Friday, July 22, 2011

Que Sera Sera เรื่อง love love

When I was young, I fell in love
   I asked my sweetheart what lies ahead
   Will we have rainbows, day after day
    Here's what my sweetheart said.

Que Sera, Sera,
Whatever will be, will be
The future's not ours, to see
Que Sera, Sera
What will be, will be.

พอบอกว่าจะไปทำงานที่อเมริกานานๆ ไม่ใช่การไป summer หรือการไป Work and Travel เที่ยวเล่นชั่วคราวแบบแต่ก่อน...

มีหลายคนถามมาว่า แล้วคนที่เราคบอยู่ด้วยจะตามไปมั้ย?
เราก็ประกาศไว้เลยแหละว่า  "ไม่"
(บริษัทเรามีระบบที่ดีพอควรสำหรับคนที่จะย้ายไปทำงานต่างประเทศ คือมีการให้ค่าใช้จ่ายสนับสนุน และให้วีซ่าทำงานแก่ spouse หรือสามี/ภรรยา รวมถึงหาโรงเรียนให้ลูกๆ สำหรับคนที่มีครอบครัวแล้วด้วย)

แต่ก็น่าจะมีตามไปเที่ยวบ้างไรบ้างล่ะนะ เพียงแต่ไม่ได้ย้ายไปด้วยกันน่ะ

แล้วเราไม่อยากให้เค้าตามไปเหรอ โอกาสดีๆแบบนี้?
 คำตอบก็คือ "อยากสิ"

ที่เคยคิดก็ว่ามันน่าจะโรแมนติกพิลึกชิมิ แบบว่า ใบไม้ร่วงนั่งกินแซนด์วิชกัน
ขับรถเที่ยวตาม romantic route trip 
หรือหนาวๆ หิมะตกก็กอดกันกลมดิ๊ก
ไปเที่ยวดิสนีย์เวิล์ดย้อนวัยอะไรทำนองนี้

แต่ timing หรือเวลากับคนสองคน มันไม่ได้จริงๆ >_<

ปีนี้เป็นปีที่เค้าเริ่มต้นทำบริษัทของตัวเอง แล้วก็จริงจังกับมันน่าดู ส่วนตัวเราเอง ถ้าไม่ไปปีนี้ ก็คิดไว้แล้วว่าคงไม่ได้มีโอกาสไปไหนยาวๆเป็นอิสระแบบนี้แล้วล่ะ

(ขออนุญาตพื้นที่โฆษณาช่วยกันทำมาหากิน :P  >>ใครสนใจเทคโนโลยี Augmented reality คือเทคโนโลยีประมาณรูปข่างล่างอะนะ สามารถติดต่อหลังไมค์ได้นะ)


แล้วคนที่คบกันอยู่จะทำอย่างไร?

กับคนที่คบอยู่ตอนนี้ ก็เข้าปีที่ 7 พอดิบพอดี
ถ้าไม่ได้ไปทำงานคราวนี้ ก็คิดว่าคงจะได้ลงเอยกันเร็วๆนี้ล่ะ

ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องอาถรรพณ์เลข 7 (7-year itch) http://wiki.answers.com/Q/What_is_'the_seven_year_itch'
เวลาเจ็ดปี เป็นเลขแปลกๆทางสถิติ ที่บอกกันว่า คนที่คบกันมา 7 ปีแล้วไม่แต่งก็มักจะเลิกกัน
คนที่แต่งงานกันมาได้ 7 ปี ก็มักจะเป็นช่วงเวลาที่เกิดความเบื่อหน่าย สามี/ภรรยามีก๊งมีกิ๊กกันมากที่สุด

เพราะฉะนั้น ก็พูดได้เต็มปากเลยว่า "การได้อยู่ใกล้ๆข้างๆคนที่เรารัก" นั้น เป็นสิ่งหนึ่งในหลายๆสิ่ง ที่เรา (และคนที่ไปทำงานไกลบ้าน) ต้องเสียสละ และต้องยอมรับมัน

และถือว่าเป็นการ "เดิมพัน" กับโชคชะตาเลยทีเดียว ว่าจะหมู่หรือจ่า จะอยู่หรือจะไป


แล้วไม่กลัวเลิกกันเหรอ?

เป็นคำถามง่ายๆสั้นๆ ที่คนถามมักอยากรู้ ไม่ก็กังวลแทน เพราะตัวอย่างที่เห็นก็มีมากมาย
เราก็ตอบง่ายๆสั้นๆว่า "กลัว"
แต่ความกลัวมันคงไม่มากพอที่จะทำให้เราตัดสินใจไม่เดินทางตามความฝัน หรือความต้องการของเรา

จะบอกว่าไม่นึกถึงกัน ไม่รักกันมากล่ะสิ ถึงยอมห่างกันได้ขนาดนี้?

ถ้าใครที่รู้จักเรา ก็คงเข้าใจดีว่าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น

เรามีความคิดที่ว่า ทุกสิ่งมันไม่จีรังยั่งยืน ไม่มีอะไร หรือใครที่เราได้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
ไม่มีความรักใดๆ ที่จะยั่งยืนตลอดชั่วกัลปวสาน ถึงแม้จะเป็นความรักจากพ่อแม่ จากพระเจ้า คนรัก คู่จิตวิญญาณ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันจะมีได้มากสุดก็ตราบที่คนๆนั้นยังมีลมหายใจเท่านั้นเอง (ว่าไปนั่น)

ถ้า We're meant to be ...  วันหนึ่งเราก็คงจะได้อยู่ร่วมกัน
ถือว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสทองในการพิสูจน์ใจ

แต่ถ้ามันไม่ นี่ก็ถือเป็นโอกาสดีเหมือนกัน ที่ทำให้รู้ว่าจริงๆแล้ว เราไม่ได้รักกันแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว =_=

ถ้ามีเหตุเป็นไปให้ต้องเลิกกัน ไม่ว่าสาเหตุนั้นจะมาจาก "ตัวเรา" "ตัวเค้า" หรือว่า "เรา" ก็จำเป็นต้องปล่อยให้มันเป็นไป ให้มัน Let it be

นี่จึงเป็นที่มาของเนื้อเพลงและ topic วันนี้ :)

ก็แค่แอบหวังในใจว่า ทั้งเราและเค้าต่างจะมั่นคงต่อกันมากพอ ที่จะทำให้อุปสรรคด้านเวลาและระยะทางนานนับปีที่จะผ่านมานี้ เป็นไปได้ด้วยดี





2 comments:

  1. อ่านแล้วชอบมากเลย ฉันจะคอยเอาใจช่วยนะ

    ReplyDelete
  2. ม่ายชอบได้งาย ฟี่ยืมร่างแกไปพิมพ์อ่ะเป่า ถึงได้เว่อนเว้อซะจิง
    หุหุหุ

    ReplyDelete