Tuesday, August 2, 2011

Passion ในชีวิต

จากการที่ไปเป็น course owner และมีการแนะแนวน้องๆที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่มา
ทำให้มีโอกาสได้หวนกลับไปคิดถึงวันแรกที่เราเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้

ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องประมาณสี่ปีกว่าๆมาแล้ว....

วันแรกที่เข้าทำงานของเราไม่เหมือนน้องๆที่เข้ามาพร้อมกับเพื่อนๆ เนื่องจากตอนเราเรียนจบจบ 3 ปีครึ่งก็เรียกได้ว่าจบเร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่นทั่วไป เราได้ตัดสินใจเริ่มทำงานที่บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง

บริษัทที่เราเริ่มทำงานด้วยบริษัทแรกนั้น จะว่าไปพอมามองตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำที่ดีมากๆเลย สวัสดิการดี เพื่อนร่วมงานก็ดี แถมให้โอกาสเราได้ไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งเดือนนึง ใช้ชีวิตหรูหรา กินใช้ไม่อั้น อยู่อย่างสะดวกสบาย จะเสียก็อย่างเดียว ที่งานมันน่าเบื่อ ไม่ค่อยได้พบใคร และเงินเดือนขึ้นช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง 

พอทำได้ครบปีปุ๊ป ก็เลยลาออกปั๊ปเลย

ได้มาเริ่มงานใหม่กับที่นี่ก็เป็นบริษัทข้ามชาติเหมือนกัน ถึงความ Inter จะลดลงมานิดนึง ก็ยังจัดว่าอยู่ในระดับที่ยังให้โอกาสได้พูดคุยกับเจ้านาย และเพื่อนต่างชาติ (บ้าง)

ที่เราเลือกทำงานที่นี่ สาเหตุแรกและสาเหตุเดียวก็เพราะ เรื่องที่ให้โอกาสไป Mobility ได้ไปทำงานเมืองนอกเนี่ยแหละ  ชีวิตเราเคยไป Work and Travel มาสองครั้ง (ครั้งแรกไป Yellowstone National Park ครั้งที่สองไป Cedar Point Amusement Partk ถ้ามีโอกาสจะมาย้อนอดีตให้ฟัง) และไปเที่ยวเล่นเองก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่จะได้กลับไปอย่างภาคภูมิใจเท่านี้เลย

เรายังจำวันสุดท้ายที่ไปทำงาน Work and Travel ได้อยู่เลย เราคุยกับเพื่อนอีกคนที่เป็นคนสิงคโปร์กันว่า งานที่ทำอยู่ก็สนุกดีนะ ได้ไปเที่ยว ได้ฝึกภาษา ได้เงิน ได้พบเจอผู้คนมากมาย แต่พวกเราก็คงทำได้ และอยากทำแค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเท่านั้นแหละ พออายุจะสามสิบแล้ว ไอ้ที่จะให้กลับไปปัดกวาดเช็ดถู เสิร์ฟอาหาร เก็บโต๊ะ หรือยืนขายของ มันดูจะเป็นทางเลือกที่รองๆลงมาแล้ว

ไม่ใช่ว่าอาชีพพวกนั้นมันน่ารังเกียจ หรือกลับไปทำไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่เราคิดว่า ความรู้ที่พยายามร่ำเรียนมา จนจบป.โท ได้ Cer สายวิชาชีพมาแล้วเนี่ย ก็น่าจะได้ใช้ความรู้ ใช้สมอง มากกว่าตอนที่เราอายุ 18 สิน่า

ถึงจุดนี้ก็แอบดีใจนิดนึงว่า ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง วันที่เราจะได้ไปเป็น White collar worker คือมนุษย์เงินเดือน เป็นพนักงานบริษัท แบบที่ไม่ต้องแลกเงินด้วยหยาดเหงื่อแรงงานแบบแต่ก่อนแล้ว :-)

ถึงแม้จุดหมายสูงสุดคืออยากเป็นเจ้าของอะไรซักอย่างที่ไม่ต้องไปขอเงินเดือนใครเค้า
แต่ใครจะรู้ว่า เป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้เกือบสิบปีที่แล้ว มันจะเป็นความจริงขึ้นมา

กลับมาเห็นภาพน้องๆที่เริ่มงานวันแรก ทุกคนมีความฝัน มีความชอบ และมีจุดมุ่งหมายสุดท้ายที่ไม่เหมือนกัน 

บางคนคิดไว้ว่าอยากทำงานนี้ แต่ก็อาจค้นพบในที่สุดว่ามัน "ไม่ใช่"
บางคนไม่เคยคิดฝันว่าจะได้ทำงานนี้ แล้วก็พบว่างานนี้มัน "ใช่"
บางคนไม่เคยฝัน ไม่เคยคาดหวัง และก็ยังไม่รู้ว่ามัน "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"

ก็อยากบอกว่า ให้ลองเดินข้างหน้าต่อไป อย่างน้อยอย่าหยุดเดิน ถึงจะล้ม ถึงจะโดนหนามทิ่มแทง หรือมีอะไรมาขัดขวางระหว่างทางเดินไปบ้างก็อย่าไปสนใจ

ก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ซักวัน สิ่งที่ "ใช่" มันจะมายืนอยู่หน้าเราเอง!!

ขอให้น้องๆทุกคนที่มีโอกาสมาอ่าน ได้ใช้ชีวิตเริ่มต้นให้สนุก และคุ้มค่าที่สุดนะจ๊ะ

เราไม่รู้หรอกว่า ปีหน้า สามปีข้างหน้า หรืออีกสิบปีข้างหน้า ข้างๆเราจะเหลือใคร และเราจะเป็นอะไร ทำงานอยู่ที่นี่ไหม แต่ถ้าทุกๆวันเราสามารถมีความสุข และรักในสิ่งที่เราทำ

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คงไม่มีคำว่า "เสียดาย" ให้ต้องมานั่งคร่ำครวญแน่นอน

เราถือคติว่า "เสียใจในสิ่งที่ทำ ดีกว่าเสียดายที่ไม่ได้ทำ"

1 comment: