รู้ตัวอีกที ก็อยู่ที่นี่มา 44 วันแล้ว
44 วัน นานพอที่จะจัดห้องเสร็จ มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว
ย้ายเข้า apartment วันที่ 26 September แต่ได้อยู่บ้านเฉพาะคืนวันพฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น เพราะที่เหลือจันทร์-พฤหัส ต้องขับรถไปทำงานที่ Columbus ซึ่งห่างจากเมือง Atlanta 2 ชั่วโมง
ประกอบเฟอร์นิเจอร์กันจนปวดหลังเลยทีเดียว
ที่ต่อไปแล้วก็มี โต๊ะสีขาว ตู้ 6 ลิ้นชัก เตียงนอน ภูมิใจจริงๆ คู่มือบอกต้องใช้สองคน
แต่เราทำเองคนเดียว ผลคือทำได้ แต่แมร่งงง ปวดเมื่อยไปทั้งตัว
ของตกแต่งบ้าน ทำความสะอาด ก็เข้าที่เข้าทาง ทั้งม่านห้องน้ำ พรมกุ๊บกิ๊บ จาน ชาม หม้อ ช้อนส้อม ก็โอเคมากๆ
เครื่องดูดฝุ่นก็ซื้อแล้ว เพราะเจอลูกแมลงสาบบุกบ้าน -_- ถึงปีเตอร์ที่นี่จะไม่ร้ายกาจน่ากลัวเท่าเมืองไทยที่แลนดิ้งบนหัวเราได้ เพราะหน้าตามันคล้ายๆ แมลงหวี่บิ๊กไซส์ เล็กกว่าแมลงวัน ไม่เหม็น แถมโง่โดนบี้เอาได้ง่ายๆ แต่ก็แอบขยะแขยงอยู่ดี
ตอนนี้เลยกลายเป็นพวก clean freak เก็บเตา เก็บจานชามอย่างเรียบร้อยทุกครั้ง
แถมพวกตู้ไม้ก็จะเปิดทิ้งไว้ตลอด เพราะไม่อยากเจอ surprise ตอนเปิดตู้
เริ่มเป็นโรคจิตหวาดระแวง เห็นวัตถุจุดดำก็ผวา คิดว่าเป็นแมลงสาบ เตรียมหาทิชชู่รอบตัวไว้ "บี้" ในบัดดล (นี่กลัว หรือโหดกันแน่นะ)
44 วัน นานพอที่จะ active เป็นพนักงานบริษัทที่นี่ได้เกือบสามอาทิตย์
แต่ที่ร้ายกาจคือ มันยังไม่นานพอที่จะได้ "ทำงาน" แบบที่เป็นงาน
ในจ๊อบมีกันทั้งหมดสี่คนรวมเรา แต่ว่า ว่างมาก ถึงมากที่สุด
จะว่าไปก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาตลอดชีวิตการทำงาน audit ที่มาอยู่ลูกค้าแล้วยังทำตัวเหมือน non- charge ที่ออฟฟิศได้
ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรนะ ก็ถามเช้าถามเย็น ถามลูกเพ่ในจ๊อบ (ถึงมันจะอ่อนพรรษากว่าเรา) ว่ามีอะไรให้ I (กรู) ทำมั้ย มันก็บอกว่า ม่ายมี
เมลไปถาม Resource Planning ว่ามีจ๊อบอื่นให้ทำมั้ยย เค้าก็บอกว่า ยังม่ายมี
จะให้เทรนนิ่ง อ่านมาตรฐานมันก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ทำกันยามว่าง
สรุปก็คือ ไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา T_T ช่างไร้ค่ายิ่งนัก...
ถ้าอยู่เมืองไทย สามอาทิตย์ผ่านไป น่าจะเสร็จไป 5 จ๊อบแล้วอะ
44 วัน นานพอที่จะเริ่มเข้าใจ และยอมรับได้กับวัฒนธรรม Culture difference
เข้าใจว่า คนที่นี่เค้าจะไม่ hang out กับเพื่อนที่ทำงาน
ตอนเย็นเค้าก็ไม่ไปกินข้าวกัน ถึงจะมาจ๊อบต่างบ้านต่างเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องกระจุกด้วยกัน
เข้าใจว่า ถึงจะเดินทางจาก Atlanta เหมือนกัน แต่ทุกคนก็ต่างคนต่างขับรถ (เปลืองน้ำมัน เปลืองพลังงานมั้ยล่ะ ฮึ)
เข้าใจว่า ถึงจะพักโรงแรมเดียวกัน แต่ตอนเช้า หรือตอนเย็น ก็ไม่มา หรือกลับด้วยกัน
เข้าใจว่าถึงจะเลิกงานแล้วหิวข้าว ก็ไม่จำเป็นต้องไปกินข้าวด้วยกัน
เข้าใจว่าถ้าไม่มีงานอยากจะกลับก็กลับ ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องลาเพื่อนในทีม ไม่ต้องลาลูกค้า
เข้าใจว่าตอนกลางวัน ถ้าอยากกินก็ไปกิน ไม่อยากกินก็หาอะไรกินเอาเอง ไม่ต้องงอนง้อให้เสียเว
นานพอที่จะเข้าใจแระ ว่าทำไมคนอเมริกันถึงขาด "แฟน" ไม่ได้เลย
ก็ชีวิตแมร่ง เปลี่ยวขนาดเนี้ยยยย
อยู่มหา ลัย ก็ยังดีใช่ม๊า ถ้ามีชมรม ก็ยังมีเพื่อน hang out
แต่ที่นี่ที่เราสังเกตเห็น พอทำงานเป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่อยู่กับ roommate ก็อยู่กันแฟนนั่นเอง
44 วัน นานพอที่จะได้รับเงินเดือน "ครึ่ง" เดือนแรก จาก US Payroll
เม็ดเงินที่ได้นั้นจ๊าบใจ เพราะครึ่งเดือนก็ได้เหมือนเดือนครึ่งที่เมืองไทย
แต่ภาษีที่ถูกหักก็เกือบเท่าเงินเดือนทั้งเดือน =_=
เงินที่ได้มา แต่เดิมอยู่เมืองไทยก็บริหาร LTF, กองทุน, เงินฝากให้มันส์มือ
เหลือๆ ก็หาที่กิน ที่เที่ยว ชอปปิ้ง
อยู่นี่เงินที่ได้มา
ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เก็บไว้เป็นค่าประกันรถ จ่ายผิดเวลาก็ไม่ได้อีก เครดิตเสีย (build อยู่เนี่ย)
ซื้อของเข้าบ้าน (ตอนนี้ยังขาด TV กับเตารีด)
ไหนจะค่าน้ำมันรถที่สูบเอาๆ มากกว่าน้ำที่ดื่มในแต่ละวันอีก!!!
44 วัน ยังไม่นานพอที่จะหาซื้อรถเป็นของตัวเอง
ประสบปัญหาขาดแคลนรถดี ราคาถูก ไอ้ที่ถูกและดีก็มักไม่รอเรา
ไอ้ที่ดูดี ดูได้ ก็ดันเป็น salvage title คือเคยผ่านสงครามมาก่อน แล้วเอามาย้อมเป็นรถใหม่
ต้องคอยดูว่า อีกกี่วัน ถึงจะ "mission complete"
44 วัน ที่ห่างจากบ้าน ที่ออฟฟิศประกาศเลื่อนตำแหน่ง รอรับโบนัส
แม่จะไปเที่ยวเมืองจีน พี่สาวจะกลับจากอังกฤษ พ่อกำลังพัฒนา product ใหม่
ชีวิตเราทุกคนมันหมุนไปเรื่อยๆจริงๆ ในขณะที่เราใช้ชีวิตที่นี่ ตื่นเช้า ขับรถไปทำงาน กลับบ้านแต่หัววัน (ที่ออฟฟิศอย่าอิจฉานะ ไม่เคยเลิกงานเกิน 5.30 เลยอะ) ชอปปิ้งฆ่าเวลา ใช้เงินไปเรื่อยเปื่อย
ก็เริ่มกลับมาคิดเหมือนกัน ว่าจริงๆ แล้วเรามาที่นี่เพื่ออะไรอะ?
ลำบากกว่าเดิมโคตรๆ เพื่อนก็ไม่ค่อยมี (ถึงจะรู้ว่าเพื่อนที่ออฟฟิศอื่นก็ประสบปัญหา make friends กับคนอเมริกาก็เหอะ) ห่างบ้าน ห่างแฟน ห่างของกินอร่อยๆ ถูกๆ
อากาศก็หนาว (วันนี้ 44F คือ 7 องศา) เสื้อผ้าหน้าหนาวเก๋ๆ ก็โคตรแพง
=_= ณ จุดนี้ เป็น W curve ขาลง บ่นๆไปก็คงดีขึ้นเองแหละ
แต่ถามว่าโดยรวมไหวมั้ย ก็ไหวอะ "โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย" คำนี้อะ ใช่เลย
No comments:
Post a Comment