Saturday, July 23, 2011

การเดินทาง กับกระเป๋าเดินทาง (1)

วันนี้มาดึกหน่อย เพราะไปเที่ยวเล่นข้างนอกมา

คืนนี้ก็จะคุยเกี่ยวกับการเดินทางละกันเนอะ

...โดยปกติแล้วบ้านเราจะเดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างบ่อย แต่ไปในลักษณะ ผลัดๆกันไปมากกว่า ไม่ค่อยได้ไปครบกันพร้อมหน้าพร้อมตานัก โดยส่วนใหญ่จะมีแม่เป็นเสาหลักในการติดตามเที่ยว เพราะแม่จะถือคติว่า มีที่พักฟรีดีที่สุด ได้เดินทางแบบชิลๆ และได้เข้าถึง local น่ะเป็นคอนเซปของเจ๊แกเลย

จะว่าไป ความรักในการท่องเที่ยว ก็น่าจะเกิดมาจากพ่อกับแม่เราที่ปลูกฝังนี่เอง...

คงไม่ต้องถามถึงว่าแล้วแม่เราจะไปหาไปเยี่ยมเรามั้ย เจ๊แกยืนยันเลยว่า ถ้ามีตังและไม่ติดอะไรก็กะจะไปอยู่ซักเดือนสองเดือนแน่นอน เจ๊บอกว่าอยากเก็บน้ำตกไนแองการ่าที่แคนาดาก่อน 60 ให้ได้ อิอิ

>>> การออกเดินทางไกลๆนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ "กระเป๋าดีๆซักใบ (หรือสองใบ)"

การเดินทาง International Flight ที่ไปโซนยุโรป กับโซนอเมริกานั้น น้ำหนักกระเป๋าที่ให้มักจะแตกต่างกันตามแต่ละสายการบิน และตาม type ของตั๋วที่บินด้วย โดยเราขอพูดถึงน้ำหนักกระเป๋าสำหรับ Economy class ที่คนส่วนใหญ่มักใช้บริการกันแล้วกันนะ

(ใครที่จะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนแล้วไม่แน่ใจว่าเอาไปได้กี่ใบ หนักเท่าไรได้บ้าง ให้ลอง search ใน google แล้วพิมพ์ว่า "XXX (ชื่อสายการบิน) check baggage allowance"

บินไปเที่ยวยุโรป กับบินไปอเมริกา กระเป๋าน้ำหนักต่างกันมั้ย?
คำตอบ  ต่างกันจ้า

Europe มักจะให้นำกระเป๋าแบบโหลด (check baggage) ได้ 1 ใบ โดยจำกัดน้ำหนักที่ 20 kg หรือ 44 lbs ต่อใบ
บางสายการบินอาจจะให้มากหน่อย เช่น สายการบิน  Jet Airways ให้ได้ถึง 23 kg

US & Canada ส่วนเส้นทางบินไปแถบอเมริกา หรือแคนาดานั้น มักจะให้โหลดกระเป๋าได้ฟรี 2 ใบ (อาจเป็นเพราะเส้นทางมันไกลจากเอเชีย และยุโรปมากมั้งนะ) โดยได้ใบละ 23 kg หรือ 50 lbs
เพราะฉะนั้น การเดินทางไปอเมริกาคราวนี้ เราจะสามารถเอาของไปได้มากถึง 46 กิโลกรัม


Note: ทั้งนี้ทั้งนั้น กระเป๋าทุกใบต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 32 kg/ 70 lbs ซึ่งค่อนข้างเป็นกฎสากลที่ใช้กับทุกสายการบิน เราเดาว่ามันมีไว้เพื่อเอื้ออาทรแก่พนักงานบริการของแต่ละสายการบินที่ต้องคอยแบก หรือโหลดกระเป๋าไม่ต้องให้พวกเค้าหลังเสื่อมก่อนวัยอันควรนั่นเอง

นอกจากจะเห็นใจพนักงานแล้ว เราว่าก็ต้องสงสารตัวเองด้วยแหละ ถ้าจะยัดมากขนาดนั้น ให้นึกถึงสภาพเวลาเอามันขึ้นลงรถ ปุเลงปุเลงกับน้ำหนักมากขนาดนี้คงดูไม่จืดอะนะ

พูดถึง Check baggage (กระเป๋าแบบโหลดใต้ท้องเครื่อง) ไปแล้ว
ก็ต้องพูดถึง Carry-on baggae หรือกระเป๋าแบบถือขึ้นเครื่องบ้าง



Carry-on baggage หรือกระเป๋าแบบถือขึ้นเครื่อง

 กระเป๋าขึ้นเครื่องโดยปกติจะให้ไม่เกิน 10 kg โดยเฉลี่ยที่ให้คือ 7 kg เช่น  Air Asia, Thai Airways แต่ที่ให้มากถึง 10 kg ก็มีอย่าง ANA (All Nippon Airways)

Tips: ตัว carry-on น่าจะเป็นจุดที่เราน่าจะลักไก่ขนน้ำหนักเกินได้มากกว่า check baggage เนื่องจากกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่องมักจะต้องถูกบังคับให้ชั่งน้ำหนักตอนเช็คอินที่เคาน์เตอร์ขาออกอยู่แล้ว
แต่ Carry-on นั้น เราเห็นว่าแล้วแต่โชคชะตา และความเฮี๊ยบของสายการบินมากกว่า บางทีอาจจะโดนชั่งและวัดทุกคน บางทีก็สุ่มโดน หรือบางทีก็อาจจะหลุดรอดปลอดภัยเลยก็ได้

โดยรวมแล้ว ถ้าขนาดของกระเป๋าเป็นแบบถือขึ้นเครื่องได้ตามปกติ คือไม่เกิน 56cm*45cm *25cm  บวกลบนิดหน่อย ถ้าใครนึกไม่ออกก็ให้นึกอารมณ์แบบที่แอร์โฮสเตสในทีวีชอบลากขึ้นเครื่องกัน  หรือดูตามรูปด้านขวานี้ก็ได้ (ขนาดประมาณกระเป๋าที่มักจะใช้สำหรับการเดินทาง 2 วันสามคืน )

และขึ้นอยูกับวิจารณญาณของพนักงานที่เช็คชื่อก่อนเดินขึ้นเครื่อง ถ้าเค้าเห็นว่ามันไม่ดูหนักเกินไปแบบคนถือลากไม่ไป ส่วนใหญ่พนักงานก็จะปล่อยผ่าน

ที่เคยเห็นถูกสุ่มชั่งกระเป๋า carry-on บ้างก็มีนะ บางคนที่ถือกระเป๋าขนาดก้ำกึ่ง หรือดูหนักโคตรๆ ก็อาจมีโดนปรับกันก่อนขึ้นเครื่องเลย และเดี๋ยวนี้มาตรการรักษาความปลอดภัยในทุกประเทศก็เข้มงวดมาก จึงมีโอกาสที่เราจะต้องเปิดกระเป๋า Carry-on ให้พนักงานตรวจภายในอยู่มากทีเดียว :P ถ้าพนักงานเปิดมาเห็นถุงข้าวสาร 5 กิโลสองถุง คงฮาพิลึกอะ

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราเห็นว่า ควรทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎระเบียบดีกว่านะ เพื่อความสบายใจของตัวเองเราเองด้วย เวลาไปต่างบ้านต่างเมืองแล้วดันไปทำตัวหลบๆซ่อนๆ แล้วต้องลุ้นเนี่ย เราว่ามันไม่สนุกเลย
แล้วมันคงไม่ดีใช่ไหม ที่จะให้เค้าตราหน้าว่า คนไทยชอบลักไก่ขนของเกินกำหนด พวกเราคงไม่อยากให้ใครตรา brand พะยี่ห้อให้เราแบบนี้หรอกเนอะ :)

เพราะฉะนั้นเวลาไปเที่ยวก็พยายามพกแต่สิ่งจำเป็นไปเป็นดีที่สุด

พรุ่งนี้มาต่อภาค 2 เกี่ยวกับประเภทของกระเป๋าเดินทาง และวิธีการเลือก (จากปสก ของเราแล้วกันนะ)

วันนี้ไปพักผ่อนเล่นเกมก่อนนอนดีกว่า :D

No comments:

Post a Comment