Thursday, August 4, 2011

เช้าวันหนึ่ง ตัวฉัน ณ สถานทูตอเมริกา

เมื่อวานไปเข้าคิวรอวีซ่าแต่เช้า จากที่คิดไว้ว่าไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ เพราะจากเมื่อสองปีก่อนที่ขอวีซ่าท่องเที่ยวก็ดูลื่นไหลมาตามนัดไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อวานนี้ ยังไม่ 8 โมง คิวยาวเป็นร้อยคนเลยทีเดียว

จริงๆ สถานทูตก็มีให้นัดเวลาไว้ก่อนแล้วอะนะ อย่างเราได้คิวตอน 8 โมงเช้า พอถามคนที่เช็คชื่อเค้าก็บอกว่า "อ๋อ ทุกคนก็คิวแปดโมงเช้าค่ะ สามร้อยกว่าคิวพร้อมกัน คุณไปต่อแถวนะคะ" -_-" ชีวิตอะไรจะเศร้าขนาดนี้ ก็ต่อไปประมาณ 40 นาที ถึงได้ถึงหน้า gate security เท่านั้นเอง

G4S Security เป็นยามที่ไฮโซที่สุด  พอถึงหน้าด่านเก่อนเข้าสถานทูต ทุกคนก็ต้องเอาอุปกรณ์ electronic ทุกอย่างฝากไว้ที่คุณยาม ไม่ว่าจะเป็นมือถือ iPad iPod thumbdrive ของมีคม และร่ม ก็ต้องฝากไว้ ผ่านเครื่องแสกนตัว และกระเป๋าเข้าไปสิริรวม 9 โมงเช้าพอดี T_T

ตรวจเอกสาร
พอผ่านด่านเข้าไปแล้ว ก็ถึงขั้นตอนต่อแถวอีกประมาณ 30 นาที เป็นวันอะไรไม่รู้ที่ดูเหมือนว่าทุกคนจะมาขอวีซ่า คำนวณดูวันนึงสถานทูตนี่ได้ตังเยอะมิใช่น้อย 300 คนคนละสี่พันกว่าๆ ก็วันละเป็นแสนแล้ว
นอกจากนั้นระหว่างรอคิวก็ยังมีร้าน "กาแฟดอยคำ" ไว้ให้ซื้อกินด้วย รอนาน และหิว ก็เลยจัดกาแฟไปหนึ่งแก้ว  แต่ก็จัดว่าเป็นร้านกาแฟที่ดูน่ากลัวเพราะต้องซื้อและจ่ายตังผ่านลูกกรงด้วยอะ

เรื่องเอกสารสำหรับวีซ่า Intercompany transfer อย่างเรานั้นแสนสบาย เพราะทางทนายความที่อเมริกาได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เราแค่หยิบPassport และ DS-160 ที่ต้องกรอกออนไลน์เองเท่านั้น (DS-160 เป็น requirement ของผู้ขอวีซ่าอเมริกาทุกประเภทต้องกรอกออนไลน์ให้แล้วเสร็จก่อนทำการสัมภาษณ์)

กว่าจะหลุดเข้าไปถึงช่องที่รอสัมภาษณ์กับท่านกงสุลได้ก็เล่นเอาโชกเลือด....

รอเข้าช่อง
ดูเหมือนช่อง 12-13 ของเรา จะเป็นช่องสำหรับคนที่เคยได้วีซ่าอเมริกาแล้วทั้งนั้น
ส่วนช่องเด็ดๆ คือช่อง 1 และ 2 ซึ่งจากการสังเกตการณ์ ช่องนี้จะเป็นช่องของ "ชมรมสามีฝรั่ง" เท่านั้น กงสุลเป็นผู้หญิงฝรั่งพูดไทยได้แบบเจ้านายเรยา คอยสัมภาษณ์พี่ๆ ที่ต้องการได้ non-immigrant visa พาลูกพาหลานไป ช่องนี้ดูแล้วสนุกที่สุด เพราะว่ากงสุลสัมภาษณ์ดังมากกกกกก
มันเลยช่วยฆ่าเวลาอันแสนน่าเบื่อของผู้คนที่ต่อแถวรอเข้าช่องอย่างเราๆ และเพื่อนแปลกหน้ามากมาย

ความฮาของช่อง 2
ตอนที่รอต่อแถวเข้าช่องอีกเกือบชั่วโมง เราก็ได้บริหาร professional skepticism แอบ (เจือก) ฟัง ว่าเค้าถามกันว่าอะไร  stereotype ของคนที่สัมภาษณ์กับช่อง 2 มีอะไรบ้าง (จากการสังเกตทางสถิติ 5 คน)  ---ทุกคนล้วนแล้วแต่
- เป็นหญิงไทย
- แต่งงานแล้ว เคยแต่งงานมาก่อนซัก 1-3 ครั้ง
- มีสามี หรือแฟนเป็นคนอเมริกัน
- สามี หรือแฟนอเมริกันนั้น ค่อนข้างมีอายุ หรือแก่เลยทีเดียว
- ต้องการไปหาสามี ใช้ชีวิต และทำงานที่อเมริกาอย่างถูกกฎหมาย
- ซึ่งงานนั้นยังไม่รู้ว่าคืออะไร

เนื่องจากคนถูกสัมภาษณ์เป็น pattern เดียวกัน คำถามที่ท่านกงสุลสัมภาษณ์ก็เป็น Pattern เดียวกันโด้ยยย
- ถามว่า สามีของคุณชื่อ นามสกุล ชื่อกลาง ว่าอะไร (และน่าแปลก ตัวอย่างที่เราทำการสำรวจนั้น จำและสะกดชื่อแฟนตัวเองไม่ได้!!!)  ก็แอบได้ยินกงสุลเทศนาไป บอกว่าชื่อฝรั่งมันซ้ำกันเยอะ ยูต้องรู้นะ ว่าชื่อต้น ชื่อรอง นามสกุลคืออะไร
- ทำไมถึงอยากแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ because he is so OLD!! โอว้ แรว๊งงงส์  ก็คนเราจะรักกัน อายุมันมิใช่ประเด็นนะคะท่านนนน   แต่ก็นะ เสปคสาวไทย ชอบฝรั่งมีอายุหรือเนี่ย อิอิ
- จะไปอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร เคยไปอเมริกาไหม ... คุยไปถามกันไปซักพัก ตัวอย่างสำรวจก็ต้องหาตัวช่วยเป็นเจ้าหน้าที่คนไทยมาทำ subtitle เพราะแต่ละคนภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นจริงๆ

เลยมีคำถามเด็ดๆ จากท่านกงสุลว่า แล้วปกติอยู่ไกลกัน Keep in touch กันยังไง?
- ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าคุยกันทางโทรศัพท์

เราว่าจริงๆแล้วเค้าเก่งกันมากเลยอะ ให้เราพูดภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ให้รู้เรื่องนี่ยากมากอะ -_-" แต่คนเหล่านี้แบบว่า สามารถคุยกันจนสานสัมพันธ์ลึกซึ้งได้  เพลงนี้วิ้งขึ้นมาเลยยยย

" รักข้ามขอบฟ้าาาา รักคือ สื่อภาษาสวรรค์" หน้าพี่อั้ม กับนาเดียก็ขึ้นมาด้วย 555 เก่าเกิ๊นนน

ส่วนคำถามอื่นๆ นั้นช่าง insight และถามได้ดังมาก คือคนที่ต่อแถวอยู่ได้ยินกันหมด
แล้วคำตอบบางทีก็ขำดี บางทีก็ดูแบบเจาะลึกเกินไปป่าวว
แบบถามว่า แต่งงานมาแล้วสามครั้ง ตอนนี้สามีเก่าไปไหน ทำอะไร ทำไมถึงเลิกกัน
ถามว่า คิดว่าจะไปอยู่ได้เหรอ รู้จักอเมริกาดีพอรึยัง ไปถึงมันไม่มีใครนะ
....  ถ้าไม่รักกันจริงเนี่ย ต้องโดนจับพิรุธได้แน่ๆเลย...

PS ขอบอกไว้ก่อนว่า ที่เล่านั้นต้องการให้ขำๆ และเป็นการสังเกตของเราระหว่างการเข้าคิวรอเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับประชากรโดยรวม หรือสาวๆ อีกหลายๆคน ที่ไปต่อช่อง 2 แล้วไม่ได้มีลักษณะท่าทางดังกล่าว อย่างที่บอก คนเรารักกันไม่จำกัด เชื้อชาติ ศาสนา อายุนะจ๊ะ :D

ส่วนช่องอื่นๆ ก็จะเป็นวีซ่าท่องเที่ยว หรือวีซ่า exchange ซะส่วนใหญ่ คนที่รอเข้าแถวช่องประมาณ 8-11 ก็มักจะเป็นเด็กนักเรียนที่จะไปเรียนต่อ ไปออแพร์ ไปแลกเปลี่ยน ถ้ามาเป็นครอบครัวก็มักขอไปเที่ยว ถ้าเป็นผู้ใหญ่มาคนเดียวก็แนวขอไปประชุม ดูงาน

มีท่านกงสุลคนนึงแอบหล่อ เป็นคนอเมริกันท่าทางใจดี พูดไทยค่อนข้างชัด และยิ้มตลอดเวลา
คำถามก็ไม่ร้ายกาจด้วย ถ้าใครเจอหนุ่มคนนี้ (ซึ่งแต่งงานแล้ว เพราะเห็นใส่แหวนนิ้วนางซ้าย) ขอบอกว่า คุณต้องโชคดีมีโอกาสผ่านมากกว่าช่องอื่นๆแน่นอน  และอย่าลืมเตรียมคำตอบด้วยว่า ชื่อไทยของคุณนั้น แปลว่าอะไร :)   ถูกใจให้ LIKE กงสุลท่านนี้มากมายยย

(จะว่าไป ป้าช่อง 8 ในตำนานไม่เห็นมีแล้วเลยแฮะ)

ใช้เวลาสิริรวมทั้งสิ้น "สี่ชั่วโมงครึ่ง"!!! ที่ต้องยืนรอ และได้นั่งไม่ถึง 20 นาที

พอถึงคิวเราจริงๆแล้วมันเร็วมาก คือยื่น petition ไปแล้วเค้าขอไปตรวจสอบแป๊ปนึง เรียกไปจ่ายเงินเพิ่มอีก $500 เป็นค่า prevent fraud ซึ่งเฉพาะวีซ่า L-1 เท่านั้นที่ต้องจ่าย แล้วก็จ่ายค่าธรรมเนียมอีก $15 เป็นค่าอะไรก็ไม่รู้ รวมทั้งหมดกว่าจะได้วีซ่ามา เราเสียเงินไปทั้งหมด 2 หมื่นนิดๆ =_=  กระเป๋าแห้งเลยทีเดียว (ดีที่เคลมจากบริษัทที่อเมริกาได้)

กงสุลที่แสนดีก็ไม่ถามอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ตรวจเอกสาร ให้เราแสกนนิ้วเล็กน้อย แล้วก็คืนใบ EMS บอกให้ไปจ่ายตังรอรับวีซ่าได้เลยยยย

เย้!!! และแล้ว USMP ก็เข้าใกล้ความจริงไปอีก 1 level!!!

Tips ในการเตรียมตัวขอ US VISA
  1. ถ้าไม่อยากรอนาน ให้ไปต่อคิวก่อนเวลาอย่างน้อย 30 นาที เช่น นัดคิวไว้ 8 โมงเช้า ถ้าวันนั้นมีธุระต้องรีบไปไหนต่อ ให้รีบไป standby ตั้งแต่ 7 โมงเช้าเลย ไม่งั้นยาวววว
  2. ควรเตรียมเอกสารให้เรียบร้อย โดยเฉพาะรูปถ่าย ถ้าไม่ได้โหลดในเนตไว้ ให้ไปหาร้านถ่ายรูปที่มีความชำนาญในการถ่ายรูปวีซ่าอเมริกา เพราะเราเห็นคนโดนถ่ายรูปใหม่เยอะมาก (ดูเดี่ยว 8 เป็นตัวอย่างนะจ๊ะ)
  3. ถ้าใครขี้เบื่อ อย่าลืมหาหนังสือไปอ่าน อย่าลืมว่าเอา ipad/ มือถือเข้าไปไม่ได้ และในสถานทูตก็ไม่มีนิตยสาร หรืออะไรให้บริการเลย จะมีก็ทีวีช่อง 3 ให้ดูแก้เครียด (เราดูก่อนบ่ายคลายเครียด)
  4. ห้องน้ำหญิง และ ชาย มีอย่างละห้อง สะอาดสะอ้านพอใช้ได้ แต่จะให้ดี เตรียมเข้าห้องน้ำมาจากบ้านให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนถึงสถานทูตดีกว่า เพราะบางทีต้องต่อคิวนาน แล้วฝากคิวคนอื่นก็ไม่สะดวก
  5. "อย่าใส่ส้นสูง" เป็นอันขาด เพราะระยะเวลาที่ต้องยืนรอนั้น นานมากกกกส์ เห็นสาวๆ หลายคนต้องถอดรองเท้ายืนเท้าเปล่าระหว่างรอคิว แล้วน่าสงสารมากเลย
  6. เตรียมข้อมูลตอบคำถามให้ดี  คนที่ขอวีซ่าท่องเที่ยว ให้เตรียมตอบได้เลย ว่าจะไปที่ไหน เมืองอะไร อยู่กี่วัน ไปกับใคร ใช้งบประมาณเท่าไหร่ มีญาติพี่น้องที่นั่นไหม  เป็นคำถามภาคบังคับ ถ้าใครที่คิดว่าจะเที่ยวชิลๆ ก็ยังแนะนำอยู่ดีว่า ให้ลอง research ที่เที่ยวยอดฮิต ไว้ตอบคำถามจะดีกว่า ไม่งั้นอาจถูกปฏิเสธวีซ่าเนื่องจากข้อมูลไม่พร้อมได้
  7. เตรียมเงินค่า EMS  อย่าลืมเตรียมตังไป 75 บาท ไว้ให้สถานทูตส่ง passport คืนมาที่บ้าน ตอนนี้มีอีก option คือไปรับเองได้ที่ไปรษณีย์รองเมืองเท่านั้น เพราะฉะนั้นการให้ส่งถึงบ้านเลยน่าจะสะดวกสุด ถึงทาง ปณ จะมีเงินทอนให้ แต่ก็อย่าลืมหยิบตังไปเผื่อด้วยนะ ถ้ามีแต่แบงค์พันคงโดนสาปแช่งในใจได้ ^3^
  8. เหนือสิ่งอื่นใด  ทำใจให้สบาย ไม่ต้องเครียดมาก แต่งตัวสบายๆได้ (เราเห็นบางคนใส่ขาสั้นรองเท้าแตะด้วยซ้ำ) ใครที่กังวลว่าจะแต่งตัวยังไง เราว่าเอาให้เหมือนเวลาออกนอกบ้านก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นเสื้อเชิ้ต ใส่สูท หรือต้องใส่ชุดนักเรียนขนาดนั้นนะ แต่ก็เอาให้สุภาพ ให้เกียรติสถานที่เท่านั้นพอ
            ถ้าใครที่ไม่ได้มี background ที่น่าสงสัย มีงานประจำทำ หรือมีที่เรียนแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลาอะไรมาก  คนที่อาจจะต้องเตรียมตัวหน่อยคือพวก อาชีพอิสระ รับจ้างที่ไม่มีจดหมายรับรองการทำงานมากกว่า
เพราะสิ่งที่สถานทูตกลัวที่สุด ก็คือ กลัวการที่เราจะไปโดดร่ม ขุดทอง แย่งงานเค้านั่นเอง

สำหรับคนที่อยากจะขอวีซ่าอเมริกาเพื่อไปเที่ยวซักครั้งในชีวิต มีอะไรก็ถามเพิ่มเติมได้นะ
ขอให้โชคดีค่ะ :)

No comments:

Post a Comment