมิต้านทานภาษาอังกฤษให้กับกะเหรี่ยงอย่างเราได้เป็นอย่างดี

โปรเจคหน้าค่อนข้างเจ๋ง และ out of comfort zone ทีเดียว เพราะต้องไปในฐานะ IT Audit!!
ถึงแม้ว่าสิ่งที่จะไปตรวจสอบนั้นเกี่ยวกับบัญชีอยู่บ้าง แต่โดยเนื้อหาแล้วก็ต้องไปตรวจพวก coding, configuration อะไรประมาณนั้นด้วย

ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะไม่เคยทำ แต่ก็อยู่บนความคาดหวังที่จะต้องทำให้ได้

สิงที่ได้มาโดยการแลกกับความตื่นเต้นครั้งนี้คือจะได้บินไปทำงานที่ Miami เมืองสวาทหาดสวรรค์ของชาวฟลอริด้านั่นเอง

จะได้พักโรงแรมติดหาดที่ Mandarin Oriental ด้วยยย วี๊วววว

ส่วนออฟฟิศลูกค้าจริงๆ แล้วอยู่ที่ Fort Lauderdale ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศเหมือนกัน อยู่ประมาณสามสิบนาทีจากไมอามี (คนเลยรู้จักไมอามีมากกว่า)  ก็จะได้พักโรงแรมติดหาดเหมือนกัน

คิดถึงเรื่องเที่ยวแล้วก็ล่องลอยไปหน้าหาดแล้วตอนนี้

แต่คิดถึงเรื่องงานก็สลดเล็กน้อย ที่ต้องไปทำงานคนเดียว วันนี้ก็ส่ง meeting request ไปให้ลูกค้า (ซึ่งไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ) แล้วสิริรวม 7 คน คนละหนึ่งชั่วโมง โดยต้องคุยให้ครบภายใน 3 วัน -_-"

จะมีเวลาไปชิลริมหาดมั้ยเนี่ยยย แต่แค่ได้นอนโรงแรมเก๋ๆ เปลี่ยนบรรยากาศ ได้ลองงานใหม่ก็น่าจะทำให้หายเบื่อแล้วล่ะ

Thursday, December 6, 2012

เมื่อคอนโดใหม่มีเรื่องโดนงัด (อีกแล้ว)

เมื่อสองสามวันก่อน ที่คอนโดใหม่ที่เราอยู่มาได้ประมาณสามเดือน มีเมลหาลูกบ้านทุกคนแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้น ว่ามีห้องนึงโดนงัดเข้าบ้าน ถูกขโมยของไปตามระเบียบ เจ้าของห้อง (ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร หรืออยู่ชั้นไหน) บอกว่าโดนขโมยพวก Jewelry ไป รายละเอียดบอกว่า โจรที่มันมามาตอนกลางวัน เพราะส่วนใหญ่คนอยู่คอนโดก็เป็นพวกพนังกงานออฟฟิศ 8-5 กันทั้งนั้น

เค้ากะเวลาว่าน่าจะเข้ากลางวันแน่นอน เพราะเจ้าของห้องไม่อยู่ช่วง 8.30-5.30  วิธีที่มันทำคือมันเอาตาแมวออกเพื่อมองว่าไม่มีคนอยู่ในห้อง ??!!  เนื้อความใน email จากออฟฟิศก็แนวว่าให้ระวังคนเข้าคนออก อย่าเปิดประตูให้ใครเข้าสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าเห็นใครทำตัวแปลกๆ หรือดูเหมือนพยามแอบเข้า ดูไม่น่าไว้ใจให้แจ้งตำรวจ หรือ Front Desk

ความเดิมที่เรามีประวัติแนวนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะระแวงขึ้นมานิดส์นึง ภาพเก่าก็ Flashback ขึ้นมา
(แต่ก็นั่นแหละ ยังกินได้นอนหลับ เหมือนไม่มีอะไร)

ติดตามอ่านเรื่องที่เคยเกิดขึ้นได้ที่  เหตุการณ์โดนโจรปล้น บุกประชิดตัว

ทีนี้ก็เลยได้ทีลองกลับไปเช็คพวก crime map อีกครั้ง
(เพิ่งได้ความรู้ใหม่ว่าแต่ละเขต หรือแต่ละรัฐก็จะมีคนละเวบกัน ไม่ได้แชร์กัน)

เวบนี้เป็นเวบของ county หรือเขตของเรา คือ SportCrime สำหรับเวลามีเรื่องอาชญากรรมเกิดขึ้น คุณตำรวจก็จะมีพวกเลขคดี ที่เกิดเหตุ และลักษณะอาชญากรรมแบบย่อๆ ตามแผนที่ เพื่อให้เราเข้าไปเช็คได้ ว่าถิ่นที่อยู่ที่เราอยู่นั่นมีอาชญากรรมอะไรบ้างมั้ย



ที่เห็นขึ้นมาคือถิ่นที่อยู่ปัจจุบันของเรา ไม่มากไม่น้อย 51 คดีภายในหกเดือน (ถึงแม้จะเป็นถิ่นที่ค่อนข้างสมฐานะราชนิกูลแล้วก็ตาม 555) แต่เท่าที่ดูก็เป็นคดีลักทรัพย์ ย่องเบาซะส่วนใหญ่

มาดุ Downtown ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งธุรกิจกันบ้าง  ในช่วงเวลาเดียวกันมีเกิดคดีทั้งหมด 97 คดี
(แต่พื้นที่ downtown เล็กกว่ามาก) เค้านึงว่ากันว่า downtown Atlanta ค่อนข้างอันตราย

อ้อ ไอ้รูปคนเดินๆ เนี่ยหมายถึง Theft หรือ การลักทรัพย์ขโมยแบบไม่มีคนเห็น หรือเจ้าของไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ส่วนรูปตัวดำๆถือถุง คือ Robbery หรือ การปล้นหรือขู่กรรโชกเพื่อเอาของไปในขณะที่เจ้าของอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ทำร้ายร่างกาย  ส่วนรูปกำปั้นคือเจ้าของโดนเลยแหละ


กลับไปย้อนดูถิ่นที่เราเคยอยู่ อยู่มาจะปีนึงก็ได้ยินข่าวว่าโดนย่องเบาบ้าง ไม่ได้ใส่ใจอะไรจนมันเกิดขึ้นกับตัวเอง  ตอนเกืดเรื่องกับเราเมื่อเดือนกันยายน เราเช็คแผนที่จากเวบเดียวกันนี้กลับไปหกเดือน ก็ไม่ได้มีหนาตาน่ากลัวอะไร (แต่ไม่ได้คลีนเหมือนที่อยู่ปัจจุบัน)

แต่ตอนนี้สิ.... พรวดเป็นดอกเห็ด มันดูจะน่ากลัวเกินไปมั้ยนะ กับช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา
เห็นจาก map แบบนี้คงไม่กล้าอยู่ แต่จริงๆ แล้วมันเงียบสงบ ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ไม่ได้แบบเดินไปแล้วต้องพกปืนอะไรแบบนั้นนะ -_-"  ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องย่องเบาเนี่ยแหละ ดูได้จากสัญลักษณ์ที่เป็นที่ปิดหน้าโจร  ส่วนรูปรถคือกรณีถูกงัดรถ แงะรถ  รูปมือที่ทำกำปั้นคือ Battery Charge หมายถึงโดนทำร้ายร่างกาย ประชิดตัว ทำนองนั้น

ช่างเป็นเมืองที่น่ากลัวเหลือเกิน T_T แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะ Atlanta เป็น 1 ใน top5 ที่ถูกจัดให้เป็น Dangerous City ที่สุดมาหลายปีติดแล้ว




เราว่าที่ area เดิมที่เราอยู่มีสถิติที่สูงกว่า เพราะ

1) เป็น ถิ่นสำหรับ apartment ให้เช่า คือทั้งถนนเนี่ย เป็น Apartment complex ทั้งหมด แล้วก็คั่นด้วย supermarket/ ร้านอาหารบ้างเท่านั้น  แล้วพวกนี้คือไม่มีการขายขาด เจ้าของ apartment มีรายได้จากการปล่อยเช่าเท่านั้น ในขณะที่สัญญาก็จะมีอายุสั้นมากคือภายใน 1 -3 ปี คนเลยย้ายเข้าย้ายออกตลอด

2) ราคาไม่แพงมาก เพราะไม่ได้อยู่ส่วนที่เป็น metro งั้นก็คงปฎิเสธไม่ได้ ว่า ของแพง ย่อมมี "แนวโน้ม" ที่จะดีกว่า การจ่ายค่าเช่า หรือค่าบ้านที่แพงกว่า อาจเป็นแนวโน้มของความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า (แต่ไม่เสมอไป)

3) ผู้อยู่อาศัย สิ่งที่เราเห็นต่างกันเลยคือ ทีเดิมของเรามีคนเม็กซิกันเยอะมาก ไม่ได้ดูถูกหรือ Racist อะไรแต่อย่างใด เพียงแต่โดยรวมประชากรชั้นแรงงานใน Atlanta คือคนเม็กซิกัน หมายถึง ทำร้านอาหาร ทำงานเป็น maid ใช้แรงงาน ค่าจ้างรายวันอะไรประมาณนี้นะ (โดยส่วนใหญ่)
คอนโดใหม่ของเราเลยแทบไม่เคยเห็นคนเม็กซิกันเลย

แต่ถามว่าคนดำน่ากลัวไหม? แล้วเรากลัวไหม? เพราะคนที่เคยเข้ามาปล้นเราเป็นคนดำ

คอนโดใหม่เราก็มีคนดำ เราว่ามันกลายเป็น blend ที่เลี่ยงไม่ได้ในสังคมอเมริกัน ถึงแม้สัดส่วนคนขาวที่คอนโดใหม่จะเยอะกว่ามากๆ แล้วก็ดูมีคนแต่งตัวดีๆ เป็น yuppies (อารมณ์ white collar) อยู่มาก ก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าเค้ารายได้ดี ไม่มีหนี้ ประวัติใสสะอาดนินา

มันแสดงให้เห็นว่า area ที่เคยโอเค กลับน่ากลัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
คนที่เคยอยู่กันสบายๆ กลับมีโจรมาเยือนเยอะขึ้น ? คนจน คนตกงานมีมากขึ้น?


จริงๆแล้วอย่างคอนโดที่เรามาอยู่ใหม่ก็จัดว่าเป็น luxurious condo ได้ในระดับนึงเลยล่ะ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าของซื้อขาด ระบบ Security ก็มี key card, ที่จอดรถใต้ตึกก็ต้องมีรีโมท และมีลูกกรงกั้น
ส่วนคนแปลกน้าถ้าไม่มีคีย์การ์ดก็จะเข้าฟิตเนส เข้าไปสระว่ายน้ำ เข้าโซนห้องอยู่อาศัยไม่ได้ มี Front Desk เฝ้าที่ลอบบี้ตลอด 24 ชั่วโมง ก็ดูเหมือนทุกอย่างน่าจะดี แล้วจากคุณลุงเจ้าของห้องที่ให้เราเช่าห้อง (ซึ่งเป็นคนไทย) เค้าก็บอกว่าซื้อคอนโดมาสองสามปี ไม่เคยได้ยินข่าวอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเลย

เราก็นะ พาความโชคร้ายมาให้คอนโดนี้ป่าวว๊าาา

Tuesday, November 27, 2012

Approaching the last periods

ตอนนี้เพื่อนๆ ทุกคนที่มาเริ่มงานที่อเมริกาพร้อมกันก็เริ่มนับ count down กันแล้ว ถึงแม้จะมีเพื่อนบางส่วนที่ตัดสินใจ extend ต่อไปอีกถึงปี 2014 แต่เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ขออยู่ต่อ (ด้วยเหตุผลส่วนตั๊วส่วนตัว 555)

น่าเสียดายเหมือนกัน เพราะออฟฟิศ Atlanta เป็นหนึ่งในออฟฟิศที่อยากให้ชาวกะเหรี่ยงอย่างเราอยู่ต่อ ตอนแรกๆ Resource Planning Team เค้าก็ถามเหมือนกันว่าอยากต่ออีกซัก YE มั้ย เพราะก็ดีสำหรับเค้าที่ไม่ต้องหาเด็กใหม่มาทำจ๊อบ แต่เราว่ากลับบ้านดีกว่า เที่ยวก็ค่อนข้างพอแล้ว เงินก็เก็บได้พอควรแล้ว ช๊อปจนหมดมุก (หมดเงินมากกว่า) แล้ว ก็น่าจะ fulfill ความฝัน สนอง need ได้ในระดับหนึ่งกับเวลาเกือบสองปีที่นี่

เพื่อนสนิทของเราเป็นคนสิงคโปร์ จริงๆอยู่ออฟฟิศบ้านนอก แต่สุดท้ายก็คุยจนได้ย้ายไปอยู่ NYC แล้ว และที่สำคัญได้อยู่กับแฟนด้วย >_<  แต่เราไม่มี mode แบบย้ายไปอยู่กับใครนิหน่า อยู่หัวเดียวกระเทียมลีบต่อไป ในขณะที่เพื่อนทุกคนที่ hang out ด้วยก็ทยอยกลับบ้านคงไม่สนุกเท่าไหร่

Thanksgiving ที่ผ่านมาไปหาเพื่อนที่นิวยอร์ค สภาพชีวิตชาวเมืองช่างแตกต่างกับเรายิ่งนัก ทำงานกันจนดึกดื่น (หรือเราเองที่ไม่เครียด) ไม่ค่อยมีใครได้ไปทำอะไรตอน weekend เท่าไหร่ เพราะต้องทำงานที่ค้าง แล้วการใช้ชีวิตก็แพงแสนแพง ไม่มีรถขับ ที่พักเล็กๆ ทุกคนแออัดเบียดเสียด

โอ้ยยย ไปมาห้าวันรู้สึกเหนื่อยกับชีวิตเมืองเหลือเกิน (อีบ้านนอกอย่างเรา 555) ลืมไปว่ากลับไปเมืองไทยก็ต้องไปเบียดกับผู้คนบน BTS ต้องแย่งขึ้นรถเมล์ ขับรถก็ต้องแย่งถนน แย่งพื้นที่หายใจ แย่งร้านกินข้าว เราอยู่สบายๆมาจะสองปีเนี่ย มัน spoil ชีวิตเรามากๆเลยนะเนี่ย

ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบ Atlanta เท่าไหร่ เพราะมันไม่ค่อยมีอะไร (และไม่มีใคร) อยู่ที่นี่นัก แต่พอไปเมืองที่วุ่นวายกลับมา Atlanta ก็เริ่มเห็นข้อดีของเมืองนี้ไม่น้อยแฮะ ก็เมืองที่เราอยู่


  • ไม่มี hurricane Sandy ที่ต้องตัดไฟ ทำงานไม่ได้เป็นอาทิตย์
  • ไม่มีหิมะ ลูกเห็บ ให้รู็สึกหนาวจับใจ โดยเฉพาะเวลาต้องเดินกลับบ้านจาก subway
  • มีรถให้ขับร้านค้าห่างกันแค่คืบ ก็ขับรถ ไม่เดินเสียล่ะ (ขี้เกียจ) 
  • ไม่ต้องแบกคอมขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ เหนื่อยก็เหนื่อย เมื่อยก็เมื่อย อยู่ Atlanta แบกคอมจากรถขึ้นไปออฟฟิศเท่านั้นเอง
  • มี Chick-Fil-a ให้กิน กลับไปเมืองไทยคงคิดถึง milkshake น่าดู
  • มี Grocery stores/ Walmart เต็มไปหมด เมืองใหญ่ๆ ของก็แพง มีให้เลือกน้อย แถมเวลาซื้ออะไรต้องหิ้วแล้วเดินกลับบ้านเองอีก (มาแนวขึ้เกียจอีกแระ)
  • ชีวิตไม่เร่งรีบ เข้างาน 8.30-9am ลูกค้าเลิกงานกันไม่เกิน 5.30pm ทำงานไม่ดึกถึงขั้นตีๆ หรือโต้รุ่ง
  • มีรถไฟฟ้า และรถเมล์ใช้ แต่ก็ไม่สับสนเยอะเกินเหมือน โตเกียว หรือนิวยอร์ค (ซับซ้อนน้อยกว่า BTS อีกแน่ะ)
จริงๆลิสต์มาดูเหมือนจะหาข้อดีอะไรอื่นนอกจากความสะดวกสบายไม่ได้เลย

ดูเหมือนจะติดสบายจริงๆแล้วสินะ เรา! -_-"


Wednesday, November 14, 2012

Penpal

เพื่อนทางจดหมาย...

เมื่อปีที่แล้วไปทำจ๊อบที่ Ohio เป็นจ๊อบชั่วคราวที่ไม่ใช่ของออฟฟิศเรา ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ manager เด็กๆ จากหลายๆออฟฟิศที่ทุกคนต่างก็รู้ว่านี่เป็นวาระ "ขาจร" เท่านั้น จนถึงตอนนี้ก็เวียนมาบรรจบครบหนึ่งปีพอดี (เร็วมากกก) คนที่เคยทำจ๊อบนั้นกว่าครึ่งลาออกไปทำอย่างอื่นกันหมดแล้ว เช่น Senior Manager ที่เคยทำงานด้วยทั้งหมด 4 คน ตอนนี้เหลืออยู่คนเดียว  Senior ที่ทำงานด้วยประมาณ 6 คน ตอนนี้ก็เหลือคนเดียว ไม่นับรวมถึงเด็กๆ ระดับปีหนึ่งปีสองต่างก็กระจัดกระจายกันไปตามวาระและโชคชะตา

วันนี้อยากจะเขียนถึงเพื่อนคนนึงที่มิตรภาพของเราสองคนตลกดี เหมือนในการ์ตูน หรือนิยายเลย
เพื่อนคนนี้เป็นผู้ชายชาวฝรั่งมาจากออฟฟิศอลาสก้า แว๊บแรกที่ได้ยินว่าเค้ามาจากออฟฟิศไหน ทุกคนก็ต่างอยากเข้าไปคุยกับเค้าว่า เฮ้ย เห็นหมีขาวทุกวันมั้ย หนาวมากมั้ย นู่นนั่นนี่ แต่เค้าเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่งเอาซะเลย แทบไม่เคยเห็นเค้าเริ่มการสนทนาคุยกับใครก่อนยกเว้นเรื่องกีฬาตามประสาของคนที่นี่ เราทำงานด้วยกัน นั่งข้างๆกันเรียกว่าเก้าอี้ถัดกันเลยทีเดียวอยู่ด้วยกันเกือบสามเดือนแต่คุยกันน้อยมากกกก ไม่นับรวมถึงเรื่อง hangout นอกเวลางานว่าไม่เคย นอกจากมี team dinner

ความเห็นของเรา เค้าเหมือนเจ้าชายเย็นชาในการ์ตูนเลย ที่แบบไม่ค่อยพูดกับใคร เย็นชา ดูมีความลับอะไรทำนองนั้น เพียงแต่เค้าไม่ได้หล่ออะไร 555 แล้วเรื่องนี้ก็ไม่มีเรื่องรักใคร่มาเกี่ยวข้องด้วย (นี่ไม่ใช่เรื่อง The Letter)  ทำงานด้วยกันทั้งวันทั้งคืน จับประเด็นแค่ว่า เค้าเลือกไปอยู่อลาสก้าเอง เพราะอยากอยู่เงียบๆคนเดียว (ว่าแล้วไง เป็นพวกแอนตี้สังคมปะนั่น) แล้วเสาร์อาทิตย์งานอดิเรกของฮีก็คือไปคาสิโนเล่นได้บ้างเสียบ้าง ไปท่องเที่ยว (คนเดียว)  คนในจ๊อบเค้าเลือกพักโรงแรม A กัน ฮีก็จะพักแต่โรงแรม B ไม่สนใจใคร ตอนกลางวันเค้าออกไปกินข้าวกัน ฮีก็ประหยัดตัง กินแซนด์วิชกับ turkey ham จันทร์ถึงศุกร์ เหมือนเดิมทุกวัน -_-"

พอจบจ๊อบก็คิดว่าเราคงจบและจากกันไป คงไม่ได้ติดต่อกันอีกแล้ว เพื่อนบางคนที่สนิทกันที่จ๊อบก็จะ add Facebook กัน ถึงจะอยู่คนละออฟฟิศและไม่มีโอกาสเจอกันอีกแล้ว แต่ก็ยังพอเผือกผ่าน FB ได้

แต่น่าแปลกที่เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ที่เราสองคนเริ่มเขียน email หากัน (โดยใช้เมลบริษัท -_-") เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาทั่วไป เช่น ตอนนี้ทำจ๊อบไหน ไปเที่ยวไหนบ้าง วันหยุดจะไปไหน ใครอยากจะเล่าอะไรก็เล่า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเมลสั้นๆ สองถึงสามบรรทัด หรือ 1-2 paragraph ตามโอกาส

เรื่องที่แปลกกว่านั้นคือ เราไม่ได้เมลหากันบ่อย ทั้งๆที่ต่างคนก็ต่างมี office communicator (คือโปรแกรมแชทในออฟฟิศ) ซึ่งทั้งเราและเค้าก็เป็นพวกที่ออนไลน์กันตลอด แต่ไม่มีใครคิด add ใคร
ไม่เคยขอ Facebook ไม่เคยแชทผ่าน iphone (ถึงทั้งเราและเค้าจะมี iphone และส่งข้อความกันฟรี)
ไม่เคยโทรคุยกัน ไม่เคยขอเมลส่วนตัว

และที่แปลกที่สุดคือ เวลาที่เราทั้งสองคนเจอเรื่องร้ายๆ จะเป็นช่วงที่เราหรือเค้าส่งเมลหากันพอดี ทั้งๆ ที่เมลหากันแค่เดือนละครั้ง หรือสองเดือนครั้งเท่านั้น (และไม่ได้คุยแบบสนิทกันเสียเลย)

ครั้งนึง เค้าบอกว่า เค้าช๊อกมาก ที่วิ่งอยู่ที่ฟิตเนสโรงแรม แล้วคนข้างๆ ล้มลงหัวใจวายตาย O_O

อีกครั้งนึง เค้าบอกว่า เค้ามัวแต่ยุ่งๆ ไปงานศพพ่อ!! เฮ่ยยย

ส่วนเรา หลังจากที่เกิดเรื่องโดนโจรบุก หลักจากนั้นไม่กี่่วันเค้าก็เมลมาถามว่า เป็นไงบ้าง ไม่ได้เมลหานาน เลยอยากจะลองถามดูว่าทุกอย่างโอเคมั้ย

มันเหมือนมี sense of friendship หรืออะไรแปลกๆ ซักอย่าง ที่พูดไม่ถูกเหมือนกัน เหมือนเป็นมุมเล็กๆ เป็นคนๆนึง ที่เราไม่ได้อยากรู้จักเค้าไปมากกว่านี้ ไม่ได้อยากสนิทมากกว่านี้ แต่ก็ยินดีที่จะแชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นบ้างตามประสา  เราว่ามันเป็นภาพหนึ่งของความทรงจำที่น่ารัก แล้วก็สวยงามดี

ใครเคยมีอะไรแบบนี้บ้างไหม?

มันไม่ใช่ความรัก หรือความโรแมนติก หรือมิตรภาพที่หยั่งลึกอะไร แต่มันเหมือนเป็นคนไกลๆ ที่อาจจะมีอะไรบางอย่างเหมือนกัน

ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกตลอดชีวิตนี้ แต่ก็ดีใจที่เราได้เป็น "เพื่อนทางจดหมาย" กันนะ!

Thank you!

Wednesday, November 7, 2012

Are you Democrat or Republican?

เข้าหัวเรื่องการเมืองเสียหน่อย ช่วงนี้กำลังฮอต

จริงๆ เราจัดเป็นประเภทด้อยประสบการณ์ อ่อนความรู้ด้านการเมืองมากกกกก

ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ขนาดบ้านเมืองตัวเองยังไม่ค่อยจะรู้อะไรเท่าไหร่เล้ยย ประวัติศาสตร์ชาติไทยก็เรียนเพื่อสอบ ไม่ได้ซึมซับเข้าสมองแม้แต่น้อย ไอ้เรื่องชื่อ รมต ใครคุมกระทรวงไหนอะไรยังไง แบบที่ปะป๊าเราจำได้ซะแม่นยำไม่ว่ากี่สมัยต่อกี่สมัย ส่วนตัวเรานั้น อย่ามาถาม ไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ

การเมืองเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย เปลี่ยนบ่อยจนขี้เกียจติดตาม ติดตามแล้วก็ไม่รู้สึกว่าได้อะไรขึ้นมา

พอมาอยู่อเมริกา ก็จะเหลือเรอะะะ  ที่เค้าฮิตๆ กันช่วงนี้จริงๆก็เกือบไม่ตามกระแสแล้ว แต่เรื่องน่าโมโหมันคือ ช่วงนี้เริ่มติด Series ตั้งแต่มีทีวีดู ก็จะดู ABC เป็นประจำ

อังคารที่แล้ว ตั้งหน้าตั้งตาดู Private Practice เต็มที่ เปิดมาา ผ่างงงงง กลายเป็น Vice Presidential Debate ซะงั้น พอเปิดทีวีแล้วก็ขี้เกียจปิด เลยดูว่าเค้าคุยอะไรกัน ปรากฎว่าฟังไปซักพักก็น่าสนุกดี เค้าก็ Debate กันมันส์มากก เหมือนโต้วาทีสมัยเรียนเลยแฮะ ^^"

พอดูจบก็เลยหาข้อมูลจาก Wikipedia เล็กน้อยเพื่อ wrap-up ว่าประเด็นมีอะไรบ้าง แล้วก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ว่า ถ้าเราเป็นคนอเมริกัน มีสิทธิ์โหวตเนี่ย เราจะเป็น Democrat หรือ Republican กันน๊า??

ก่อนอื่นมาดูคนอเมริกัน โดยเฉพาะรัฐที่เราอยู่ ว่าเค้านิยมฝั่งไหนกันบ้าง

อย่างรัฐ Georgia ของเรา ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเป็น สีแดง Republican แน่นอน รวมถึงรัฐโซนกลางๆ เทือกป่าเขาลำเนาไพร ส่วนใหญ่จะเลือก Republican เป็นสีแดง ประเทศนี้เค้า แดง น้ำเงิน เนอะ ไม่ใช่ เหลือ แดง หุหุ

พออ่านดูแล้วก็เลยไปทำ quiz มากมายที่มีอยู่ตามเนต ที่จะช่วยทดสอบว่าเราเป็น Democrat/ Republican

ใครที่สับสนว่าใครเป็นใคร ถ้า Democrat ให้นึกถึงหน้า Obama ไว้
ส่วน Republican ก็ให้นึกถึงหน้า Josh Bush, Mitt Romney  ประมาณนั้น

ตัวแบ่งแยกที่ค่อนข้างชัดเจนเช่น

การทำแท้ง
ถ้าคุณเห็นด้วย เรื่องการทำแท้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ว่าแม่มีสิทธิ์เลือกที่จะทำแท้ง หรือไม่ทำก็ได้ (เพราะเชื่อว่า เป็นสิทธิของผู้หญิงทุกคน) เช่น ถ้าเราคิดว่ามีลูกตอนนี้ไม่พร้อม ยังเรียนไม่จบ ทำให้เสียอนาคต แล้วไม่ได้รู้สึกผิดบาปกับการทำแท้ง หรือกรณีที่แย่มากๆ เช่น อัลตร้าซาวน์แล้วรู้แน่นอน ว่าลูกเกิดมาปญอ พิการ หรืออาจจะเป็นผักไปตลอดชีวิต เกิดมาสามปีก็น่าจะตาย (เช่นพวกปัญหาพันธุกรรม) ก็น่าจะอนุญาตให้ทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมาย ก็จะไปฝั่ง Democrat

แต่ถ้าคุณเชื่อว่า การทำแท้งควรทำเมื่อมีเหตุจำเป็นสุดๆ เท่านั้น เช่นถ้าไม่ทำแล้วแม่จะเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือว่า ตั้งครรภ์เพราะโดนข่มขืน ถ้าคุณมีความเห็นแนวนี้ (ใกล้เคียงศาสนาพุทธเนอะ) ก็จะเป็นฝั่ง Republican

อนึ่ง กฎหมายทำแท้งของอเมริกาตอนนี้ก็ค่อนข้าง strict อยู่เหมือนกัน จริงๆ แล้วการทำแท้งที่ถูกกฎหมายสำหรับทุกรัฐ คือกรณี โดนข่มขืน หรือเป็นภัยต่อแม่เท่านั้น

การพกปืน
ถ้าคุณเห็นว่าการพกปืน ควรมีกฎหมายควบคุมอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ใครทุกคนก็มีปืนได้ คุณน่าจะเป็นแนว Democrat แต่ถ้าคุณคิดว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะพกปืน เพื่อปกป้องชีวิต และครอบครัว ภายใต้การถือปืนอย่างถูกกฎหมาย คุณก็จะเป็นแนว Republican

Same sex marriage
ถ้าคุณเห็นว่าเพศที่สาม หรือเกย์ หรือเลสเบี้ยน ก็น่าจะมีสิทธิเท่าเทียมในการแต่งงาน อยู่กินกันอย่างถูกกฎหมาย (เช่น ถ้าคนนึงตาย อีกคนก็ได้มรดกแบบถูกกฎหมาย) หรือการหักลดหย่อนภาษีของคู่สามีภรรยา ก็น่าจะให้ ญรักญ ชรักช มีผลบังคับได้ด้วย คุณก็น่าจะเป็น Democrat แต่ถ้าคุณคิดว่า เฮ้ย แต่งงานก็ต้อง ญช เท่านั้นสิ จะผิดธรรมชาติได้ไง (แถมเปลืองภาษีเพิ่มขึ้นด้วย) คุณก็จเป็น Republican

การศึกษา
ถ้าคุณเห็นตามที่เป็นมาว่า เด็กๆ ก็ต้องเรียนใกล้บ้าน ถึงจะได้เรียนฟรี ได้เงินสนับสนุน (แล้วบางทีพ่อแม่ก็ต้องดิ้นรนย้ายบ้านย้ายช่องเพื่อให้ลูกได้เข้ารร ดีๆ) ถ้าอยากเรียนเอกชน ก็เรียกว่าเป็นทางเลือกที่พ่อแม่ยอมจ่ายตังเพิ่มเอง คุณก็น่าจะเป็น Democrat แต่ถ้าคุณเห็นว่า พ่อแม่น่าจะมีทางเลือก เช่น ได้รับเงินช่วยเหลือ ถ้าเลือกเรียนเอกชน หรือจะเป็น Home school หรืออะไรก็แล้วแต่ ควรเป็นทางเลือกของพ่อแม่ ไม่ใช่รัฐบาลบังคับ คุณก็น่าจะไปแนว Republican

Affirmative Policy
ถ้าคุณคิดว่าสังคมเรา การรับคนเข้าเรียน เข้าทำงาน ควรจัดโควต้าให้บ้าง เช่น ให้ชนกลุ่มน้อย (อีกะเหรี่ยงอย่างเรา) หรือให้ โควต้าผสมระหว่างผู้หญิง ผู้ชาย ในองค์การ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย และให้โอกาส คุณก็จะเป็นแนว Democrat แต่ถ้าคุณคิดว่า ใครดีใครได้ ถ้าคุณไม่เก่งพอ ก็ไม่ต้องทำงาน การที่ต้องมาแบ่งโควต้าสำหรับผู้หญิง สำหรับชนกลุ่มน้อย ก็เป็นการปิดโอกาสคนที่มีความสามารถไป (อืมม อันนี้ก็มีเหตุผลนะ สมมติว่า ออฟฟิศรับพนงใหม่ 10 คน โควต้า ชายครึ่ง หญิงครึ่ง แต่ว่ามีแต่ผู้หญิงที่ทำคะแนนได้น้อยกว่า ถ้าเราเป็นผชคนที่ 6 แล้วต้องเสียสิทธิให้คนที่เก่งน้อยกว่า เพราะเค้าเป็นผู้หญิงจะรู้สึกยังไง)  ถ้าคุณคิดว่าคนเราควรมีสิทธิเท่าเทียม คุณก็น่าจะเป็น Republican

เรื่องการเมืองไม่ค่อยสน ใครจะบุกใครก็ช่างแม่มมมม แหะๆ

นอกน้นก็มีเรื่องนโยบายการขุดเจาะน้ำมัน นโยบายเพิ่มลด Deficit นโยบายภาษี ฯลฯ
ขอบอกว่ามันส์ส์ส์

ถ้าใครอยากรู้ก็ลองทำ quiz ดู เช่น
http://politicalquiz.net/  อันนี้ค่อนข้างดีเลย ไม่ใช่บอกแค่ว่าเราอยู่ฝ่ายไหน แต่วิเคราะห์ด้วย ว่ามุมมองการเมืองเราเป็นแนวไหน
http://www.gotoquiz.com/republican_or_democrat_1
http://www.selectsmart.com/plus/select.php?url=americanpolitic

หันไปถามเด็กในจ๊อบข้างๆ เด็กมันตอบหน้าตาย ว่า I เป็น Republican แล้วคนส่วนใหญ่ในรัฐนี้ก็เป็น (อย่างไม่ต้องสงสัย)


แต่ว่า ประกาศผลออกมาแล้วว่า Obama ชนะ ก็แห้วกันไป :(


จากที่เคยไกล ก็ใกล้นิดเดียว

จั่วหัวดูเหมือนจะเป็นเรื่องความรัก แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่อยากจะเขียนถึงเป็นเรื่องงานล้วนๆเลย

อาทิตย์นี้เจอโรคเลื่อน เลยมีเวลาว่างไม่ต้องไปทำงานที่ลูกค้าสองถึงสามวัน ทาง Resource Planning Team ก็เลยจัดงานด่วนเพื่อไม่ให้กะเหรี่ยงอย่างเราต้องอยู่เดียวดาย

ปรากฎว่างานที่จัดให้ คือให้ไปนับ Stock จ้าา  สำหรับที่นี่การที่ให้ senior อย่างเราไปนับถือเป็นเรื่องแปลก เพราะการนับสต๊อกถือเป็นเรื่องสำหรับเด็กน้อยปีสองปีแรกเท่านั้น ถ้าใครได้เป็น senior แล้ว ก็มีหน้าที่วางแผน ติดต่อเด็กเท่านั้น แต่ในเมื่อศุกร์นี้เราว่าง แล้วคนขาดพอดี เค้าก็เลยจัดการส่งเราไป

เห็นชื่อลูกค้าแล้วตกใจ เป็นบริษัท FMCG บริษัทแม่อยู่สวิซ ที่ผลิตหลายอย่างตั้งแต่ กาแฟ นม ไอติม น้ำดื่ม (เออ น่าจะรู้แล้วนะว่าบริษัทอะไร) คราวนี้ได้รับมอบหมายให้ไปนับโรงงานผลิตน้ำ ที่ตกใจก็คือ
จริงๆแล้วออฟฟิศที่ Atlanta ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวกับบริษัทนี้ ออฟฟิศที่ได้ทำการตรวจสอบจริงๆอยู่ที่ Connecticut แต่ด้วยความที่อยู่ไกลจากโรงงานซึ่งอยู่มาซะใต้เชียว ก็เลยมีการหยิบยืมสตาฟกันให้ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ที่สำคัญคือ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่เราเคยตรวจสมัยอยู่เมืองไทย ย้อนกลับไปสามสี่ปีที่แล้วก็เคยมีได้ไปนับสต๊อกโรงงานผลิตน้ำเหมือนกัน

อยู่เฉยๆ ก็เลยนึกขึ้นมา ว่าสิ่งที่เคยมองมาจากไกลๆ สมัยทำอยู่ออฟฟิศที่เมืองไทย เคยคิดเคยสงสัย ว่าคนที่นี่เค้าทำงานกันยัง ส่วนใหญ่เป็นบริษัทแม่ มีลูกมากมายอยู่ทั่วโลก ตอนเค้าวางแผน ทำ audit instruction มันเป็นสภาพแบบไหน ทีมงานใหญ่มั้ย ทำงานกันดึกมั้ย

ตอนที่อยู่เมืองไทย เคยอยากรู้ อยากได้มาสัมผัสมาพบเจอด้วยตัวเอง แล้วก็ดีใจจังที่ได้มีโอกาสมาเห็นมาสัมผัส เข้ามาใกล้ๆ ในสิ่งที่เราเคยคิดว่าไกลแสนไกล

พอมาเห็น ก็รู้สึกว่าระบบการทำงานเค้าแตกต่างกับของเราจริงๆ ระบบการคิดการจัดการ ก็เรียกได้ว่าต่างกันเป็นอย่างมาก ที่เห็นได้ชัดเลยคือ การนับสต๊อกของที่นี่จะต้องมีการฝึกฝน! คือเด็กที่เข้ามาใหม่ๆ จะไม่มีให้ไปนับเองคนเดียว ออกจ๊อบคนเดียว แต่จะต้องให้ไปกับคนที่มีประสบการณ์ (อะไรจะขนาดน้านนน) หรือเรียกว่าไปทำการ shadow คือไปสังเกต เรียนรู้ตามรุ่นพี่นั่นเอง  แล้วการนับสต๊อกที่นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเหมือนเมืองไทยเลย เพราะมีความรับผิดชอบที่ตามมามากมาย ต้องทำ cut off, complete inventory count instruction, memo เก็บเอกสาร ทำทุกอย่างแต่ต้นจนจบจริงๆ รายละเอียดต้องเก็บครบ ว่าก่อนนับ เวลานับ หลังนับ ตาม instruction เป๊ะๆ

กว่าจะได้ไปนับกันแต่ละงานต้องมีการคุย brief งาน ว่า จะนับอะไร กี่ชิ้น นับอันไกน เจอใครบ้าง ต้องไปถามอะไร ละเอียดมากกกกก

นึกถึงสมัยที่เราเป็นเด็กๆ ที่นับสต๊อก ไปแค่นับๆ แล้วกลับ พี่ senior/ in-charge ก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวพี่จัดการเอง นึกถึงตอนนั้นแล้ว โหหห ทำกันไปได้เนอะ

อีกอย่างที่ชอบก็คือ ชอบการประชุม และ planning ที่นี่จัง เราอาจจะแปลก เพราะชอบทำ planning มากกว่าการลงมือทำเพื่อหาความท้าทายตื่นเต้น ถ้าเป็นเรื่องงานก็อยากจุะรู้ทุกอย่างล่วงหน้าให้มากที่สุด พอมาที่นี่ทุกทีมจะมีการวางแผนงาน มี partner manager เข้ามาพูดคุยเป็นชิ้นเป็นอัน manager เองก็ใส่ในในรายละเอียดค่อนข้างมาก ว่าอยากจะปรับปรุงอะไรตรงไหน ทุกคนรู้ขอบเขตหน้าที่ของตัวเอง เราชอบที่ manager ส่วนใหญ่เข้ามามีบทบาทในการช่วยทำ planning ช่วยเรื่องการสัมภาษณ์ลูกค้า หลายๆชิ้นงาน  manager ก็ลงมือทำเอง เก็บรายละเอียดเอง ส่วน partner ส่วนใหญ่ก็สามารถเข้าไปพูดคุย ถามปัญหา ให้ตัดสินใจอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้เลย (ถ้าไม่บ่อยเกินไป)

เหมือนกับว่าการทำงานมันมีการ communication ที่ชัดเจน และเปิดเผยกว่ามาก และการที่เป็นแบบนี้ เราว่าเรื่องดราม่าเวลาประเมินผลมันก็น้อยลงด้วย ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่น่าจะดราม่าเท่าเมืองไทยนะ :p

ส่วนเด็กๆ ก็ค่อนข้างทำงานกันรับผิดชอบมากทีเดียว อาจจะมีแอบทิ้งงานบ้าง แต่ถ้าจิกมันก็ทำ ส่วนใหญ่ก็เห็นเคารพ in-charge/ manager กันดี ความคิดที่เคยคิดว่าเด็กอเมริกามันคงพูดจาทำท่าทางข้ามหน้าข้ามตาไม่นับอายุ ก็ไม่เป็นเรื่องจริงเลย (เท่าที่เราพบเจอ)

ยังรู้สึกว่า Seniority มีทุกสังคม ทุกออฟฟิศ แต่มันเป็นความเกรงใจในแบบที่พอดี ไม่ใช่ความเกรงกลัว
อย่างเช่น manager ปฎิบัติกับลูกน้อง ก็พูดคุยได้ใกล้ชิดกว่า แต่ว่าเราก็ยังเกรงใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ห่างเหิน แต่ก็ไม่ได้เล่นหัว ความสัมพันธ์ระหว่าง manager กับ partner ก็เหมือนกัน คือมีความเกรงๆ เป็นอย่างมาก แต่ไม่มากถึงขนาดทำให้ปิดบังเรื่องต่างๆ หรือไม่พูดคุยกัน

เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งปีที่นี่แล้ว พอกลับไป ทุกอย่างมันก็คงกลายเป็นอดีตนั่นแหละ ที่เคยใกล้ ก็คงไกลห่างออกไปเรื่อยๆ แต่อย่างน้อยเราก็ยังยิ้มกับมัน ว่าวันหนึ่งวันนี้เราก็เคยมาอยู่ใกล้ๆ สิ่งที่เราคิดว่าไกลแล้วนะ :)

Thursday, October 11, 2012

After You-- Shibuya Honey Toast

อยู่เฉยๆ ก็อยากกิน Shibuya Honey Toast ของ After You ขึ้นมา

น่าแปลกที่กลับไปเมืองไทยเมื่อเดือนกันยาไม่นึกอยากกิน และไม่เคยอยู่ในลิสต์อาหารที่อยากกินอย่างเนื้อย่าง หรือ หอยลายผัดพริกเผา ทำนองนั้นเลย

แต่วันนี้อยู่เฉยๆ ก็อยากกินขึ้นมาแฮะ จริงๆ ทำขนมปังอบเนยราด maple syrup ก็น่าจะพอได้แฮะ เหมือนมีอุปกรณ์ในเมือครบทุกอย่างแล้ว เห็นทีจะต้องไปลองซื้อ Texas Toast มาลองทำดู

ควบคุมน้ำหนักทีไร อาการอยากขนมจะตามมาทันที >____<

ตอนนี้ออกกำลังกายจริงจังมาสองอาทิตย์ละ กล้ามแขนเริ่มขึ้น สู้เค้าต่อไป เพื่อแขนเฟิร์มๆ

Credit: google image link

Tuesday, October 9, 2012

ตอนที่ 2.3 ไม่เคยก็เคย กินแบบใต้ๆ สไตล์ นิวออลีนส์

New Orleans

เกิดมาเคยได้ยิน แต่ ปีกไก่นิวออลีนส์ ที่ขายที่พิซซ่าฮัท...



รู้ว่า Popeye มาจากนิวออลีนส์ เลยคิดว่าถ้ามานิวออลีนส์จะต้องมาชิมไก่ทอดให้ได้!



New Orleans เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในรัฐ Louisiana คนที่นี่เรียกย่อๆกันว่า NOLA (โนลา) มาจาก New Orleans, LA (ชื่อย่อรัฐ) ชื่อรัฐมีคำว่า หลุยส์ ก็น่าจะเป็นไกด์เล็กๆแล้วเนอะ ว่ารัฐนี้ได้อิทธิพลจากฝรั่งเศส ตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่เลยล่ะ

น่าแปลกที่เมืองนิวออลีนส์ดูเหมือนจะดังที่สุดสำหรับรัฐนี้ นักท่องเที่ยวก็มาเยอะที่สุด แต่ไม่ยักกะเป็นเมืองหลวง เมืองหลวงจริงๆคือ Baton Rouge ซึ่งแต่เดิมนิวออลีนส์ก็เป็นเมืองหลวง เมืองหลักล่ะ แต่ด้วยความที่เมืองโดนเฮอร์ริเคนกระหน่ำบ่อยมาก ก็เลยย้ายฐานราชการมาที่ Baton Rouge ซึ่งอยู่ประมาณ 40 นาทีจากเมืองนิวออลีนส์

ความพิเศษของนิวออลีนส์คือ เมืองทั้งเมืองมีกลิ่นอายฝรั่งเศสจ๋า เพราะได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแนวฝรั่งเศส ตามถนนหนทาง ก็จะมีรูป French Fleur-de-Lis  ที่เป็นสัญลักษณ์หลุยส์ เห็นได้ตามธง ตามเสาถนน ตามป้ายบอกทางต่างๆ


เราไปนิวออลีนส์สองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกไปทำกิจกรรมอาสาสมัคร ช่วยสร้างบ้านให้ผู้ประสบภัยจากพายุแคทรีน่า เมื่อปี 2005 โน่นแน่ะ คราวนั้นไปประมาณ 5 วัน ก็ได้เที่ยว highlights หลักๆ รวมถึงทัวร์จระเข้ ที่เป็นสัตว์ขึ้นชื่อของเมืองนี้ อีกครั้งก็ไปหาเพื่อนที่ Baton Rouge แล้วก็เข้าไป day trip ในเมือง ก็เลยเรียกว่าเที่ยวแบบ (เผินๆ) แต่ก็ค่อนข้าวทั่วแล้วแหละ

นิวออลีนส์กับจระเข้ 

มานิวออลีนส์ไม่ได้ทัวร์จระเข้ และไม่ได้กินเนื้อจระเข้ ก็เรียกว่ามาไม่ถึงนิวออลีนส์

ถามว่าทำไม จระเข้เยอะ? เนื่องจากนิวออลีนส์เป็นเมืองที่มีลักษณะเป็นถ้วย คือทรุดตรงกลาง (เหมือนสงขลา) เวลามีพายุ น้ำทะเล น้ำหนุนจากแม่น้ำ Mississippi ก็จะมาเข้าสะสมจมที่ถ้วยใบใหญ่ใบนี้ นานๆเข้า ก็กลายเป็นอ่างทะเลสาบขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า "Swamp" หรือหนองน้ำ ที่เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ ทั้งแมลง ยุง จระเข้ แต่จระเข้ที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราอะ บ้านเราเรียกว่า Crocodile แต่ที่นี่จะเป็น Alligator

google มา เค้าบอกว่า Alligator จะพบได้แค่ฝั่ง south east ของอเมริกา (คือแถบนิวออลีนส์เนี่ยแหละ) และบางส่วนในเมืองจีนเท่านั้น ในขณะที่ Crocodile จะพบได้ทั่วไป จุดเด่นของ Alligator ที่ต่างจาก crocodile ก็คือ เวลาที่ Alli ปิดปากจะปิดสนิท แต่ Croc จะมีฟันยื่นๆ ออกมา (น่ากลัววว)

ที่นี่มีเยอะ ก็เลยมีทัวร์แบบล่องเรือดู alligator เยอะแยะเลย  ที่สำคัญ Alli ที่นี่ชอบกินมาร์ชเมลโลด้วยแหละ เวลาไปทัวร์ล่องเรือ ไกด์ก็จะบรรยายไป จระเข้ก็จะว่ายสืบๆเข้ามา แล้วเราก็จะโยนมาร์ชเมลโลให้มันกิน ถามไกด์ เค้าบอกว่าจริงๆมันก็กินทุกอย่างอะแหละ ตั้งแต่เนื้อไก่ดิบๆ จนขนมอะไรก็ตาม แต่ที่นิยมให้มาร์ชเมลโล เพราะเค้าบอกกันว่าจระเข้มันตาไม่ค่อยดี ให้มาร์ชเมลโลมันก็ลอยๆ ในน้ำ จระเข้จะได้ว่ายมากิน แล้วก็โชว์แขกไปในตัวด้วย

พอเสร็จจากทัวร์ก็ต้องเรื่องของกิน

มานิวออลีนส์ ถ้าไม่ได้มากิน Cafe Du Monde ถือว่ามาไม่ถึงนิวออลีนส์!!!

คาเฟ่นี้เป็นแนวฝรั่งเศส อารมณ์นั่งจิบกาแฟ ฟังเพลงแจ๊ซ ของชื่อดังที่นี่ก็คือ โดนัทฝรั่งเศส จริงๆรสชาติก็คล้ายๆ ปาท่องโก๋แบบหวานบ้านเรา แต่มันจะไม่หวาน แล้วโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งแทน จิบกับกาแฟลาเต้ร้อนๆ ฟินสุดๆ สไตล์ที่โดดเด่นคือ พนักงานที่ร้าน ทั้งชายหญิงจะใส่เสื้อเชิ้ตขาว ผูกหูกระต่าย (ดูผู้ดีอย่างที่สุด) แล้วจะไม่รับบัตรเครดิต พนักงานจะรับเงินสดจากเรา แล้วเอาไปทอนที่แคชเชียร์

ร้านเต็มตลอดเวลา แย่งกันกิน แย่งกันนั่งเหลือเกิน ดังถึงขนาดมีขายสูตร ขายแป้งไว้ให้เอากลับไปทำกินเองที่บ้านด้วย ^^" แต่สำหรับเรา กินไปครั้งสองครั้งก็โอเคอะ ชอบปาท่องโก๋จิ้มนมข้นบ้านเรามากกว่า 5555



มานิวออลีนส์ ถ้าไม่ได้มาลิ้มลอง ไก่ทอดสไตล์นิวออลีนส์ ก็ถือว่ามาไม่ถึงนิวออลีนส์!!!

ตอนมาครั้งแรก หาป๊อปอายใหญ่เลย คิดว่าน่าจะมีให้เห็นทั่วไป (แนวว่าไป แคนตัคกี้ ต้องเห็นแต่ KFC ไป San Francisco ต้องเจอ Swensens ) ซึ่งถือเป็น "ความเชื่อที่ผิดๆ" เพราะในนิวออลีนส์เอง แทบไม่มีร้านแฟรนส์ไชส์ไก่ทอดมากอย่างที่คิดเลย เอาเข้าจริง ถ้ามาให้ถึง ก็ต้องไปลองร้านไก่ทอดเจ้าเด็ด แบบ homemade เนี่ยแหละ ซึ่งมีอยู่หลายร้านมากกกกกกก

ไก่ทอดนิวออลีนส์แต่ละร้านก็จะสไตล์ไม่เหมือนกัน บางทีก็นุ่ม บางที่ก็กรอบ น้ำมันไก่กัดเข้าไปไหลเยิ้ม
ไปนิวออลีนส์สองครั้ง ก็มีโอกาสได้ลองประมาณ 4 ร้าน ก็ไม่ผิดหวังซักร้านเลย กินแล้วน้ำตาไหล T__T


มานิวออลีนส์ ถ้าไม่ได้มาลิ้มลอง Cajun Food ก็ถือว่ามาไม่ถึงนิวออลีนส์!!!

อาหารของที่นี่ก็จัดว่าใต้ แต่ในทำนองเดียวกันก็จัดว่ามีลักษณะพิเศษ ที่โดดเด่นและจำเพาะเจาะจงกว่ามาก ถ้าพูดถึงอาหารที่มานิวออลีนส์แล้วต้องกิน นอกจากเนื้อจระเข้ เปิปพิสดาร (เนื้อกระต่าย ตับกระต่าย ฯลฯ) ก็เห็นทีจะต้องเป็นอาหาร Cajun เนี่ยแหละ เค้าบอกว่า Cajun ซึ่งคน Cajun ก็เป็นพวก Acadian อพยพมาจากแคนาดา ได้อิทธิพลมาจากฝรั่งเศส แล้วมาผสมกับคน Native American พื้นถิ่นออกมาเป็นอาหารจำเพาะ (งงมะ??)

มาดูหน้าตาอาหารกัน
1) broiled crawfish  หน้าตามันเหมือนกุ้งมังกรแบบย่อขนาด เห็นเผินๆก็คล้าย Lobster แต่จุดแรกที่ไม่ใช่เลย คือ Crawfish มันจับได้ตามหนองบึงเท่านั้น ออกจะเหม็นเดินหน่อยๆ ด้วยซ้ำ แกะเปลือกแกะกระดองออก (เหมือนเวลากินกุ้ง) ก็จะเหลือเนื้อเหมือนเนื้อกุ้งกุลาดำเล็กๆ เท่านั้น ส่วนหัวมันก็มีมันส้มๆ เหมือนกุ้งแม่น้ำบ้านเรา (แต่น้อย และไม่ค่อยมัน)  วิธีกินยอดฮิตที่นี่ก็มีสองอย่าง คือเอาไปลวกกับพวกเครื่องเทศ กินกันร้อนๆ จิ้มซอสพริก หรือไม่ก็เอาไปทำซุปข้นๆ เรียกว่า Crawfish Souffle  ส่วนตามร้านอาหารเช้าก็อาจจะเอาไปผสมกับ omelet บ้างไรบ้าง สำหรับเราที่ไม่ค่อยกินสัตว์น้ำจืด เราว่ามันเหม็นดินอะ ยกเว้นว่าไปร้านดังๆ ทำสดๆ ก็จะอร่อยอยู่บ้าง แต่โดยรวม ชอบกินกุ้งมากกว่า
2)  Dirty Rice ชื่อนี่น่ากินเหลือเกิ๊นนนนนน ชื่อมันก็บอกเนอะ ว่าข้าวออกมาคงดูสกปรกๆ ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า  มันเป็นการเอาเครื่องเทศสไตล์ Cajun คลุกกับเนื้อบดบ้าง ไส้กรอกบ้าง คลุกไปกับข้าว คลุกๆกันเข้าไป จะหนึบๆเหนียวๆ แต่อร่อยอย่าบอกใคร
3) Jambalaya  ชอบชื่อมันมากเลยยย เวลาอ่านแล้วรู้สึกสนุกอยากเต้น (เกี่ยวมั้ย) ก็อ่านตรงตัวว่า จัมบาลาย่า นั่นแหละ จริงๆ เราว่ามันก็คล้าย Dirty Rice อยู่นะ ในแง่คลุกๆ รวมๆ แต่ว่า Jambalaya มักจะไม่มีเนื้อบดที่ชัดเจน ดูไม่เละมาก ออกไปแนวข้าวผัดมากกว่า แล้วก็ใส่พวกมะเขือเทศเข้าไปด้วย เลยให้รสออกเปรี้ยวๆ หวานๆ เค็มๆ มักจะคลุกกินกับไส้กรอก แล้วก็กุ้ง หรือซีฟู้ดส์ต่างๆ


3) Seafood Gumbo  นี่ก็เป็นอีกเมนูที่ชอบพูดชื่อมัน กัมโบ้ กัมโบ้ คล้ายแบงค์กาโม่ หรือบ๊ะโปว์ (ไม่เกี่ยวกันซักนิด)  กัมโบ้ จะออกแนวแกงกระหรี่ญี่ปุ่น แต่ว่าก็ไม่ใช่กลิ่นกะหรี่นำ มันเป็นเครื่องเทศสไตล์ Cajun อะนะ แต่แน่นอนว่ามีขมิ้นเป็นส่วนผสมหลัก แล้วก็พวกผงหอมใหญ่ ผงกระเทียม มักจะเอามาทำเป็นซุปข้นๆ หนึบๆ ใส่ไส้กรอกบ้าง ใส่ซีฟูดส์บ้าง เวลากินก็ราดข้าว เหมือนข้าวราดแกง เมนูยอดฮิตของนิวออลีนส์เลยล่ะ


อันนี้รูปอาหารรวมที่ไปกินมา
จะเห็นได้ว่าหน้าตาอาหารแตกต่างจากอาหารใต้ทั่วไปมากพอควร และนี่ล่ะ เป็นเสน่ห์ของการเยือนนิวออลีนส์

ถ้าไม่ใช่เรื่องกิน นิวออลีนส์เป็นเมืองที่ไม่เหมือนอเมริกา แถมเป็นเมืองที่มีเทศกาลพิเศษ madi gras ที่จัดขึ้นทุกปี่ช่วงปลายเดือนมค ถึง กพ เป็นงานใหญ่ระดับประเทศ จองล่วงหน้ากันเป็นปีๆเลยล่ะ

ประวัติที่น่าสนใจ เรื่องที่น่าเที่ยวยังมีอีกมากมายยย ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปเยือน (และกินไก่ทอด) อีกซักครั้ง :)

ตอนที่ 2.2 ไม่เคยก็เคย กินแบบใต้ๆ

แกงเลียง แกงฮังเล น้ำพริกกุ้งเสียบ   อะม่ายช่ายยย ผิดประเทศนี่เนะ (ทำหน้าแอ๊บแบ๊ว)

ถ้าถามว่ามาใต้ ต้องกินอะไร อะไรที่ต้องลอง ห้ามพลาด รสเด็ด พิมพ์นิยม อาหารจำพวกแรกที่นึกถึงเลย

คือ BBQ !!!  ทั้ง Georgia/ Alabama/ Texas และแทบทุกรัฐ ทางใต้ จะมีบาร์บีคิวสไตล์ที่ค่อนข้างโดดเด่น และแทบทุกที่จะต้องมีร้านบ้านๆ เด็ดๆ ที่ไปถึงต้องลิ้มต้องลอง อารมณ์ไป LA ต้องไปหาอาหารจีนไชน่าทาวน์ว่างั้น

พูดถึงบาร์บีคิว อย่านึกภาพ บาร์บีก้อน ซุคิชิ หรือบาร์บีคิวไม้ละสิบบาทที่รร.เด็ดขาด มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง  หากอยากลิ้มรสที่พอได้บ้าง เราว่า Great American's Ribs/ Tony Roma เข้าไปแล้วไปสั่งพวก Ribs หรือเนื้อย่างก็พอถูไถ แต่พวกนี้ก็ยังจัดว่าไม่ใต้แท้ๆ

ใต้แท้ๆ ต้องมีดังนี้
BBQ set ที่เคยไปกินมากับเพื่อน
รูปมันหวานบด (mashed sweet potatoes)


  • ไก่บาร์บีคิว ส่วนใหญ่จะใช้สะโพกติดขาใหญ่ๆ ไม่ก็อกใหญ่ เป็นดุ้นๆ มาย่าง แล้วราดซอสบาร์บีคิว พูดถึงซอสบาร์บีคิว ตอนแรกเคยคิดว่ามีแต่แบบสีน้ำตาลอย่างเดียว จริงๆ พอลงใต้มาแล้ว มีให้เลือกเยอะมว๊ากก ทั้งแบบออกขาว ออกน้ำตาล แนวเผ็ด แนวหวาน ซอสใส เยอะแยะไปหมด
  • หมู Pull pork หมูเส้นบาร์บีคิว คือเอาเนื้อหมุรมควันมายีๆ ปกติก็จะกินเป็นแบบเบอร์เกอร์ก็ได้ หรือกินเป็นจานหลักก็ได้  อร่อยมว๊ากก
  • Ribs ซี่โครงหมู หรือวัว อันนี้ของโปรด ปกติร้านก็จะมีให้เลือกว่า ribs ธรรมดา หรือ Baby ribs (ซี่โครงลูกวัว??!!) ซึ่งเบบี้ชื่อก็บอกว่า เล็กกว่า นุ่มกว่า แต่ก็จะให้ปริมาณน้อยกว่า หรือแพงกว่า ความเด็ดของแต่ละเจ้าก็คือวิธีการ หมัก รมควัน ปิ้งย่าง ให้นุ่ม เนื้อร่อนออกจากกระดูก และยังมีรสชาติซอสบาร์บีคิวที่เข้มข้น ก็ชิมกันไป
  • ข้าวโพดปิ้ง  กินเข้ากันที่สุด
  • Corn Bread เหมือนเป็นมัฟฟิ่น คัพเค้กเล็กๆ นะแต่ทำจากแป้งข้าวโพด นอกจากจะเป็นของที่ไว้กินคู่กับบาร์บีคิวแล้ว ยังถือเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับร้านอาหารใต้ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นร้านไก่ทอด หรือร้าน Southern Food ทั่วไป ถ้าไม่เสิร์ฟฟรี ก็จะมีให้สั่งแน่นอน (อันละ$0.5- $1)
  • Coleslaw (เหมือน KFC)  บางร้านก็มี Slaw เป็นแบบใส่น้ำส้มสายชู ให้เลือกเป็นเครื่องเคียงแก้เลี่ยน
  • mashed potato/ Sweet mashed potato ก็เป็นมันบด หรือไม่ก็มันหวานบด ทางใต้ขึ้นชื่อเรื่องการปลูกมันหวาน รสชาติมันจะคล้ายๆมันเทศบ้านเราแต่เป็นสีเหลืองเหมือนฟักทองเลย มันหวานมากกก หวานตามธรรมชาติ เค้าก็จะเอามาบดๆ ผสมเนย เสิร์ฟพร้อมอาหารจานหลักนั่นเอง
  • onion rings บางทีจะซอยเล็กๆ แล้วเอาไปชุบแป้งทอด บางทีก็เน้นใหญ่ แว่นขนาดเท่าหัว มีโรยผงปรุงรสเพิ่มบ้าง โรยพริกไทยบ้าง อร่อยมากกก
  • Chicken wings จริงๆ เมนูนี้ก็ฮิตโดยทั่วไป ถึงไม่ได้เป็นเมนูยอดฮิตในร้านบาร์บีคิว แต่ทุกร้านก็ต้องมีให้สั่งเป็นแนวอาหารเรียกน้ำย่อย กินแกล้มเบียร์ ประมาณนั้น



อร่อยแบบใต้แท้ๆเลย

พูดถึงเรื่องกินแล้วข้อมูลปึ้กมากก เรื่องภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ อะไรไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่เรื่องอาหารอะไรนี่ เยอะะะ 555

ไว้ต่อเรื่องอาหารใต้สุดท้าย คือใต้แบบนิวออลีนส์  ....สไตล์พี่ป๊อปอาย พอคุ้นๆมะ??

ตอนที่ 2.1 ไม่เคยก็เคย กินอยู่แบบชาวใต้

ถึงชื่อประเทศอเมริกาคือ United States แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการแบ่งแยก

โดยการแบ่งขั้นพื้นฐานก็คือการแบ่งตามภูมิภาค แบ่งแบบใหญ่ๆ ก็ได้เป็นสี่ภูมิภาค คือ The West (ตะวันตก) แบบที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เวลาถามกัน ถ้าบอกว่ามาจาก West Side ก็คือพวกฝั่ง California คนไทย และคนเอเชียส่วนใหญ่ก็เกาะขอบซ้ายซะเยอะเนี่ยแหละ


ถ้าบอกว่ามาจากฝั่ง East ก็จะหมายถึงนิวยอร์ค ขอบๆ ไปในแนวแผนที่ด้านขวาค่อนไปทางเหนือ

ส่วน midwest ก็จะเป็นถิ่นหนาวๆ เหนือๆ พวก Wisconsin, Minnesota, Illinois (ที่มีชิคาโกไง)

แล้ว Atlanta ล่ะ  จัดว่า ใต้มากกก ถามว่าแบ่งไปทำไม มันก็เหมือนเมืองไทยแบ่ง คือลักษณะการใช้ชีวิต รูปร่างหน้าตาคน สำเนียง เกษตรกรรม พืชผล อากาศ ต่างกันทั้งสิ้น

เอาเฉพาะทางใต้แล้วกัน...

อากาศ เราอากาศค่อนข้างร้อน ร้อนมากตอนหน้าร้อน ไม่หนาวมากตอนหน้าหนาว (แทบไม่มีหิมะ ยกเว้นใต้ตอนบน) ถึงจะบอกว่าไม่หนาวมาก แต่ Atlanta หน้าหนาวนี่ก็ติดลบบ้าง แตะๆ 0 แตะๆ 1 องศาเซลเซียสนะ คือหนาวโคตรสำหรับคนไทยแหละ แต่ถ้าเทียบกับฝั่งเหนือๆ ที่หิมะตกติดลบ 40 ก็เรียกว่าทางใต้เราช่างอบอุ่นแล้วแหละ

คน และไลฟ์สไตล์  มุมมองของเรา คนใต้ออกจะมีความเป็นเมืองน้อยหน่อย จินตนาการว่า ฝั่ง West มี LA/ San Fran เป็นแหล่งเมือง ฝั่ง East มีนิวยอร์ค ทีขึ้นชื่อว่าแสงสีเสียงสุดจ๊อดดด คนแต่งตัวเก่ง ไลฟ์สไตล์เก่๋ๆ ร้านอาหารชิคๆ ผู้หญิงแต่งตัวชิคๆ มีโรงแรมไฮโซ ชีวิตหรูหรา อะไรงี้

แต่มาทางใต้ไม่ค่อยมีร๊อกกกกก ขนาด Atlanta/ Houston/ Dallas ที่ว่าใหญ่เป็นไข่แดงของฝั่งใต้แล้ว Downtown ที่มีไลฟ์สไตล์ มีร้านอาหารแบบทาง San Fran/ LA/ New York ก็ยังเทียบไม่ติดเลย :(

แล้วตามสถิติ คนใต้ก็ถือว่าเป็นประชากรที่ฉุดค่าเฉลี่ย Obesity (คืออ้วนเกินมาตรฐาน) ของประเทศอเมริกาให้ new high เลยทีเดียว สรุปคือ คนใต้ อ้วน ตรูดใหญ่ โดยเฉลี่ย ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว เม็กซิกัน แอฟริกัน เอเชีย มาใช้ชีวิตอยู่ใต้ๆ ถ้าไม่แน่จริง ก้นเผละ แขนเบะกันทุกคนนน

ที่แถมอีกอย่าง คือคนที่นี่ค่อนข้างแต่งงานเร็ว เร็วแบบเรียนจบ college จบมหาลัยก็แต่งงานแล้ว ขนาดเด็กๆในจ๊อบเราที่มีการศึกษาสูง ก็ยังแต่งงานเร็ว เท่าที่คุยเห็นว่าเป็นผลจากการที่เคร่งศาสนานะ เคร่งในที่นี่ก็ไม่ได้เคร่งอะไรมาก แต่แนวว่า เกรงใจผู้ใหญ่ เพราะศาสนาทางนี้ก็ค่อนข้างถือเรื่องการอยู่กินก่อนแต่ง หรือการชิงสุกก่อนห่าม (ใช่ว่าไม่ทำ)  ไม่น่าเชื่อว่าเรารู้จักเพื่อนที่แบบ virgin ในคืนแต่งงานด้วยอะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในสังคมอเมริกาใช่ม๊าาาา แต่มันมีอยู่จริงคร่าาาา

กลับมาที่อาหารการกิน ที่อ้วน ก็ไม่ใช่จากอะไร ก็เพราะอาหารการกินเป็นส่วนใหญ่แหละ ด้วยความที่ฝั่งใต้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ทีเดียว อย่างที่รัฐ Georgia ก็จัดว่าเป็นแหล่งเกษตรกรรม มีพีช มีสตอเบอร์รี่ มีองุ่น ส้ม อะไรต่อมิอะไรกินกันตลอดปี (แนว มะละกอ กล้วย ส้ม เงาะ มังคุด เมืองไทยว่างั้น)

ใต้ลงไปอีกก็มี ส้มฟลอริด้าา ดังใช่มั้ยล่าาา น้ำส้ม อร่อยมว๊ากกกกกกกกกกกกกกก ใครมาต้องลองชิมนะ
มันหวาน มันหอม มันสดชื่นจริงๆ (ต้องเป็นแบบคั้นสดๆ ข้างทาง ตามปั๊มไรงี้นะ) รสชาติจะไม่เหมือนน้ำส้มกล่องที่ขายตามซุปเปอร์เลย ถึงมันจะเคลมกันว่ามาจาก Florida 100% ก็เหอะ

ใต้ซ้ายๆหน่อย ก็มี Alabama ที่ดังเรื่องปลูกมัน ปลูกสำลี ไรงี้ เมื่อปลูกมันได้มาก ก็ต้องรับประทานมากเป็นธรรมดา อาหารใต้เลยเต็มไปด้วย มัน ข้าวโพด แป้งข้าวโพด หรืออะไรก็ตามที่ทำจากแป้งๆๆๆๆๆ แดร๊กคาร์บกันเข้าไป ตรูด และ แขนก็ใหญ่สิคร้าาาา   ไม่พอยังต่อด้วยไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ (ก็มันแปรรุปแล้วเอาไปทอด)  corn bread (ข้าวโพดแปรรูปเอาไปอบ) กินกันเข้าไป ก็ไม่ต้องสงสัยในเชปบ๊ะเลยทีเดียว

อ้ออ แถมให้ คุณป้า Paula Dean เจ้าแม่ตำรับอาหารใต้ก็มาจากทางใต้เนี่ยแหละ ดูไปน้ำลายหกไป แคลอรี่ทะลุพันต่อมื้อแน่นอน  ส่วนอาหารเม็กซฺิกันที่ฮิตๆกัน ชาวใต้เราก็ไม่ลืมแปรรูปเป็น Tex-mex (Texas Mexican) โดยเพิ่มชีส เพิ่มเนย เพิ่มข้าวเข้าไป ฟินนนนนนน

Ps แต่คนผอมๆ ก็ีมีนะ ไม่ได้ใส่ร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่มันเป็นจุดที่สังเกตได้ง่ายมากๆเลย ว่าถ้าคนอ้วน จะไม่ได้เจ้าเนื้อเหมือนคนไทยนะ แต่มันคือเป็น โรคอ้วนเลยแหละ

http://www.msnbc.msn.com/id/20476824/ns/health-diet_and_nutrition/t/poverty-main-cause-obesity-problem-south/#.UHRRxvTz21c  ลองอ่านบทความเพิ่มเติมได้ เค้าทำนายว่า 50% ของประชากร จะเป็นโรคอ้วน ภายในปี 2015! (โรคอ้วนคือ้วนแบบรูปข้างล่างนะ ไม่ได้อ้วนแบบ ต๊ายย ฉันอ้วน)



เออ พร่ำมากไป ไม่ได้โพสต์รูปอาหารเลย ตัดเป็นตอนต่อไปละกัน


ตอนที่ 1 จากไม่เคยก็เคยซะ: อาหารเม็กซิกัน

ไหนๆ ก็เหลือเวลาอยู่ที่อเมริกาอีกไม่เกินครึ่งปีแล้ว

พอกลับเมืองไทย เรื่องราวหลายๆอย่างอาจจะกลายเป็นเพียงภาพความทรงจำ
เรารู้ว่าการเยือนอเมริกา คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอก แต่การที่จะมีโอกาสมาได้ใช้ชีวิตแบบจริงๆจังๆที่นี่คงจะไม่มีอีกแล้ว

พอลองมองย้อนดูเวลาปีกว่าๆที่ผ่านมา บางทีก็รู้สึกว่าเรื่องรอบๆตัว เวลาที่ลองสังเกตอะไรให้ถ้วนถี่ สิ่งเล็กๆ จริงๆแล้วก็พิเศษได้นะ :)

ตอนแรกนี้ ขอเริ่มด้วยของกิน ที่มาถึงมารู้จัก มาได้กินบ่อยขึ้น (จนถึงขั้นประจำ) หรือเป็นของกินที่ถ้ากลับเมืองไทยแล้วคงไม่กินหรอก!

อาหารเม็กซิกัน  
ก่อนหน้าที่จะได้มาใช้ชีวิตที่อเมริกาแบบเป็นปีขนาดนี้ ก็เคยผ่านอาหารเม็กซิกันมาบ้าง ทั้งตอนมา work and travel หรือ travel ทั่วไป ที่กรุงเทพก็มีร้านเม็กซิกันที่มีโอกาสได้ไปเหยียบย่างบ้าง แต่พอมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็มีโอกาสได้ลองหลายๆอย่างที่ลึกซึ่งกว่า taco สิ่งที่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้วคงแทบไม่รู้จักคือ

 Chicken Enchilada (เอนชิลาด้า) เป็นแป้ง tortilla ห่อด้วยไก่กับชีส ที่รู้ลึกรู้จริงคือชอบถึงขนาดทำกินเองได้! กินครั้งแรกตอนไปปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อนคนเม็กซิกัน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกิน รู้จักแต่ taco bell คิดว่าอาหารเม็กซิกันมีแค่ Taco แล้วก็ข้าวราดชีส แหะๆ



Fajita (อ่านว่า ฟาฮีต้า) อาจเรียกได้ว่าเป็นกระทะร้อนสไตล์เม็กซิกันมั้ยนะ? ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อวัว หรือเนื้อไก่ หั่นเป็นชิ้นๆ ผัดกับพริกหยวก หอมใหญ่ แล้วก็เครื่องเทศเล็กน้อย บีบมะนาว กินกับแป้งคล้ายๆแป้งโรตี) ความอร่อยคือหอมใหญ่แบบคาราเมลที่ติดมากับกระทะเนี่ยแหละ เริ่ด!










Guacamole  กว่าจะจับทางได้ว่าจริงๆ แล้ว Guacamole มันคืออะไร และทำมาจากอะไรก็ปาเข้าไปครึ่งปี แรกๆ คิดว่า Guacamole = Avocado ซึ่งมันก็ใกล้เคียงแหละ เพราะส่วนผสมหลักคืออโวคาโด จริงๆ อยู่เมืองไทยแทบไม่ได้กินอโวคาโดเลย เพราะแพง และหาวิธีกินยาก พอมาอยู่ทีนี่ก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ค้นพบว่า อโวคาโดกับแซลมอนซูชิ หรือกินกับปลาไหลราดข้าวนั้นอร่อยมากกก  ส่วนการกินที่ชอบที่สุดก็คือกินจิ้มกับ tortilla chips นี่แหละ เพราะฉะนั้น Guacamole ก็คืออโวคาโดแปลรูปนั่นเอง คือเอาอโวคาโดมาบด ผสมกับผงหัวหอมใหญ่ กระเทียม หอมใหญ่สด พริก Jalapeno (อ่านว่า ฮาลาปิโน) ใส่มะนาว น้ำตาลเล็กน้อย เป็นอีกเมนูที่ ใหม่สำหรับเรา ไม่เคยกินมาก่อน (เป็นไปได้ไง?)

Margarita  ก่อนมาอยู่ที่นี่ก็กิน cocktail นี้มาบ้าง เก๋ๆ ตามประสา เวลาไปโรงแรม หรือไปร้านอาหาร แต่พอมาอยู่นี่ มาการิต้ากลายเป็นเครื่องดื่มคอกเทลเบๆ ไปเลยทีเดียว แล้วก็เป็นเครื่องดื่มเบสิคมากกก สำหรับคนเม็กซิกัน หรือเวลาไปร้านอาหารเม็กซิกัน ที่พิเศษกว่าที่เคยดื่ม (มันเป็นเครื่องดื่มสีเขียวอ่อนๆ ผสมน้ำมะนาว น้ำตาล ตะกีล่า) บางที่ก็ผสมน้ำทับทิม เปลี่ยนมะนาวเป็นเลม่อนบ้าง ไม่น่าเชื่อว่ามาการิต้านี้จะมีเป็นสิบๆชนิดเลยทีเดียว



ร้านอาหารเม็กซิกันแบบบ้านๆ --- ที่อเมริกานี้ต้องยอมรับว่า hispanic เยอะจริงๆ โดยเฉพาะ Atlanta  ก็จัดได้ว่าเป็นชนกลุ่มใหญ่รองจากคน African-American เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ร้านอาหารก็มีตั้งแต่ถูกยันแพง แต่ก่อนก็รู็จักแค่ Taco Bell ตอนนี้ที่ได้รู้จักเพิ่มขึ้นก็


MOE'S SOUTHWEST GRILL ชื่อมันก็ดูเหมือนมาจากทาง south west แต่ดูเหมือนดังจริงๆก็จะทาง south east มากกว่านะ เป็น chain restaurant  ที่มีอยู่ในเมืองฝั่งใต้ สไตล์การทำก็คือจะเป็น open kitchen ให้เราสั่ง customize ได้ว่าจะใส่อะไรบ้าง เมนูเด็ดที่เราชอบกินมากๆ คือ chicken rice bowl ก็เป็นข้าวแข็งๆเม็ดยาวๆ สไตล์เม็กซิกัน ใส่ชีส ถั่วต้ม หอมใหญ่ เห็ดผัด ผักกาดแก้ว จานละ $6.99 เอง (ถูกนะ)












Chipotle เป็นอีก chain restaurant ที่แพงกว่า moe's นิดนึง อาหารก็ค่อนข้างสด และคุณภาพดีกว่ เมนูโปรดของเราก็เป็น rice bowl เหมือนกัน








Taco Mac เป็นอาหารสไตล์ dine-in คือไม่เหมือนกับสองร้านด้านบน ที่ไปต่อแถวสั่่งแล้วจ่ายเงินที่แคชเชียร์ แต่ที่นี่จะเป็นแนวนั่งทานมีพนักงานเสิร์ฟนั่นเอง ไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เคยคิดจะลองกิน จนวันนึงที่ทีมเราสั่งอาหารกลางวัน แล้วก้มีพาร์ทเนอร์พาไปเลี้ยงตอนกลางวันบ้าง  ก็แบบอ้วนแล้วก็อร่อยดี เมนูเค้าก็มีครบทุกอย่างแบบที่อาหารเม็กซิกัน-อเมริกันพึงมี


ทำความรู้จักกับอาหารเม็กซิกันแล้ว เดี๋ยวตอนต่อไปจะพูดเรื่องอาหารฝรั่ง แล้วก็อาหารชาวใต้แบบ Southern กันบ้าง :D

Thursday, September 27, 2012

ไม่ได้บ้า แต่ไปหา Professional Counselor มานะ :)

เรื่องของเรื่องก็เป็นความเดิมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว หลายๆคน(อเมริกัน) รอบตัว ก็แนะนำว่า you ควรจะไปลองพบ counselor ดูนะ ให้เค้าดูอาการหน่อยว่า "ไหวมั้ย"

บางคนก็บอกว่าเราอาจจะอยู่ใน Denial period
บางคนก็บอกว่า เราอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองควรตื่นตระหนก
บางคนก็บอกว่า ให้ลองไปดูเผื่อเค้าจะช่วยอะไรได้

Human Resource ของบริษัทเราก็ offer link ให้เสร็จสรรพ ของบริษัทที่นี่จะมี EAP (Employee Assistance Program) คือให้เราไปปรึกษา "ฟรี" ทั้งหมด 5 ครั้งด้วยกัน ส่วนปัญหาที่ปรึกษาก็จิปาถะ จะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวก็ได้ ตัวอย่างที่เค้ายกมาก็เช่น ผ่านเหตุการณ์ช๊อกครั้งสำคัญในชีวิต เช่น คนรักจากไป พ่อแม่เสีย พ่อแม่หย่าร้างมีผลถึงลูก นอนไม่หลับ เครียดเรื่องงาน ทนเจ้านายไม่ไหว

คืออะไรก็แล้วแต่ที่คิดว่าเป็นเรื่องที่เราต้องการปรับปรุง หรือเปลี่ยนพฤติกรรม หรือแม้แต่ต้องการเพื่อนคุย เพราะบางเรื่องไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง คนที่นี่ก็แนะนำว่าให้ไปหา counselor กัน

ซึ่ง counselor ที่นี่ ไม่ใช่ จิตแพทย์ ภาษางามๆอาจเรียกได้ว่าเป็น "นักจิตวิทยา" ส่วนใหญ่ก็จบด้านจิตวิทยามา แล้วก็ต้องมี licensed ด้วย ซึ่ง counselor แตกต่างจาก Psychologist (จิตแพทย์) ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่มี PhD แล้วก็ไม่สามารถจ่ายยาได้ (ประมาณยานอนหลับ ยาระงับซึมเศร้า)

ถ้าไม่เรียก นักจิตวิทยา เราว่า เรียกว่า "ที่ปรึกษา" ก็น่าจะเหมาะที่สุดแล้ว

ไอ้เราก็กึ่งบ้า กึ่งฉงน ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าคนอเมริกาเอะอะก็ไปหา counselor ก็อยากรู้ว่าเป็นยังไง ดูหนังมาก็เยอะ แถมรู้มาว่าปรึกษาครั้งนึงมิใช่ถูก ราคาประมาณ $100-$300 ทีเดียว ในเมื่อมีสวัสดิการให้ใช้ฟรีแล้ว ก็ได้โอกาสเสียหน่อย!

เมื่อคืนฤกษ์งามยามดี ก็ได้โอกาสทำตัวเป็น Kate Walsh เหมือนเรื่อง Private Practice ไปปรึกษา professional counselor  นั่นเอง


ขั้นตอนแรกเราก็ต้องโทรเข้าเบอร์ toll free 1800 ก่อน เข้าศูนย์เพื่อแจ้งว่าเราต้องการที่ปรึกษา เค้าก็จะถามข้อมูลส่วนตัวเล็กน้อย แล้วก็หาที่ปรึกษาที่ใกล้บ้านที่สุดให้ แล้วก็ให้เบอร์และที่อยู่ติดต่อเพื่อให้เราไปนัดเวลาเอาเอง โดยให้แจ้งกับที่ปรึกษาว่าเราได้รับการ refer มาจากศูนย์นี้ (เพื่อจะไม่ต้องถูกคิดเงิน)

พอถึงวันที่นัด (เรานัดหลังเลิกงานตอนทุ่มครึ่ง) เราก็ขับไปตามที่อยู่ที่แจ้ง สถานที่ไม่ใช่คลินิค ไม่ใช่โรงพยาบาล จะว่าไปเหมือนเวลาไปบ้านหมอดูมากกว่า 555 ที่เราไปเป็นบ้านใหญ่ๆ แล้วข้างในก็ซอยเป็นหลายๆห้อง แต่ละห้องก็สำหรับ counselor แต่ละคน ที่เห็นก็อย่างต่ำ 4-5 ห้อง  มี area ให้รอก่อนเข้าพบ หนังสือจิตวิทยา self help ให้อ่านรอ

Counselor ของเราชื่อว่า Sherry ก่อนไปเราได้สืบค้นประวัติเธอก่อนแล้วใน google ว่าเธอมีความเชี่ยวชาญด้านไหน เราว่าก็ตรงกับเราอยู่บ้างอะนะ เพราะเธอมีประสบการณ์ปรึกษาปัญหาครอบครัว หย่าร้าง แล้วก็ปัญหาสุขภาพจิต เช่น depression emotional disorder (อย่างหลังน่าจะตรงกับเราสุด ^^")

เค้าก็แนะนำตัว shake hand เบาๆ แล้วก็พาเราเข้าไปในห้อง หน้าตาคล้ายกับรูปด้านบนมาก (จาก google)

ก็เริ่มด้วยการกรอกประวัติส่วนตัว ชื่อนามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร ทำงานอะไร ทำงานมากี่ปีแล้ว แล้วก็มีพวกประวัติในอดีต เช่น เคยก่ออาชญากรรมมั้ย ก่อมาแล้วกี่ครั้ง อีกหน้าก็มีให้ติ๊กว่า ที่มาหามีปัญหาอะไร เช่น anger/ depression/ insomnia/ assault/ etc มาเป็นหน้า แล้วก็ให้ระบุเวลาว่ามีปัญหานี้มานานเกินหกเดือน หรือว่าน้อยกว่าหกเดือน   สำหรับเราไม่ได้ใส่อะไรไป ซึ่งที่ปรึกษาของเราก็บอกว่า ให้กรอกเท่าที่อยากกรอก เท่าที่จะกรอกได้แล้วกัน ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที  session ก็เริ่มขึ้น....

ใช้เวลาสิริรวมทั้งหมด 1 ชั่วโมง (มีนาฬิกาจับเวลา) ก็เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นแหละ แล้วก็มีคุยว่า เราคาดหวังอะไรกับการมาหาครั้งนี้ เรารู้สึกยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ที่เรารู้สึกได้คือ คำถามของเค้าจะเป็นไปในแง่วิเคราะห์ ว่าปัญหาทางจิตใจมันมีผลถึงร่างกายมั้ย ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นมีอะไรเปลี่ยนไปในชีวิตบ้าง แล้วเราแก้ไขปัญหายังไง

ลักษณะของการพูดคุยคือ เราพูด 80% เค้ารับฟัง รับฟัง รับฟัง 15% และให้คำปรึกษาแบบแนะแนว 5-10% เท่านั้น การสนทนาจะออกแนวเข้าอกเข้าใจเรา ถ้าเราไม่ชอบอะไรเค้าก็จะแนว "ถูกต้อง เป็นใครก็ไม่ชอบ เป็นใครก็ต้องรู้สึกแบบเรา" อะไรประมาณนี้ จะไม่มาแนว "อย่าคิดแบบนั้นนะ เธอคิดผิดแล้ว ทำไมไม่อย่างนู้นอย่างนี้ล่ะ"  จะไม่มีประโยคปฎิเสธหลุดออกจากปากเลย

ซึ่งโดยรวมเราว่าก็ดีมากนะ สำหรับคนอเมริกาที่เป็นสังคมค่อนข้างปิด ไม่ค่อยมีคนให้พูดคุยด้วย หลายๆคนคงมีปัญหา (เช่นที่ทำงาน) ต้องการคนรับฟัง ต้องการที่ปรึกษาที่เข้าอกเข้าใจเรา ช่วยให้ระบายคล้ายเซโรงัง???  ที่ปรึกษาเราก็เล่าให้ฟังเหมือนกัน ว่าเค้าก็มีคู่แต่งงานที่มีปัญหามาปรึกษา หรือแม้แต่แนวหนักๆ เช่น คนที่เคยถูกข่มขืนมา ก็เคยเป็นที่ปรึกษามาแล้ว

ที่ฮาคือ เค้าบอกว่า จริงๆ เราก็ไม่ต่างจากพวกที่โดนข่มขืนนะ เพียงแต่เราไม่ได้โดนจริงๆ แต่ความรู้สึกที่ผ่านพ้นเหตุการณ์ก็เรียกได้ว่าแบบเดียวกันนั่นแหละ เค้าบอกว่านี่มันเป็น Significant life event มากๆ และ serious มาก

หลายๆอย่างก็เป็นสิ่งที่เค้าพูดแล้วนึกไม่ถึงเหมือนกัน เช่นการที่เราโดนบุกเข้ามาถึงห้องนอน สำหรับเค้ามันคือการที่ โดนบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ที่ปกติเรารู้สึกปลอดภัยที่สุด (เพราะเวลาที่คนเรานอน ถ้านอนหลับได้ สถานที่นั้นต้องปลอดภัย และเรามีความมั่นใจกับจุดนั้น) แต่พอโดนเข้าถึงขนาดนี้ แล้วยังเป็น life threatening บวกกึ่ง sexual assault มันทำให้เราอาจจะหวาดผวาได้

ก็มี 2 terms ที่ได้มาจากการคุย ดูเหมือนเราจะมีอาการ
1) Hypervigilance  เรียกว่าตื่นตัวเกินเหตุ เช็คนู่นนี่เพื่อให้มั่นใจมากกว่าเดิมหลายเท่า
Hypervigilance is an enhanced state of sensory sensitivity accompanied by an exaggerated intensity of behaviors whose purpose is to detect threats. Hypervigilance is also accompanied by a state of increased anxiety which can cause exhaustion.   (http://en.wikipedia.org/wiki/Hypervigilance)

ซึ่งเค้าก็บอกว่าอาการนี้ก็ควรเกิดเป็นปกติ สำหรับคนที่ผ่านอะไรแบบนี้มา ร่างกายก็ต้องมีระบบป้องกัน(เว่อร์) เพื่อเตรียมตัวสำหรับเหตุการร์ที่อนุมานว่าอาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต

2) Disassociation
Dissociation is a term in psychology describing a wide array of experiences from mild detachment from immediate surroundings to more severe detachment from physical and emotional reality. (http://en.wikipedia.org/wiki/Disassociation)

เป็นอาการของ thinking process ที่พยายามคิดถึงเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกิดตรงหน้า

ที่ว่ามาก็คือไม่ได้หมายความว่าเราเป็นนะ เพราะโดยรวมเค้าก็ประเมินว่าเรา ปกติดี (เย้) เพียงแต่อาการพวกนี้ถ้า observe ดูแล้วเป็นหนัก หรือไม่หายซักที ก็ให้สำเนียกไว้ว่าอาจจะมีปัญหาทางจิตในภายหลังได้

โดยรวมหลังหนึ่งชั่วโมงก็จบการปรึกษากับ Professional counselor เป็นครั้งแรกไปด้วยดี
เป็นอันว่า been there done that US life Experience แล้ว ^^"

ทั้งการ call 911 แล้วก็ปรึกษา counselor ใช้สวัสดิการออฟฟิศ ครบทุกกกกอย่างเลยย

ต่อจากนี้ก็คงใช้ชีวิตปกติล่ะนะ panic บ้างก็้คงไม่แปลกอะไร มันคงต้องใช้เวลา
session ต่อไปจะมีมั้ยก็แล้วแต่อารมณ์ :)

Thursday, September 13, 2012

When I was one of the traumatized victim

ฝากมา Archive เก็บไว้เฉยๆ ก๊อปมาจาก pantip ที่เคยเอาไปลงไว้ (นานๆไปมันคงถูกลบ)

ตามอ่านกระทู้สืบเนื่องได้ที่ิลิงค์ด้านล่าง

http://www.toffee-in-usa.com/2012/09/profession-counselor.html


This is the story I wrote in the forum....

สวัสดีค่ะ เราเป็นคนไทยในอเมริกา จริงๆ ไม่ค่อยได้เข้าห้องนี้เท่าไหร่ แต่เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะมีประโยชน์ต่อสาวๆที่ใช้ชีวิตในอเมริกาไม่มากก็น้อย
เรื่องของเรา เป็นเรื่องที่เลวร้ายมากมากมาก เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน หลังวันเกิดเราวันเดียว เป็นประสบการณ์ที่เรียกได้ว่า เฉียดตาย หรือ เฉียดตายทั้งเป็น เลยอยากมาเล่าไว้เป็นอุทธาหรณ์ให้ฟังค่ะ น่าจะใช้ได้กับทุกคนไม่ว่าอยู่ที่ไหนค่ะ

วันที่ 12 กันยายน (ตามเวลาอเมริกา) เป็นวันเกิดครบรอบ 28 ปีของเราค่ะ

เรามาทำงานที่อเมริกาได้ครบหนึ่งปีนิดๆพอดี (บริษัทลูกส่งมาทำงานที่บริษัทแม่ที่อเมริกาค่ะ) วันที่ 12 เป็นวันเกิดเรา ก็มีเลี้ยงฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆคนไทย ปาร์ตี้เป็นปาร์ตี้ธรรมดา ทานข้าว เครื่องดื่มนิดหน่อย เราออกจากบ้านเพื่อนเวลา 22.30 น.
ขับรถกลับบ้านคนเดียว ตามประสาคนใช้ชีวิตที่อเมริกาค่ะ

อพาร์ทเมนต์ของเรา เป็นสไตล์ที่เรียกว่า Apartment Complex นะคะ คือมี ประตูรั้วใหญ่ๆ อยู๋ข้างหน้า แล้วเข้าไปก็จะมี Apartment หลายๆหลัง หลังนึงก็จะมีห้องหลายๆห้อง ห้องเล็กสุดที่เราอยู่ขนาดประมาณ 500-600 SQF คือมี 1 bed + 1 Bath + living room + kitchen  ก็จัดเป็นอพาร์ทเมนต์ทั่วไปค่ะ (ถ้าใครอยู่อเมริกาคงนึกออกเนอะ)

จุดแรกที่อาจจะอันตรายสำหรับหลายๆคน คือ เราชอบอยู่ที่ชั้น 1 ค่ะ เพราะว่าขนย้ายข้าวของสะดวกดี ถามว่ามีคนผ่านไปมาเยอะมั้ย ถ้าไม่ใช่เพื่อนบ้าน กับคนใน apartment ข้างเคียง ก็คงไม่ค่อยมีโอกาสผ่านค่ะ เพราะคนอเมริกาใช้รถกันส่วนใหญ่ ไอ้เรื่องเดินผ่านไปผ่านมาหน้าห้องเนี่ย ต้องเฉพาะเจาะจงมากๆ

คืนนั้นกลับมาก็ไม่มีอะไร เล่นเนต ล้างหน้า แปรงฟัน ตามประสา จนหลับไปตอนประมาณ เที่ยงคืนกว่าๆค่ะ
จุดนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าก่อนนอนเช็คประตู หน้าต่าง ว่าปิดมิดชิด ไม่มีเปิดให้แมลง หรือลมเข้าเลยค่ะ

รู้ตัวตื่นอีกที เพราะได้ยินเสียงกุกกัก เหมือนคนไขประตูเข้ามา
เราสะดุ้งตื่นขึ้นทันที (ปกติเรานอนง่ายตื่นง่าย ไม่ขี้เซา) อยู่ในท่านั่งบนเตียงของเราค่ะ
ทั้งห้องมืด แต่เราเห็นเงา คนดำตะคุ่มตะคุ่มอยู่ที่ประตู้ห้องนอนของเรา
เห็นมือของเค้าพยายามเปิดไฟด้วยสวิทช์ไฟที่อยู่ข้างประตู
แต่ปรากฎว่าเปิดไม่ติดค่ะ ที่ไม่ติดเพราะว่า ที่ห้องเราเป็นระบบสวิทช์ไฟสองทาง คือสวิทช์ห้องจะเหมือนว่าเปิดไว้ตลอดเวลา ส่วนไฟพัดลมเพดานก็จะเชื่อมระบบกัน ถ้าสวิทช์พัดลมเปิดอยู่ จะสามารถใช้สวิทช์กำแพงปิดได้ แต่ถ้าสวิทช์กำแพงปิดอยู่ จะเปิดที่พัดลมไม่ได้  (ตรงนี้ถ้าอ่านแล้วงงข้ามไปค่ะ)

โดยสรปคือมันพยายามเปิดไฟ แต่เปิดไม่ได้ค่ะ
เราเลยตะโกนออกไป ว่า "What do you want, Who are you, Why are you here?" คือยิงถามรัวๆ เลย ว่า คุณเป็นใคร คุณต้องการอะไร ทำไมเข้ามาในนี้
ขอบอกตรงๆ ว่าตอนแรกที่เห็นเงานั้น แว๊บแรกเราคิดว่า เอ๊ะ เราลืมล็อกประตูรึเปล่านะ ทำให้เวลาดึกๆ คนเมาๆ เค้าเข้าผิดห้องได้ แล้วล็อกประตูเราก็มีแค่ dead bolt อันเดียวไม่ได้แน่นหนาอะไร  ในใจแว๊บแรกคิดแง่บวกจริงๆค่ะ ว่าอาจจะเป็นคนเมา หรือเป็น พวกพนักงานซ่อม ที่อาจจะมาบอกว่า มีไฟไหม้ หรือหม้อแปรงระเบิดอะไรประมาณนั้น (คิดได้เนอะ)
ในความมืดนั้น หลังจากเราถามมัน มันก็ตอบกลับมาว่า

"Don't move, I have a gun"  .... มันบอกให้เราห้ามขยับ เพราะมันมีปืน
ณ วินาทีนั้นก็รู้แล้ว ว่า โดนแน่นอน มันเข้ามาปล้นเรา
เราเลยบอกว่า  "What do you want, I will give you everything, don't shoot me"
เราบอกมันว่า เราจะให้มันทุกอย่าง อยากได้อะไรเอาไปเลย แต่อย่ายิงเราเป็นพอ
จุดนั้นรู้เลยค่ะ ว่าคนเรารักชีวิตมากมายแค่ไหน แก้วแหวนเงินทองอะไรที่มียอมสละให้หมด ขอเพียงแต่ให้มันเอาเงินแล้วรีบๆไปให้พ้นซะ มันบอกว่า มันต้องการเงิน ให้เอาของมีค่าทุกอย่างที่มีให้มันค่ะ
ตายละหว่า เราไม่มีของมีค่าอะไรเลย ในกระเป๋าเงินเรามีแบงค์ดอลล่าร์ไม่กี่ใบ เพราะปกติอยู่อเมริกาแทบไม่เคยพกเงินเกิน $100 เลย ทุกอย่างตั้งแต่ super market ของเล็กของใหญ่ ใช้เครดิตการ์ดตลอด
โชคดีที่เราเอากระเป๋าตังค์ไว้ข้างตัวตลอด ในความมืดเราเลยพยายามคว้าๆกระเป๋า
คว้าได้แค่ธนบัตรสองใบเท่านั้นค่ะ
เพราะมันมืด โจรมันไม่เห็น มันเลยตะโกนถามเราว่า "เรามีเงินท่าไหร่"

เราตอบมันไปว่า "เรามีแค่ไม่กี่เหรียญ" แล้วเราก็โชว์ธนบัตรให้มันดู
ได้ยินมันสบถออกมา คงรู้สึกผิดหวังอย่างแรงที่เข้าห้องเราแล้วเราไม่มีของมีค่าอะไรเลย
ในชั่ววินาทีนั้น มันเลยเปลี่ยนแผนค่ะ T___T

คำที่่มันพูดออกมาจากปาก ทำเราร้องไห้โฮออกมาเลยค่ะ
มันบอกให้ เราหันหลัง แล้วถอดกางเกงนอนออกค่ะ
ในใจตอนนั้นบอกตรงๆว่า คงโดน "ข่มขืน" แน่นอน ไม่รอดแน่นอน
แล้วไม่มีทางสู้จริงๆค่ะ หน้าต่างเราปิดสนิท ข้างเตียงไม่มีของอะไรที่จะฟาด หรือต่อสู้ได้เลย ทางออกเดียวที่มีคือประตูห้องนอนซึ่งมันยืนขวางอยู่แล้ว เราก็เลยคิดว่า เอาเถอะนะ ถ้ามันจะข่มขืนเรา เรายอม เราอยากรักษาชีวิต

คิดแล้วว่าคงโดนข่มขื่นแน่ๆ ....
มันสั่งให้เรายืนขึ้น พร้อมหันหลังให้มัน พร้อมบอกว่าให้ทำตามที่มันสั่ง เพราะมันมีปื่น

เราก็ยืนขึ้นบนเตียง ถลกกางเกงออก และโชว์ก้นของเราให้มันแต่โดยดี ไม่ขัดขืน
เราหันหน้าเข้ากำแพง หางตาของเราเห็นว่ามันเดินใกล้เข้ามาทางปลายเตียง แล้วเริ่มปลดซิบกางเกงออก ตอนนั้เราร้องไห้ออกมา ในสมอง process ไปไกลแล้ว ว่าโดนข่มขินจะต้องทำไง มันจะฆ่าเรามั้ย  แต่เราไม่ได้ทำเสียงดังโวยวายนะคะ เพราะมันบอกว่าให้เราอย่าเสียงดัง ไม่งั้นมันยิงทิ้ง เราก็เลยได้แต่ร้องคร่ำครวญอยู่ ปากก็พร่ำขอร้องว่า อย่าทำอะไรเราเลยนะ อย่าทำอะไรเราเลย

มันก็เลยบอกเราว่า "I am not gonna touch you, I am not gonna touch you" มันบอกว่ามันสัญญามันจะไม่แตะตัวเรา แต่ให้ทำตามที่มันบอกค่ะ
เราก็หันหลัง มันเริ่มช่วยตัวเอง ใช้มือชักเข้าออกค่ะ
ไม่กี่นาที มันก็บอกให้เราก้มลง ให้ทำท่าสุนัขค่ะ ไม่พอ มันบอกให้ เราตบก้น แล้วก็ร้องครวญครางทำเสียงเซ็กซี่
ณ จุดนี้ หลายๆคนอ่านอาจจะขำนะ ว่าเออ แมร่งโรคจิตว่ะ จะบอกว่าในใจเราก็ทั้งขำ ทั้งงงนะ ว่ามันจะมาไม้ไหน แต่เราเหมือนไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็เลย เอาก็เอาวะ!!
เราก้มลง เปิดก้นให้มัน ตบก้นตัวเอง แล้วก็ร้องครวญ เหมือนมีความสุขมากมายค่ะ
ขอบอกว่าทั้งชิวิตไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำอะไรบ้าๆ แบบนี้เลย ไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้ แม้แต่หนังติดเรทก็ไม่เคยดู แต่ที่นึกถึง เพราะว่าเพิ่งอ่าน Fifty Shades of Grey ค่ะ ก็เลยพอเข้าใจว่ามันอยากให้ทำอะไร

หางตาเราหันหน้าไปแอบมองมัน มันก็ยืนช่วยตัวเองแบบนั้น ทำเสียงซี๊ดซ๊าด เราทำอะไรไม่ได้ เราก็ตบก้นตัวเองอยู่แบบนั้น ร้องครวญครางไปเรื่อยๆ เพราะอยากให้มันพอใจ เผื่อมันจะได้เสร็จๆ แล้วจบกันไป

ในขณะที่เรื่องเกิดขึ้น มันไม่แตะต้องตัวเราเลยแม้แต่น้อยค่ะ....
พอมันช่วยตัวเองซักพัก มันก็เหมือนว่าพอใจแล้ว แล้วก็เดินออกจากห้องไปไม่ร่ำไม่ลา

-_-" เราไม่ได้ยินเสียงว่ามันเสร็จหรืออะไรรึเปล่า ในใจเราคิดล่วงหน้าว่ามันอาจจะสำเร็จความใคร่แล้วพุ่งน้ำมาที่เรา แต่ก็ไม่มีอะไรแต่อย่างใด มันเดินออกไปเงียบๆค่ะ

เรากลัวมาก กลัวมากๆจริงๆ ตอนมันเดินออกไปเราไม่เข้าใจว่ามันจะไปทำอะไร อาจจะเดินออกไปค้นของ ออกไปเปิดไฟ หรือจะทำอะไรอีก แต่เรารักชีวิต เราก็เปิดก้น ตบไปเรื่อยๆ จนซักพักเห็นว่าเงียบแล้ว เราก็เลยรีบไปปิดประตูห้องนอน แล้วโทร 911 ทันทีค่ะ
ทีนี้ปล่อยแบบร้องไห้โฮเลยจริงๆ ตอนโทรไป 911 ตำรวจรับสายทันที คำแรกเราจำได้จนถึงตอนนี้ เราบอกตำรวจว่า  Somebody broke into my apartment มีคนเข้ามาในห้องเรา เราบอกที่อยู่เรา ชื่อถนน เบอร์โทร ชื่อเรา ร้องไห้ไป แต่สติอยู่ดีทุกอย่างค่ะ
ไม่เกิน 10 นาที รถตำรวจมา จะบอกว่าฉากต่อไปนี้เหมือนดู CSA มากๆ แต่พอเราเป็นเหยื่อในเหตุการณ์จริง ไม่สลิงไม่แสตนด์ มันขำไม่ออกค่ะ มันไม่สนุกเลย
ตอนแรกไม่มีตำรวจมา เรายังถือสายคุยกับ 911 ในโทรศัพท์

มีเสียงเคาะประตู แต่ไม่มีเสียงคน เราเลยถาม 911ในโทรศัพท์ไป ว่า มีคนมาเคาะประตู้ เป็นตำรวจรึเปล่า แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไง ว่าเค้าเป็นตำรวจ
ตอนนั้นเค้าก็ wall กันอยู่ รถตำรวจเลยเปิดไฟ สาดเข้ามาในห้องเราค่ะ แต่ตำรวจไม่เปิดประตูเข้ามาทันที เราเห็นว่ามีตำรวจมาแล้ว ก็เลยแอบเอาหัวลอดไปดูว่านอกห้องมีใครอยู่มั้ย พอแน่ใจว่ามีแต่เราแล้ว เราเลยวิ่งไปเปิดประตูค่ะ

ปรากฎว่าประตูหลักเข้าบ้านยังล็อกอยู่ค่ะ เลยทำให้รู้ว่า มันไม่ได้เข้ามาทางประตูหลัก ...
ตำรวจเข้ามาประมาณ 4 คน สัมภาษณ์นู่นนั่นนี่ ให้เรานั่งลง สงบสติ สัมภาษณ์กันไปหลายรอบค่ะ ให้เล่าเรื่องซ้ำๆกัน

สุดท้ายตอนที่ค้นหาหลักฐาน เจอว่ามันงัดประตูเลื่อนที่ติดกับระเบียงบ้านเข้ามา มีร่องรอยแงะ (เหมือนว่าใช้ไขควง) อย่างชัดเจน ประตู้ก็เปิดโล่งไว้ทั้งบาน ซึ่งวินาทีนั้นแน่ใจมาก ว่าเราไม่มีทางสะเพร่าเปิดแบบนั้นแน่นอน เลยสรุปได้ว่ามันเข้ามาทางประตูเลื่อนค่ะ ตำรวจก็คุย ถาม นู่นนั่นนี่ซักพัก แล้วก็ถามว่าเรามีเพื่อนที่พอจะให้มาหาได้มั้ย

เราบอกว่ามีเราก็เลยโทรหาเพื่อนคนไทยค่ะ เพื่อนก็งัวเงียตกใจตื่นขึ้นมาทันที ซักพักประมาณ 15 นาที เพื่อนก็มาถึงอพาร์ทเมนต์เราทั้งชุดนอนค่ะ (ขอบคุณ และรู้สึกอุ่นใจจริงๆ ที่มีเพื่อนในเวลาแบบนี้)
ตำรวจบอกว่าต้องรอ นักสืบ Detective มาเพื่อสัมภาษณ์และพิสูจน์หลักฐานก่อน
ซักพักนักสืบก็มา และขอให้ทุกคนออกจากห้อง เหลือแต่เราเพื่อทำการสัมภาษณ์ค่ะ
ก็เริ่มด้วยการอัดเสียง ซักประวัติ และถามทุกอย่างละเอียดมาก
เริ่มตั้งแต่ว่า ก่อนเรากลับบ้านเราไปไหน อยู่กับใคร ที่เราไปปาร์ตี้วันเกิด มีคนแปลกหน้ามั้ย มีการใช้ยา หรือมึนเมารึเปล่า (เราบอกว่าไม่มี) กลับมาเห็นอะไรผิดปกติ หรือเจอใครมั้ย (เราบอกว่าไม่เจอใคร)
ก่อนนอนทำอะไร นอนเวลาไหน เราก็ตอบไปว่าเราทำอะไรเรื่อยเปื่อยนอนไปตอนเที่ยงคืนครึ่งถึงตีหนึ่ง
แล้วก็ทวนฉากที่เล่าไปข้างบนทั้งหมดค่ะ
แต่ที่นักสืบถามละเอียด คือถามว่า โจรมันหน้าตาเป็นไง สูงต่ำดำขาว
เราบอกว่า เรารู้แต่ว่ามันเป็นคนดำ น่าจะหัวโล้น หรือสกินเฮด สูงและตัวใหญ่มาก เกือบถึงประตู (เกิน 180 แน่นอน) แล้วก็ค่อนข้างมีกล้าม นอกนั้นเราไม่เห็นจริงๆ

อ้ออ แล้วที่มันบอกว่ามีปืน เราก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเราไม่เห็นปืน แต่มันบอกว่ามีปืน ใครจะเสี่ยงจริงมั้ยคะ (ต่อให้ไม่มีเราก็คงสู้มันไม่ได้อยู่ดี)
แล้วก็ถามว่าเห็นมันช่วยตัวเองมั้ย เห็นไอ้นั่นของมันมั้ย ซึ่งเราเห็นแค่มันใช้มือชัก ไม่เห็นตรงนั้นค่ะ (มืดมาก)
ก็เล่ากันไปเกือบชั่วโมงนึงค่ะ จำได้ว่าเริ่มสัมภาษณ์ตีสีกว่าๆ เสร็จตอนตีห้านิดๆค่ะ

พอเสร็จ ตำรวจและนักสืบก็บอกว่า อยากให้ทิ้งของที่จำเป็นไว้แบบนั้น ห้ามขยับ เพื่อหาหลักฐานค่ะ ส่วนตัวเรา เค้าแนะนำว่าอย่าอยู่ที่นี่ต่อ เพราะไม่รู้ว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่ เลยให้ไปนอนกับเพื่อนแทน เพื่อนมากันสองคน ก็ช่วยกันเก็บของใช้ที่จำเป็น ตั้งใจว่าจะไปอยู่ค้างกับเพื่อน คืนวันพฤหัส และศุกร์ กลับมาเก็บของวันเสาร์แล้วย้ายออกทันทีค่ะ
สรุปก็ไม่ได้นอนค่ะ เราก็ยังมีอารมณ์ว่า ไปถึงบ้านเพื่อน อาบน้ำแล้วก็แต่งตัวออกมาทำงาน ตอนเจ็ดโมงกว่าๆ พอดีค่ะ -_-"

พอสายหน่อยๆ ก็มีนักสืบอีกคนโทรมาขออนุญาตเข้าไปค้นห้อง หาหลักฐาน บอกว่าจะเอา backlight เข้าไปดูเผื่อมี DNA/ คราบอสุจิค่ะ
แต่ในใจเราคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรหลงเหลือล่ะ เพราะมันไม่ได้เสร็จในห้องเรา ตำรวจล็อตแรกก็ส่องหาน้ำอสุจิแต่ก็ไม่เจออะไรค่ะ เลยคิดว่าคงชวดไปคราวนี้