Saturday, July 16, 2011

Before i go (5) เริ่มต้นทำความรู้จักกับนายจ้างคนใหม่ นามสกุล LLP

ความเดิมตอนที่แล้ว คือ เริ่มทำเรื่องเกี่ยวกับเอกสารขอวีซ่า

หลังจากที่กรอกเอกสารเสร็จ ก็จะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการเตรียมตัว transfer คือการที่ทางบริษัทที่อเมริกาต้องเริ่มแนะนำตัวให้เราทำความรู้จักคุ้นเคยว่าที่ระบบต่างๆที่ไทยกับอเมริกานั้นต่างกันยังไงบ้าง

>>>>>>>>>>>>>>>>>
LLP ถ้าใครเคยได้เห็นผ่านหูผ่านตาบ้าง จะเห็นได้ว่าบริษัทสัญชาติอเมริกา และเป็นของอเมริกาหลายๆแห่งจะลงท้ายด้วย LLP ซึ่งมันย่อมาจาก "Limited Liability Partnership" คำแปลก็แสนตรงตัว คือการที่เป็นการร่วมหุ้นแบบจำกัดหนี้สินนั้นเอง ดูๆแล้วน่าจะคล้ายกับหจก บ้านเราเนอะ

หลังจากที่ตกปากรับ job offer มาได้ซักพัก ทาง HR ของบริษัทที่อเมริกา ก็ส่งรายละเอียดเป็น link มาให้
โดยเอกสารแรกที่เราต้องกรอกจะมาเป็นรูปแบบออนไลน์ เรียกว่า "NEWCOMER document" เป็นเอกสารให้กรอกง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปของเรา แต่ที่แอบขำไม่ได้คือ ความช่างใส่ใจในความเป็นปัจเจกบุคคลของพนักงานซะมากมาย

มีคำถามว่าเรายินยอมที่จะบอกว่าเราเป็นคนพิการหรือไม่ ?

เรามีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานกับบุคคลที่ต่างชาติ ต่างสีผิวหรือไม่ ?

และที่ฮาที่สุดคือ เราเป็นสมาชิกของ GLBT หรือไม่ อ่านแรกๆก็งงว่าคืออะไร ซึ่งคำย่อของสิ่งนี้ก็คือ "Gay Lesbian Bi-sexual Transgender"  นี่เอง -"-  (นึกในใจถ้าเราเป็นทำไมต้องบอกด้วยฟระ) เค้าอาจจะเอาไปเข้ากลุ่มทำงานกับคนที่เหมือนๆกัน แบบที่บริษัทเราพยายามทำ Strength Finders ก็ได้นะ

จำไม่ได้ว่ามีคำถามเกี่ยวกับ HIV และโรคติดต่อรึเปล่า เพราะเวลากดส่งไปแล้วมันกลับมาดูไม่ได้ (ไว้จะให้พี่ๆที่ทำหลังเราลองเอามาแชร์ดูด้วยแล้วกัน)

คำถามพวกนี้เป็นคำถามที่เราเชื่อว่า พนักงานไทยส่วนใหญ่ไม่มีทางเคยถูกถามแบบนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าเราเคยทำงานบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งก่อนที่จะมาเข้าทำงานที่นี่แล้วก็ตาม ก็ไม่เคยได้ยินคำถามฮาๆแบบนี้

นอกจากนั้น ก็ยังมีคำถามซีเรียสเพิ่มเติมที่จะต้องใช้ e-signature เซ็นต์อีกหลายอย่าง เนื่องจากบริษัทเราเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านวิชาชีพ และเกี่ยวข้องกับข้อมูลความลับลูกค้า ทีต้องเซ็นเพิ่มเติมก็พวก
- การใช้ Intellectual Properties คือสัญญาว่าจะไม่แอบแฮบข้อมูล หรือวิธีการต่างๆไปขายหรือเอาไปใช้ทางการค้า
- ความเป็นอิสระ คือไม่ได้มีส่วนได้เสียกับบริษัทต่างๆ ถือหุ้นที่บริษัท listed ในอเมริกา (คงมีปัญญามีอะนะ 555)
- เซ็นรับรู็ว่าบริษัทเราเป็นบริษัทที่ "Drug free workplace" ติดยาต้องลาออกว่างั้น
- รับรู้นโยบายเรื่อง Harassment ในที่ทำงาน คือพวกการใช้ความรุนแรงไม่ว่ากาย วาจา หรือลวนลามทางเพศ (sexual harassment) ต้องได้รับโทษตามที่กำหนดไว้

หลังจากเซ็นสัญญาพวกนี้เสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีโซ่ตรวนเพิ่มขึ้นอีก ก่อนที่จะรู้สึกมีภาระผูกพันมากไปกว่านี้ ก็กดไปอ่าน Benefits อื่นๆ ที่บริษัทมีให้บ้างดีกว่า (น่าจะรื่นเริงขึ้น)

1) ประกันสุขภาพ
เชื่อว่าบริษัทอเมริกาส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ในขณะที่บริษัทเราที่เมืองไทยได้เหมาจ่าย BUPA ประกันสุขภาพส่วนบุคคลให้เราโดยที่พนักงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรถ้าอยู่ในวงเงิน และเงื่อนไขตามที่ประกันกำหนด  บริษัทที่อเมริกาก็เช่นกัน พนักงานทุกคนได้สิทธิประกันขั้นพื้นฐาน เช่น การชดเชยเมื่อตาย หรือพิการจากการทำงาน การประกันสำหรับการเดินทางทั่วไป
นอกเหนือจากนั้น บริษัทยังมี option เพิ่มเติมให้เลือก (และจ่ายเงินเอง) เนื่องจากการหาหมอที่นี่ ไม่ว่าจะหมอฟัน หมอทั่วไป หมอตา แพงโคตรรรๆๆ  ดังนั้นการทำประกันที่นี่ถือว่าเป็นจุดสำคัญมากๆ ที่จะต้อง study และตัดสินใจเลือก


ตอนนี้ยังไม่ได้อ่านละเอียดเลย เพราะมีโบรชัวร์มาประมาณ 36 หน้า ก็จะบอกเงื่อนไขต่างๆว่าเบิกอะไรได้บ้าง อย่างเช่น ทำฟันถ้าจ่าง Dental PPO จะได้สิทธิอะไรบ้าง

ที่อ่านแล้วแว๊บๆ อย่าง EyeMed Vision Care ก็คือถ้าเราจ่ายเพิ่ม $5 ต่อเดือน เราจะได้สิทธิในการตรวจสายตาปีละครั้ง มีสิทธิ์เบิกแว่น หรือเลนส์สายตา 1 คู่ต่อปี ประมาณนี้ (คือการตัดแว่น และซื้อเลนส์ที่นี่จะต้องได้รับคำสั่งจากแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถเดินดุ่มๆไปซื้อได้) 

ก็เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องอ่านเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง และในใจหวังว่า ไปอยู่นั่นปีสองปีคงจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตและร่างกายเราขึ้นจนต้องใช้สิทธิพวกนี้หรอกนะ -_-

2) CSR activities
อย่างที่รู้ๆกัน ว่าบริษัทมะกันเนี่ยมันคลั่ง CSR ขนาดไหน บริษัทเราที่นู่นก็เอาด้วย คือมีนโยบายส่งเสริมให้พนักงานร่วม CSR เช่น เป็นอาสาสมัครที่สภากาชาด (American Red Cross) และอื่นๆ ตามที่บริษัทมีโครงการร่วมกันไว้ โดยให้สิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมในเวลางาน 1 ชั่วโมงต่อเดือน และไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อปี
เป็นข้อดีเหมือนกันที่จะมีโอกาสให้พนักงานได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมแบบจริงจังบ้าง :)

3) AWAs Alternative Work Arrangements
เป็น policy สร้างความยืดหยุ่นในการทำงานให้พนักงาน มีทางเลือกหลายๆแบบในการทำงานให้ เช่น flexitime (เข้า 8 ออก 5 เข้า 9 ออก 6 ประมาณนี้) ซึ่งมันเหมาะกับพนักงานบางคนที่รถติดช่วง peak time หรือต้องไปส่งลูกเช้า หรือรับลูกเย็น จะได้มี option ในการบริหารเวลาได้มากขึ้น
Compressed work week คือให้ทำงานน้อยวันลง แต่ช่วงเวลายาวขึ้น เพื่อให้มีเวลาตามที่ต้องการมากขึ้น

มีพี่ๆที่เคยไปโปรแกรมนี้มาเล่าให้ฟังว่า ช่วงหน้าร้อนเค้าจะมีการปรับเวลาให้พนักงานเลิกเร็วขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนได้ใช้ weekend ในการไปเที่ยวเล่นได้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อชดเชยกับหน้าหนาวที่เวลางานมักยาวและหดหู่กว่าปกติเสมอ ^_^ อันนี้เก๋มักๆ  ไม่รู้เมืองที่เราไปอยู่จะมีด้วยรึเปล่านะ

4) Share leave program
อันนี้ก็แอบเก๋ดี คือให้เราบริจาควันหยุดเราได้เพื่อให้เพื่อนร่วมงานกรณีที่เค้าต้องลาหยุดยาว ด้วยเหตุผลที่จำเป็นเช่น ป่วย หรือครอบครัวมีปัญหา (คิดว่าฝรั่งคงลำบากน่าดูที่ต้องหยุดยาวๆ แล้ว leave without pay เนื่องจากทุกคนต้องทำมาหาเลี้ยงตัวเองจริงๆ)  แหะๆ แอบคิดว่าถ้าให้เพื่อนขาย leave ให้เราด้วยน่าจะดีนะ เราจะได้เที่ยวเยอะๆไง :p

5) others
มีปลีกย่อยอีกเยอะมากกกกก รวมถึงพวก tax consult,  ส่วนลดฟิตเนส และร้านค้าที่ออฟฟิศสมัครไว้, โปรแกรมเกษียณอายุ, Long-term service awards อะไรพวกนี้ 
ที่แอบคิดก็คือ ตอนนี้มันดูดีใช่มั้ย พอไปจริงๆ จะมีใครได้ใช้จริงๆป่าวหว่า อย่างพวก long-term awards ให้พนักงานที่อายุงานยาว พอไปทำงานจริงก็อยากรู้เหมือนกันว่า พนักงานที่นั่น turnover สูงเหมือนบริษัทที่เราทำอยู่รึเปล่าน๊า :)  (ถามคนเดียวเงียบๆในใจ)

No comments:

Post a Comment