Monday, September 19, 2011

First working day in Atlanta

หลังจากอยู่ช่วง Honeymoon period มาได้ซักพักใหญ่ๆ ช่วงหนึ่งเดือนก่อนออกเดินทาง และช่วง training week ที่ New Jersey ก็เหมือนพวกเราชาว USMP กะเหรี่ยงทุกคนได้หยุด operate ไปเดือนกว่าๆเลยทีเดียว


วันอาทิตย์ วันสุดท้ายของวันหยุด

ไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนคนไทยที่ร้าน Sushi แถว Decatur ซัด Katsudon หรือข้าวหน้าหมูทอดไปหนึ่งจาน ที่นี่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใกล้เคียงความเป็นญี่ปุ่น แต่เด็กเสิร์ฟกลับเป็นคนไทยหมดเลยแฮะ

แล้วก็สั่งข้าวปั้นหน้าปลาซาบะ (ที่นี่ก็คือปลาแมกคอเรล) คำละ $1.9 ก็พอทนๆ แต่พอปลามาจริงชิ้นใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าที่มิยาตาเกะอีกล่ะ

บรรยากาศชิลๆ รอบๆ Decatur Square


Sushi Avenue ร้านอาหารที่ฝากท้องไว้

บรรยากาศภายในร้านเก๋ไก๋ดี

อาหารราคาไม่แพง เซทนี้ $7.50 เท่านั้น

ข้าวหน้าหมูทอด รสชาติเหมือนทำเองเลย $6.75

ข้าวปั้นกล่องข้าวน้อย (อัดข้าวเยอะจริง)
เสร็จแล้วก็ไปจิบกาแฟร้านแนวๆ
ตกแต่งแนววัยรุ่น Graffiti มีพวกผลงานศิลปินแขวนขายด้วย

แก้วนี้เรียกว่า "Caramellatto" กาแฟเย็นใส่คาราเมลนั่นเอง อร่อยยย

มอคค่าร้อนของเพื่อน คิดถึง Black Canyon แฮะ
ต่อจากนั้นก็อิ่มอ้วก ไปเดิน Walmart + Ross ชอปปิ้งตามประสาสาวๆ กันเล็กน้อย
แล้วก็กลับบ้านเตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้น




19 September 2011 เช้าวันจันทร์ใสๆ อากาศเย็นๆ 

เป็นวันจันทร์แรกที่ต้องตื่นเช้ากว่าเดิม เป็นวันจันทร์ที่ตื่นขึ้นมาทันกินข้าวเช้า (ซึ่งเปิดถึงสิบโมง)

อาบน้ำแต่งตัว (แต่ไม่ได้แต่งสวย) งัวเงียเล็กน้อย สตาร์ทรถ กด GPS ออกเดินทางเข้า Downtown Atlanta

เวลาออกเดินทาง  8.10 AM เวลานัดหมาย 8.45 AM
ระยะทางประมาณ 6.3 ไมล์ หรือสิบกว่าโล ปรากฎว่ารถไม่ติดแฮะ

ถึงที่จอดรถประมาณ 8.25 ไม่น่าเชื่ออ ว่ารถแทบไม่ติดเลย (มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะคืนก่อนหน้ามีแข่ง American Football match ใหญ่ที่คนดูกันทั้งเมือง)

ที่จอดรถที่นี่ต้องเสียตังเองด้วยล่ะ เป็น Garage ของเอกชนที่คิดค่าจอดแบบ Flat rate อย่างที่เราจ่ายไปวันนี้ก็ $5 จอดได้ทั้งวัน (แต่ห้ามค้างคืน)  ส่วนตึกของออฟฟิศก็จอดได้แต่ค่าจอดรถวันละ $17 เหรียญแน่ะ  รีดเลือดกับปูชัดๆ!!!

ส่วนใครที่ไม่อยากจ่ายตังแพง ออฟฟิศก็สะดวกมาก คืออยู่ระหว่างกลาง MARTA หรือสถานีรถไฟฟ้าถึงสองสถานี ก็เลยมีคนโดยสารรถไฟฟ้ามาเองเยอะเหมือนกัน

เรามาถึงคนแรกในบรรดาพนักงานใหม่ อันที่จริงวันนี้ก็มีคนเข้าใหม่แค่ 3 คนเท่านั้นเอง ^_^"

เริ่มด้วยการถ่ายรูปทำบัตรติ๊ดเข้าออฟฟิศ ที่นี่ก็ตลกดี บนบัตรไม่บอกว่าเราทำอยู่บริษัทไหน แต่ background รูปภาพต้องเป็นรูปธงชาติอเมริกาอะ รักชาติเกิ๊นน

ตึกออฟฟิศนี้เป็นตึกไฮโซ และใหม่มากทีเดียว office เรามีพนักงานทั้งหมดประมาณเกือบหนึ่งพันคน
เลยกินพื้นที่ตั้งแต่ชั้น 16-22 แล้วก็เช่าเพิ่มชั้น 6 อีกที่ ก็รวมทั้งหมด 8 ชั้นด้วยกัน

ออฟฟิศใหม่มากๆ เพราะเพิ่ง renovate เสร็จสองเดือนกว่าๆ และมีอีกสองชั้นที่กำลังปิดปรับปรุง ในออฟฟิศมีบันได้เชื่อมถึงกันระหว่างชั้น 17-21 เป็นบันไดวนใหญ่ๆ เหมือนอยู่ในวังเลย

ทั้งวันไม่ได้ทำอะไรมาก ก็ไป orientation ฟังกฎระเบียบต่างๆ เทรนเรื่องการทำงาน วางแผน staff ทำ booking

ที่แปลกจากออฟฟิศที่เมืองไทยคือ
1) orientation ส่วนใหญ่จะเป็นการเทรนนิ่งออนไลน์ แนว interactive software จะไม่ค่อยมีคนมาจิ้มสไลด์โชว์เป็นวันๆ แบบที่ปฐมนิเทศน์ส่วนใหญ่จะทำกัน

2) ทุกอย่างต้องทำด้วยตัวเอง โดยจะมี manual วิธีทำนู่นนี่มาให้ทั้งหมด เช่น ลงเครื่อง Printer, set voice mail, set Fax no, set phone no, set mail account ทุกอย่างต้องทำเอง ศึกษาเองหมด ไม่เหมือนที่เมืองไทยที่เราต้องพึ่งพาพี่ๆ IT เสมอ

3) เวลาถามอะไร มักจะไม่ได้คำตอบมาง่ายๆ อย่างเช่นถามว่านู่นนี่เบิกได้มั้ย ต้องทำยังไง ส่ว่นใหญ่เค้าจะบอกว่า "ให้ไปหาเอาใน HR policy ใน intranet เองเอง" ไม่มีใครมาคอยป้อนอะไรใส่ปาก
เพราะฉะนั้น คำถามที่เค้าอยากจะตอบ คือคำถามที่เค้าไม่สามารถตอบได้เท่านั้น

เราเลยเริ่มฝึกคิดก่อนถามมากขึ้น แต่เดิมที่ชอบค้นคว้าหาอะไรเองแล้ว มาอยู่นี่ยิ่งต้องเพิ่มดีกรีความเข้มข้นมากขึ้นอีก

4) เรื่องการ key time sheet, expense sheet เป็นเรื่องคอขาดบาดตายมาก ห้ามสาย ห้ามเลท ห้ามบิดเบือนเด็ดขาด เค้าย้ำมากๆ  ว่าถ้าเรามีจ๊อบแต่ไม่รู้จะทำอะไร ต้องรายงานใน time sheet ว่าว่างงาน ไม่ใช่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ ถ้าไป service ลูกค้าก็ต้องมีอะไรทำตลอดเวลา เวลารอเอกสารไม่นับเป็นเวลางาน


5) ที่นี่ไม่มี OT คร่าาา ไม่ว่าจะเด็ก จะแก่ หรือ rank ไหนก็ตาม ไม่มี OT เพราะเค้าถือว่าพวกเราเป็นปัญญาชนคนกินเงินเดือนประจำ ไม่ได้เป็นพนักงานรายชั่วโมง

แต่ส่วนใหญ่ก็จะทำไม่เกิน 55 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ และไม่ทำวันเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ เพราะฉะนั้น 55 ชั่วโมงก็หมายถึงการทำงาน 11 ชั่วโมงต่อวัน

6) มี incentive ให้คนออกจ๊อบตจวด้วย 
ถ้ามีแบบนี้ที่เมืองไทยก็ดีอะ ยกตัวอย่างเช่น ใครที่ออกจ๊อบตจว (คือนอนค้างคืน) เกิน 40 คืนจะได้เงินรางวัลเป็นบัตรของขวัญ $200 หรือเกือบหกพันแน่ะ แล้วทุก 20 คืนต่อจากนั้นก็จะได้ $200

ถูกใจใช่เลย กับคนที่ชอบเดินทางอย่างเรา ^_^ เพราะฝรั่งส่วนใหญ่จะไม่อยากเดินทางไปไหน ตอนเย็นจะไม่ได้เที่ยว ไม่ได้เจอเพื่อนว่างั้น การที่เรายอมไปนอนต่างบ้านต่างที่ก็เลยเป็นสิ่งที่เค้า appreciate เล็กน้อย

แล้วก็มีเงินรางวัลเพิ่มเติมเป็นค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆ สำหรับทีมที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ โต้รุ่งด้วย ^__^ ด้วยความที่ไม่จ่ายโอที มี incentive แบบนี้ก็ชื่นใจขึ้นมาเล็กน้อยอะนะ

7) ทุกคนต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง 

มาอยู่นี่

จะไม่เห็นคนไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน

จะไม่เห็นคนคุยเมาท์กับเพื่อนบนโต๊ะทำงาน (เป็น policy และกฎหมู่เลย ว่าถ้าคุยเรื่องส่วนตัวต้องเดินหลีกไปหาที่อื่นที่ไม่ใช่โต๊ะทำงาน)

จะไม่เห็นคนยืนเมาท์นู่นนี่กันนานๆ

จะไม่มีคนมาต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ชวนไปกินข้าว หรือถามไถ่ว่าเราเป็นยังไง
นี่เป็นวัฒนธรรมที่ต่างกัน

อย่างวันนี้ไม่มีคนในทีมเราอยู่เลย (เพราะเค้าไปออกจ๊อบนอกเมืองกันหมด)
ยังมี manager ใจดี "พา" เรากับเพื่อนอีกคนเดินไปที่ food court เพื่อโชว์ว่ามีอะไรที่ไหน พอบอกเสร็จ เค้าก็เดินจากไปกับเพื่อนของเค้า

ถ้าเป็นคนไทยคงชวนกินข้าวด้วยกัน ถามไถ่นู่นนี่ใช่มั้ย
แต่ที่นี่ พามาก็ดีแล้วอะ เค้าก็บอกว่าหาข้าวกินกันเอง และไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะกินข้าวคนเดียว
(ซึ่งเราถูกใจตรงนี้มาก)

8) เวลาไปจ๊อบก็ต่างคนต่างจอง
ถ้าต้องจองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบิน ทุกคนจะมีบัตรเครดิตของตัวเอง แล้วจะมีระบบจองของบริษัทที่ให้เข้าไปจองเพื่อได้ best rate

ทุกคนก็จะมี schedule ว่าเจอกันวันไหน กี่โมง แล้วก็เป็นหน้าที่แต่ละคนที่จะจัดการชีวิตตัวเอง ว่าอยากนอนที่ไหน (ที่อยู่ใน budget ตาม policy) อยากขึ้นสายการบินอะไร ออกเดินทางเมื่อไหร่

เว้นแต่ว่าจุ๊บๆ เลิฟๆ กันเพื่อนที่ไปด้วยกัน ก็ค่อยนัดกันไป จองด้วยกันไป

ไม่เหมือนที่เมืองไทยเนอะ ว่ามักจะมีคนหนึ่งคนจัดการทุกอย่างให้คนในทีมเสมอ (ไม่เมเนเจอร์ ก็อินชาร์จ) ถ้าจะมีไปจ๊อบตจว ก็จะมีพี่อินชาร์จโทรมาบอกว่า จะเจอกันยังไง เอาอะไรไปบ้าง นอนด้วยกันนะจะได้ไม่กลัวผี

แต่ที่นี่ต่างออกไปมาก บางคนที่ไม่เคยชินคนเรียกว่า "culture shock" ล่ะ

อย่างเรามาทำงานวันแรก แต่ได้จ๊อบที่อยู่นอกเมืองไปสองชั่วโมง

ถามว่าที่ทีมช่วยเหลืออะไรเราบ้าง?

คำตอบคือ มีเด็ก Junior อีเมลมาหาเรา บอกที่อยู่ลูกค้า บอกว่าน่าจะใช้เวลาขับรถกี่ชั่วโมง มักออกจากบ้านกี่โมง ไปถึงที่ลูกค้าแล้วมีจุดสังเกตยังไง ทิ้งท้ายว่า จองโรงแรมเอาเองนะ!!

ไม่มีถามหรอก ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ขับรถเป็นมั้ย มี GPS รึเปล่า
เพราะถือว่าเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวที่เราต้องจัดการเอง

และเป็น "หน้าที่" ของเราเองที่จะต้อง Speak up ถามเรื่องที่เราไม่รู้ บอกให้คนอื่นได้ยินถ้าเราไม่โอเคกับการขับรถหรืออะไรแบบนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าอยู่นิ่งๆ ทุกอย่างโอเคแต่จริงๆ ไม่โอเค แบบที่คนไทยทำกันเพราะความเกรงใจ จะอยู่ที่นี่แล้วอึดอัด shock และรู้สึกเหมือนโดนถูกทิ้งมากเลย

สำหรับเรา มันก็มีรู้สึกนิดๆ ว่าไม่เหมือนกับที่เมืองไทยอะนะ แต่ก็มองว่าเป็นเรื่องของความแตกต่างมากกว่า

ไม่ได้หมายความว่าที่คนอเมริกันเป็นแบบนี้เพราะเค้าเห็นแก่ตัวไม่ช่วยเหลือกัน แต่เค้าทำอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วมากกว่า แล้วก็เน้นความเป็นส่วนตัว เป็นปัจเจกบุคคลเอามากๆ ก็เลยออกมาว่าอะไรๆต้องพึ่งตัวเองนะ มันเลยสอนให้เราทำอะไรได้เอง รู้จักพึ่งตัวเองอีกเยอะเลย

แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ได้รู้สึกว่า ที่คนไทยทำอะไรด้วยกันจะเป็นเรื่องที่แย่ ต้องปรับปรุงอะไรแบบนั้นนะ บางที โดยเฉพาะการทำงานวันแรกแบบนี้ ในที่ๆไม่รู้จักใครเลย และเป็นกะเหรี่ยงสุดๆ มีใครมาเอาอกเอาใจ ต้อนรับถามไถ่บ้างน่าจะดีกว่าอะนะ ^_^"

บางทีถ้ามีจุดกึ่งกลางที่สองวัฒนธรรม blend กันแบบเบาๆ ได้น่าจะสนุกสุขใจไม่น้อย

บ่นกันมาพอหอมปากหอมคอ

พรุ่งนี้ก็แพคกระเป๋า ขับรถไปลูกค้าละ สองชั่วโมงกับการขับรถคนเดียวในอเมริกา และไปในทางที่ไม่เคยไป มี GPS เป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจ แล้วมาดูกัน ว่าจะรอดมั้ย!!!

No comments:

Post a Comment