Tuesday, September 13, 2011

First day in Atlanta

หายหน้าหายตาไปนานมาก


ตอนนี้เราก็ได้ย้ายมาอยู่ Atlanta อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว 


เริ่มจากวันเสาร์ที่ 10 กันยา ตอนบ่ายๆ ก็ check out ออกจากโรงแรมที่ New Jersey ล่ำราเพื่อนอีก 39 ชีวิตเป็นที่เรียบร้อย ถึงตอนนี้ต่างคนก็ต่างย้ายไปเมืองตัวเองแล้ว บางคนก็ขับรถไป (อย่างพวกที่อยู่นิวยอร์ค บอสตัน ฟิลาเดเฟีย ) ส่วนที่เหลือก็ทยอยกันไปสนามบินเพื่อบินไปเมืองตัวเอง


เราก็บินเหมือนกัน ^__^  คราวนี้เปลี่ยนจาก JFK, New York เป็น Newark, NJ แทน จะได้เห็นสนามบินหลายๆที่  ใช้บริการ Delta เนื่องจากเป็นสายการบินที่มี Head Quarter อยุ่ใน Atlanta ต่อไปนี้คงได้พึ่งพิงสะสมไมล์กันกระจายเลยทีเดียว


เดินทางจาก Newark, NJ ถึง Atlanta เป็นระยะทางทั้งหมด 887 miles (จาก google maps) ใช้เวลาบินประมาณสองชั่งโมงเต็ม  


First impression
1) เป็นเมืองที่เขียวมาก ครั้งแรกมองลงมาจากเครื่องบิน ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้ๆๆๆๆ  เขาใหญ่หรือนี่!!!  นอกจากต้นไม้ ก็มีแต่สนามกอล์ฟๆๆๆ เพราะ Atlanta ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีสนามกอล์ฟงามๆ เยอะเลย


2) Hartsfield–Jackson_Atlanta_International_Airport  สนามบินประจำเมือง Atlanta ซึ่งเป็นสนามบินที่เคยถูกจัดให้เป็นสนามบินที่ยุ่งที่สุดในโลก (the world's busiest airport) เมื่อปี 2010 และเป็น hub ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีทั้งหมด 193 gates แน่ะ (รู้สึกสุวรรณภูมิบ้านเรามี 6X gates ส่วน JFK, NY มี 55 gates เอง) 


พอได้เห็นกับตา มันช่างเป็นสนามบินที่สมกับเป็น Delta Head Quarter จริงๆ ขนาดที่ๆ ต้องไปรอรับกระเป๋า (baggage claim) ยังต้องนั่งรถไฟฟ้า transit ไปอีก terminal นึงเลย -__- 


เดินสิบกว่านาทีกว่าจะถึงที่ claim กระเป๋า จนเกือบคิดว่าเดินหลงทางแล้วซะอีก


พูดถึงกระเป๋า คราวนี้ overweighted หรือน้ำหนักเกินทั้งสองใบ เนื่องจากสายการบิน domestic ของอเมริกาจะคิดค่ากระเป๋าเช็คอินตั้งแต่ใบแรก (เหมือนแอร์เอเชียนั่นแหละ) โดยคิดค่าธรรมเนียม $25 สำหรับใบแรก 23 โล และใบที่สอง $35 23 โล ส่วนเรา ประมาณเกือบ 30 โลทั้งสองใบ ก็เลยโดนค่าน้ำหนักเกินแบบ flat rate (23-30 โล) อีกใบละ $90!!!


สิริรวม ใบแรก $25 + $90  ใบสอง $35 + $90 เป็น $240 หรือ 7พันกว่าบาททีเดียว



ดีที่ถามมาแล้วว่าออฟฟิศจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้อะนะ ไม่งั้นคงมีรายการหยิบโยนทิ้งสถานเดียว T___T  (ยังไม่รวมกล่องอีกสองกล่องที่ ship ทางเมลตั้งแต่ที่ New Jersey แล้วนะ บ้าหอบสุดๆอะ)


พอมาถึง baggage claim ก็มีคนขับรถมารอรับอย่างอุ่นใจหายห่วง เค้าจัดการแบกกระเป๋าพาเรานั่งรถ Lincoln ฮิฮิ เดินทางถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพ ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีเท่านั้นเอง


3) เมืองใหญ่ ยุ่ง และวุ่นวาน สไตล์คนเมือง


ถนนที่นี่ใหญ่มาก คือ ถนนทั่วๆไปจะมีฝั่งละ 3 เลน รถก็วิ่งกันเร็วมากกก 


แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดี คือมีไฟเขียวไฟแดง ปุ่มให้คนเดินถนนกดแทบทุกแยก ทุกซอยเลย
ส่วนคนก็ไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่ คือถ้าเห็นว่าถนนว่าง ต่อให้ไม่ได้เขียวให้ข้ามก็ข้ามๆไปอะนะ


ที่จัดว่ามันใหญ่ก็เพราะมีรถไฟฟ้าเป็นของตัวเองด้วย แบ่งเป็นสายสีต่างๆ ที่เห็นก็ยาว และหลายสถานีกว่า  BTS บ้านเราอะนะ ขนาดเป็นเมืองที่พึ่งพารถ (ทุกคนควรจะต้องมีรถถึงจะไปไหนมาไหนได้) ยังมี public transportation ที่โอเคแบบนี้ ก็น่าจะใหญ่พอตัว  


(wiki กระซิบมาว่ามีประชากรสิบล้านต้นๆ พอๆกับกรุงเทพแฮะ แต่ไม่แออัดนะ) 




Residence Inn Marriott ใหญ่ไปสำหรับคนเดียว T_T
โรงแรมที่เข้าพัก คือ Residence Inn Piedmont Marriott คือเป็นโรงแรมสำหรับ long stay เนื่องจากจะมีครัวที่มีอุปกรณ์พร้อม ไม่ได้มีแค่เตียงกับตู้เหมือนโรงแรมทั่วไป ประทับใจกับที่อยู่ชั่วคราวนี้มักมัก 


จะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสองอาทิตย์ เรียกว่าเป็น Transition week คือ week ให้เราปรับตัวกับเมืองใหม่ และเริ่มหาบ้าน หารถ เพื่อเตรียมพร้อมกับการทำงาน และชีวิตจริงในวันที่ 19 กันยายน




และแล้วชีวิตใน Peachtree city ก็เริ่มขึ้น!!!  3..........2.................1.........Let's go!!!






No comments:

Post a Comment