Wednesday, November 16, 2011

ครบรอบสามเดือน เที่ยวสามอาทิตย์

อาทิตย์นี้ แว๊บมาอยู่ที่ Warren, Ohio แล้ว 
จะเห็นได้จากใน Map ว่า แหล่งพำนักของเราใน Atlanta ซึ่งค่อนไปทางใต้ ห่างจากจ๊อบที่จุด B ซึ่งอยู่ไปทางเหนือมากๆ  มองซ้ายไปนิดส์นึงก็จะเจอ Milwaukee แหล่งพำนักของพี่นุ้ยแล้ว ^_^"



หากเดินทางด้วยการขับรถ (โดยหวังได้ mileage) อาจตายได้ เพราะระยะห่างจาก Atlanta นั้นรวมแล้ว ประมาณ 750 ไมล์ (1,200 กิโล) ขับไม่พัก ไม่ฉี่เลยก็สิริรวม 12 ชั่วโมงกว่าๆ

อันนี้คงเกินไปที่จะขับ ก็เลยเป็นครั้งแรกที่ได้ออกจ๊อบโดยการ "บินนนน"

แต่ขั้นตอนก่อนได้บินนั้นตะกุกตะกักยิ่งนัก

เราเพิ่งรู้ว่าแพลนเปลี่ยนเมื่อช่วงสายๆบ่ายๆ วันศุกร์ ทั้งวันจนถึงห้าโมงเย็นก็รอคนที่จ๊อบว่าจะติดต่อ หรืออีเมลมาหาว่าจะต้องจองอะไรยังไง (ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกค้าอยู่ไหน)

ตกเย็นคิดว่าไม่ได้แล้ว เพราะออฟฟิศที่นี่ เด็กๆ ไม่ได้มี BB/iPhone ที่ Push mail ได้เหมือนเมืองไทย ส่งเมลไปก็ไม่มีใครตอบ โทรหาก็ไม่มีใครรับ

สุดท้ายเลยเมลไปถาม Senior Manager ซึ่งห่างไกลกันเหลือเกิน เค้าตอบกลับมาสั้นๆ สามบรรทัด ให้ที่อยู่ลูกค้า บอกว่าควรจะบินลงสนาบินที่ Pittsburgh และเช่ารถขับไปเอง

จบ????? 

แล้วต้องออกเมื่อไหร่ล่ะ?
แล้วต้องนอนโรงแรมที่ไหน?
เริ่มทำงานเมื่อไหร่?
แต่งตัวยังไง (อันนี้ไม่ได้คิดถึง)

ก็ทำอะไรไม่ได้ ก้มหน้าก้มตาทำดังนี้

1) หาตั๋วเครื่องบิน จาก Atlanta, Georgia- Pittsburgh, Pennsylvania ดูๆ แล้วถ้าออกวันจันทร์คงถึงตอนเที่ยงพอดี ก็เลยตัดสินใจจองเช้าวันอาทิตย์ ได้ตั๋ว Delta วินาทีสุดท้าย เลยราคาแพงมากเกือบ $600 เหรียญ (หมื่นแปด!!!) ตั๋วแพงมักส์  ราคานี้บินไปกลับลอนดอนสบายๆ แต่ก็ต้องทำใจ (ลูกค้าทำใจ)

2) เช่ารถ  ออฟฟิศลูกค้าไม่ได้อยู่ข้างสนามบิน เป็น auditor ที่นี่ ไม่ได้อบอุ่น welcoming เหมือนเมืองไทย ที่มีลูกค้ามารับบ้าง มีรถมารอบ้าง
อันนี้ลุยเอง จองรถเช่าเอง  ก็หาๆ ในระบบเช่ารถ กดจองไป เทียบเวลาไปกลับจากสนามบิน ก็กะๆ เอาว่า ควรจะต้องรับรถ และคืนรถเวลาไหนบ้าง

3) จองโรงแรม อันนี้ไม่มีใครช่วยอะไรได้ นอกจาก Google map (เดี๋ยวนี้เปิดบ่อยว่า google.com อีก)  หาว่าเมืองนี้มีโรงแรมอะไร ก็จองไปตามที่อยากจอง

โรงแรมที่หรูสุดในเมืองคือ Holiday Inn Express / Fairfield Marriott ซึ่งเป็นเกรดรองลงมา  Marriott > Courtyard> Fairfield   แต่ก็เอาวะ มีดีสุดให้นอน และสะสมแต้มได้ก็โอแระ

4) จองที่จอดรถ  เนื่องจากไม่มีคนไปส่งสนามบิน คนมารับก็ไม่มี เลยต้องจองที่จอดรถล่วงหน้าไว้ ราคาจะได้ไม่แพง (เป็นออดิทนั้นควรมีใจระลึกถึงผู้อื่นเสมอ ไม่ใช่ว่าเบิกอะไรได้ก็เบิกๆไป เราไม่รู้หรอก ว่าสุดท้ายค่าใช้จ่ายจะเข้าออฟฟิศ หรือไปเบิกลูกค้า แต่เราคิดว่า เราควรใช้จ่ายแบบสมเหตุสมผลที่สุด อะไรที่ประหยัดได้ และไม่ลำบากเราเกินไปนักก็ควรจะทำ )

พร้อมทุกอย่างแล้ว ที่เหลือก็คือเก็บบ้านช่องให้เรียบร้อย เพราะจะไม่อยู่อีกหนึ่งอาทิตย์ ข้าวปลาอาหารที่ซื้อไว้ (เพราะคิดว่าออกจ๊อบในเมืองจะทำกับข้าวไปกินเอง) ก็เป็นอันอัดเข้าช่อง Freeze แช่แข็งให้หมด

แอบเสียดาย แต่การได้เที่ยว ออกนอกเมืองก็ดีกว่า (ล่ะวะ)

วันอาทิตย์ก็ออกเดินทาง ใช้เวลาบินประมาณ 1.45 นาที ก็ถึงแล้ว
ไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไร เดี๋ยวนี้ดีมากเลย ไม่ต้อง print Boarding pass แล้ว ใช้โชว์โค้ดในมือถือ แล้วก็แสกนไปเรื่อยๆ ประหยัดกระดาษ แล้วก็ป้องกันการลืมตั๋่วด้วย ^_^

มาถึงสนามบินก็จัดการไปรับรถเช่าที่ทำจองไว้
คราวนี้ได้น้อง Forad Focus ห้าประตู สีดำ ใหม่กริ๊ก มาคู่ใจ "น่ารักอ้ะะะะ"
ใหม่กว่ารถตัวเองตั้งเยอะ (แหงล่ะ)

เพื่อไม่ให้ทิ้ง concept ก่อนมาเราได้ทำการ research เรียบร้อยแล้ว ว่ามี outlet อยู่ระหว่างทางจากสนามบินไปเมืองลูกค้า outlet ที่นี่คือ Grove City Premium Outlet เป็น 1/10 ของ Outlet ที่ของเยอะสุดๆ (อันดับต้นๆ ก็เช่น Woodburry, New York ที่เคยไปมาเมื่อตอนปี 2009 อะนะ)

พอขับรถมาถึง ถึงได้คุ้นๆ ว่าจริงๆ แล้วเราเคยมาที่นี่เมื่อปี 2005! สมัยมา Work and Travel ตอนปีสาม ไม่คิดไม่ฝันว่าชาตินี้จะได้กลับมาอีกจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 13 Nov มันเป็นวันเก็บตกวันทหารผ่านศึกเมื่อวันศุกร์ก่อนหน้านั้น ก็เลยได้อานิสงส์ Sale ต่อมาด้วย เช่น Levi + Coach ลด on top อีก 20% แล้วก็มีพวก clearance เสื้อผ้าหน้าร้อน  ก็จัดการสอยของบ้างตามระเบียบ แต่ซื้อเยอะไม่ได้ เพราะกระเป๋าเอามาไม่ใหญ่อะนะ :(

ที่ PA (ชื่อย่อรัฐ Pennsylvania) ดีอย่าง คือไม่คิด sales tax กับพวกเสื้อผ้า รองเท้า ไม่เหมือนที่ Georgia เจอ 7-8% o top ไปทุกอย่าง ของเลยแพง มานี่เลย (รู้สึกเหมือนว่า) ซื้อได้ถูกลง

อยู่ Outlet ประมาณสามชั่วโมง พอฟ้าเริ่มมืดก็เลยต้องรีบขับกลับละ

ขับรถคนเดียว กับ GPS เก่าๆ งงๆ กับเมืองที่ไม่เคยมา ก็ไม่ควรซ่าเกินไป แหะๆ
และแล้ว GPS เพื่อนยากก็นำพาเราถึงจุดหมาย คือเมือง Warren, Ohio

วันเดียวเหยียบ 3 รัฐ (Georgia, Pennsylvania, Ohio) เลยแฮะ ดีตรงที่อยู่ใน time zone เดียวกัน ก็ไม่ต้องปรับเวลา เหมือนตอนไป Alabama

คืนนั้นก็เหนื่อยแล้วไม่มีไรมาก กิน milkshakes ซื้อจาก Steak n Shake แล้วก็นอน (สลบเหมือด)








Friday, November 11, 2011

ข้อดีของการเป็นสาวโรงงาน ออกจ๊อบต่างรัฐ

ช่วงเดือนก่อนๆ แอบเศร้าซึม เพราะรู้ว่าแพลนในช่วงเดือนธันวา กับ year end ปีหน้าที่ได้เป็นจ๊อบในเมือง 

พูดถึงการออกจ๊อบ ...จะว่าไปการไปจ๊อบต่างจังหวัดที่เมืองไทย หรือต่างรัฐที่นี่ ก็มักเป็นปัญหาให้ออดิทรุ่นน้อยรุ่นใหญ่ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภาระผูกพัน เช่น แฟน สามี พ่อแม่เป็นห่วง ก็ย่อมคิดว่าการไปต่างจังหวัด ทำงานไกลบ้านนี่มันทรมานกันชัดๆ!!

ที่นี่ก็เป็นปัญหาคลาสสิค จะว่าไปก็หนักหนาสาหัสกว่าเมืองไทยซะอีก

เพราะคำว่าไปเช้าเย็นกลับสำหรับที่นี่ (จ๊อบในเมือง) มันหมายถึงการขับรถไม่เกิน 1 ชั่วโมง (บ้านเราถ้าต้องไป ตจว ใช้เวลา 1 ชั่วโมงขึ้นไป ระหว่างอาทิตย์ก็มักจะนอนโรงแรมกันแล้ว)

ถ้าจ๊อบนอกเมือง ก็ตั้งแต่ 2-3  ชั่วโมงขึ้นไป และหนักสุดคือต้องขับรถไปเอง

แล้วเจ้ากรรมที่ Atlanta office ก็ดันไม่ค่อยจะมีจ๊อบในเมืองเท่าไหร่ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็อยู่ที่เมือง หรือรัฐอื่นๆ ที่ต้องขับกันครึ่งค่อนวันทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น การเดินทาง และนอนค้างอ้างแรมก็เป็นเรื่องที่แทบจะเลี่ยงไม่ได้ของคนเมมืองเลยทีเดียว

ทำไมการไม่ได้ออกจ๊อบตจว สำหรับเราถึงเศร้า? พูดไปหลายคนคงไม่ค่อยเข้าใจ

โดยปกติตอนอยู่ที่เมืองไทย เราก็เป็นคนไม่ชอบอยู่บ้านอยู่แล้ว
บ้านไม่ได้มีปัญหา ไม่ได้ขาดความอบอุ่นอะไร แต่เป็นโรคชอบ "นอนโรงแรม"
ข้อดีที่จะลิสต์ให้นั้นมีเป็นหางว่าว (ถือว่าเป็น incentive ให้น้องๆที่โดนจ๊อบตจว จนชินชาแระกันนะ)

1) ได้ Per diem แทนที่จะอยู่เฉยๆ ก็มีเงินค่าขนมเล็กๆ น้อยๆขึ้นมา
     สำหรับที่อเมริกา เราว่ามันไม่ใช่เงินเล็กน้อยนะ มันเยอะเลยแหละ ปกติ per diem ที่นี่ก็จะตามกฎของรัฐบาล ไม่ได้กุ เอ้ย กำหนดขึ้นมาตาม policy บริษัท โดยเฉลี่ยก็ได้ที่ $40-$60 ต่อวันเลยทีเดียว คิดดูว่า ถ้าอยู่ต่างเมืองห้าวันต่ออาทิตย์ จะได้เงินเพิ่มขึ้นมา $2-300 หรือ $1000 ต่อเดือนเลยทีเดียว เงินไทยก็สามหมื่นฝ่าๆ เลยนะ!! (แต่ก็ต้องถูกหักภาษีอีกอะแหละ)

2) ได้ค่า Diff  ด้วย
    ที่เมืองไทยก็จะเบิกได้กรณีที่ ใครคนหนึ่งเป็นอาสาขับรถให้ในทีม
    ที่นี่ต่างออกไป เพราะเค้าไม่มี policy Car Pool ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจมาก ใช้ทรัพยากรกันสิ้นเปลืองซะะะะ แต่ก็นั่นแหละ มันเลยเป็นวิธีสร้ายรายได้ระดับรากหญ้า อย่างเรา ^^"  ถ้าได้ชื่อว่าไปออกจ๊อบนอกเมืองก็หมายถึงว่า มีค่า diff (ที่นี่เรียกว่า mileage) เพิ่มเติมโดยปริยาย

รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
จ๊อบห่างจากเมืองประมาณ 2 ชั่วโมง ต้องขับประมาณ 120 ไมล์ ไปกลับต่ออาทิตย์ 240 ไมล์ ค่าดิฟ หรือ mileage ที่คำนวณออกมาก็ประมาณ ร้อยกว่าเหรียญเลยทีเดียว!!
ซึ่งค่าน้ำมันไปกลับจริงๆ ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

อ้อ แต่ reimbursement นี้ก็ต้องเอาไปเสียภาษี ไม่เหมือนเมืองไทยที่ได้กลับมาาสดๆเลยอะนะ

3) ข้าวเช้าก็ฟรี
    โดยส่วนใหญ่ ถ้าโรงแรมไม่ได้โหดร้ายเกินไป ก็มักจะมีอาหารเช้าไก่กาไว้ให้ โรงแรมที่เคยพักที่เมืองไทย ส่วนใหญ่ก็จัดกันมาแบบเอียนไปเลย
    ส่วนที่นี่ถ้าพักในเครือ Marriott/ Hilton/ Holiday Inn ก็มักจะรวมอาหารเช้าไว้แล้วแหละ
   นอกจากจะได้  Per diem แล้ว ข้าวเช้า หรือค่ากาแฟก็ไม่ต้องจ่ายอีกแน่ะ ^_^ ประหยัด

4) บางมื้อก็ฟรีอีกแน่ะ

ที่เมืองไทย ถ้าออกจ๊อบ ตจว ไปโรงงงโรงงาน ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มักพาไปทานข้าวกลางวันวันเปิดหรือปิดจ๊อบตามธรรมเนียม  เวลา manager/ partner มาเยี่ยมจ๊อบ ด้วยความที่จ๊อบมันห่างไกล ต้องเจาะจงมา ก็มักพาออดิทน้อยอย่างเราๆ ไปเลี้ยงข้าว

ส่วนที่นี่ เท่าที่เคยประสบพบเจอ วันไหน หรือมื้อไหนที่มี partner ร่วมด้วยนี่ฟรีตลอดงาน
ส่วนลูกค้าก็มีเลี้ยงบ้าง (ยกเว้น Healthcare/ Government section ที่มีกฎห้ามเลี้ยงซึ่งกันและกัน เพราะถือว่าเจ้าพนักงานรัฐ ห้ามมีระบบเอื้ออำนวย หรือสินบนเด็ดขาด) 

เพราะฉะนั้น นอกจากข้าวเช้าฟรีแล้ว บางมื้อกลางวัน หรือมื้อเย็นก็ฟรีอีกด้วย

5) ไม่ต้องมาเจอรถติดในเมืองให้วุ่นวาย เดินทางถึงโรงแรมก็แป๊ปเดียว

ที่กรุงเทพ พวกเราต้องใช้เวลาบนท้องถนนมากมาย ถึงแม้บ้านเราจะอยู่ห่างจากลูกค้าไม่กี่กิโล ก็ติดกันเป็นชั่วโมงๆ

ที่ Atlanta ก็ติดไม่ต่างกัน ถึงจะไม่ติดแง่กเหมือนกรุงเทพ แต่ก็ใช้เวลา 30-40 นาทีกว่าจะถึงออฟฟิศในช่วง rush hour การจราจรก็ยุ่งเหยิง แซงไปแซงมาไม่ต่างกัน

พอไปออกจ๊อบตจว ถ้าเป็นเมืองไทยมักจะมีรถตู้มารับ ส่วนที่นี่ก็มักจะจองโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศลูกค้ามากนัก ก็เลยทำให้ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีจากโรงแรม ก็ถึงที่หมายแล้ว สุขภาพจิตดีสุดๆ


 6) ได้นอนโรงแรม
ชอบผ้าปูสีขาว ห้องน้ำ และเตียงนอนที่มีคนทำความสะอาดให้ทุกวัน
มีทีวีเคเบิ้ลให้ดู มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนสที่อยู่แค่เอื้อม
อุณหภูมิห้องก็คงที่ (คือว่าเวลาอยู่บ้านเราพยายามประหยัดโดยการทนหนาวไม่ค่อยเปิด heater เพราะมันเปลืองไฟ แหะๆ)  เพราะฉะนั้นพออยู่โรงแรมก็อุ่นกันให้เต็มที่เลย

7) ได้เห็นเมืองต่างๆนานา การใช้ชีวิต ร้านอาหาร (แบบภาพกว้างๆ)
เวลาเราไปออกจ๊อบที่ไหน ไม่ว่าเมืองไทย หรือที่นี่ ก็มักจะลองหาร้านอาหารที่เรียกว่าเป็นเจ้าเด็ดๆ ของที่นั่น  ที่เมืองนั้นมีห้างอะไร มีของอะไรแปลกๆ ถ้าพอมีเวลาหลังเลิกงานก็จะลองไปดู  อยู่ที่นี่ก็มักจะพึ่ง yelp.com ไปลองอาหาร local แบบคุณปู่คุณย่าสืบทอดกันมา ประมาณนั้น 

ถ้าอยู่ในเมืองก็คงต้องประหยัดโดยการกินกับข้าวทำเอง หรือไม่ก็ food court ง่ายๆ แค่นั้น

ส่วนที่จะหวังว่าได้เที่ยวก็คงไม่ได้เที่ยวหรอกนะ จะมีก็แค่ผ่านๆ เท่านั้นเอง
รู้ว่าเมืองนี้หน้าตาเป็นยังไง มีคนประเภทไหนอาศัยอยู่บ้าง

แต่ก็เป็นข้อดีนะ ถ้าเกิดมันน่าเที่ยว วันนึงคงได้ลาพักร้อนกลับมาเที่ยวเองล่ะ

ส่วนข้อเสียเหรอ ก็มีเยอะเหมือนกัน สำหรับเราขอลิสต์สั้นๆนะ เพราะมันไม่ค่อยจะเป็นข้อเสียที่สำคัญกับเราขนาดนั้น ก็เราอยู่ฝั่งชอบออกตจว คิดได้ไม่เยอะเท่าพี่ๆ น้องๆที่ชอบติดบ้านหรอก
  • ห่างพ่อห่างแม่ ห่างเพื่อน ห่างแฟน คนชอบปาร์ตี้ กินข้าวกับเพื่อนฝูงนี่อาจหดหู่ได้  จุดนี้เป็นจุดแรก และเราว่าแทบจะเป็นจุดสำคัญที่สุดของการตัดสินใจว่า จะชอบ หรือไม่ชอบทำจ๊อบตจวเลยล่ะ  ถ้าผ่านความผูกพันในข้อนี้ได้ อย่างอื่นก็แทบจะไม่เป็นปัญหาแล้ว
  • อันตรายถึงชีวิต!! อันนี้ก็น่าจะสำคัญเป็นอันดับต้นๆ การที่ต้องเดินทางบ่อย ขับรถบ่อยๆ อัตราความเสี่ยงของอุบัติเหตุ มันก็มีมากกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงตัวจะไม่เป็นอะไร แต่รถใช้งานหนักๆ เข้า ถ้ามันตายกลางทาง ยางระเบิด ใครจะมารับผิดชอบ ค่า mileage ที่ได้มาก็อาจไม่คุ้มกัน เพราะฉะนั้น ถ้าคิดเรื่องความปลอดภัยมากๆ การออกจ๊อบตจว ดูจะเป็นเรื่องน่ากลัวมากๆเลยทีเดียว
  • ไม่ได้กินข้าวบ้าน ซื้อเค้ากินตลอด ซึ่งนอกจากราคาโดยเฉลี่ยต่อมื้อจะแพงแล้ว บางทีก็ไม่ดีกับสุขภาพด้วย หลายๆครั้ง ไปทำงานในเมืองที่ไม่มีอะไร อยู่เมืองไทยก็ต้องพึ่ง 7-11 อยู่นี่ก็ fast food (แหลกหล่วน) เท่าที่จะหาได้
  • ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นนะ  บางทีลืมชมพู สบู่ ยาสีฟัน ผ้าอนามัย ก็ต้องมาซื้อใหม่ทุกที กองจนจะเต็มบ้านอยู่แล้วอะ
  • ไม่มีเวลาจัดการงานบ้านระหว่างอาทิตย์ ทำให้วันเสาร์ อาทิตย์ แทนที่จะได้เที่ยวก็ต้องมาเก็บกวาดทำความสะอาด ซักผ้า จ่ายค่านู่นนี่
ชี้ให้เห็นข้อดีข้อด้อยแล้ว ก็ช่างน้ำหนักกันเองนะจ๊ะ
แต่ถึงยังไง ชีวิตออดิท อย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะเลือกได้
เค้าให้ไปไหนก็พยายามมีความสุขกับจ๊อบที่ได้มาแล้วกันล่ะ  คิดบวก ไม่ว่าอยู่ไหนก็มีความสุขได้ :) จริงมะ

ถึงจะพูดงั้น แต่พอรู้ว่า ได้เปลี่ยนจากจ๊อบในเมืองเป็นต่างรัฐไกลถึง Ohio จากที่เคยซึมเศร้า ก็กลับมาคึกคักเลยทีเดียว ^_^"

แล้วจะทัวร์โรงแรม เก็บรูปมาฝากอีกนะ+++

Wisdom and GDC--ตัวช่วยออดิทแห่งยุค

คุณเคยเบื่อบ้างมั้ย ที่ต้องนั่งกรอก invoice/ balance เข้าฟอร์ม confirmation เพราะว่า mail merge มันไม่เวิร์ค ลูกค้าก็ไม่ยอมเตรียมคอนเฟิร์มให้

คุณเคยมั้ย ที่ต้องกรอกตัวเลขจาก Confirmation มาลงในรู Excel เป็นสิบๆ รายการ

คุณเคยมั้ย ที่ manager ให้คุณเทียบงบปีก่อน กับงบปีใหม่
หรือเทียบงบ version 1 กับ version ที่ 18 ของลูกค้า

คุณเคยมั้ย ที่นั่ง Foot เลขจนเครื่องคิดเลขพัง เมื่อยมือสุดๆ งานที่สำคัญกว่าก็ยังไปทำไม่ได้

คุณเคยมั้ย ที่ต้องกรุ๊ป Leadsheet  หรือ mapping GL ใหม่กับ GL เก่าเพื่อให้มันเทียบกันได้

ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ด้วยการใช้บริการ GDC!!!

แหะๆ เปิด Intro ไปแล้วมาเข้าตัวเนื้อเรื่องบ้างแระกัน

อยู่มาจะสามเดือนแล้วเนี่ย

จริงๆ มีเรื่องอยากเขียนเยอะแยะ แต่พอกลับบ้านมาไม่ค่อยได้ใช้คอมพิวเตอร์
ส่วนใหญ่ก็จะเปิด iPad ดู Netflix ตอนนี้ที่ดูก็ดู Grey's  Anatomy Season7 อยู่ ยังตามของปัจจุบันไม่ทันซักที แล้วก็ทำกับข้าว อ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อย

รู้ตัวอีกทีก็ไม่ได้เขียน Blog มาเป็นอาทิตย์ๆ แล้วแน่ะ

คราวนี้มีเรื่องที่น่าสนใจ และเห็นว่าเป็นสิ่งที่เมืองไทยไม่มี

เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ Audit ที่ออฟฟิศ

ผ่านมาประมาณหนึ่งเดือนแล้วที่ได้ทำงานแบบเป็นผู้เป็นคนกับเค้า ถึงจะไม่ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการ รับผิดชอบเยอะแยะแบบที่เมืองไทย แต่ก็เรียกได้ว่ามีเรื่องใหม่ๆ ที่ให้เรียนรู้ทุกวันเลย

สิ่งใหม่สิ่งนี้ที่ไม่เห็นในเมืองไทยก็คือ GDC ที่ไม่มีอาจเป็นเพราะค่าตัวพวกเราก็ถูกแสนถูกอยู่แล้วก็ได้ ไม่เหมือนกับค่าแรงของประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ว่าอะไรก็เป็นเงินเป็นทองราคาหูฉี่ทั้งนั้น มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า

GDC คืออะไร

GDC ย่อมาจาก Global Deliver Center เป็นศูนย์ support ที่อยู่ที่อินเดีย เพราะฉะนั้น พนักงานที่ support ก็จะเป็นคนอินเดียนั่นเอง

GDC เอาไว้ทำอะไร

ด้วยความที่ค่าแรง auditor ที่นี่ก็แพงมิใช่น้อย อย่าง senior แบบเรา ค่าตัวชั่วโมงละหลายร้อยเหรียญแน่ะ (แต่ก็ไม่ได้ได้เงินเดือนตามนี้นะ มันเป็นแค่ Standard rate)

เค้าบอกว่า 1 ชั่วโมงของ US Auditor = 2 ชั่วโมงของ GDC เพราะฉะนั้น งานอะไรที่ต้องใช้เวลา ถึก อึด ถมกันเข้าไป ก็ให้ GDC ทำจะช่วยประหยัดเวลา และค่าแรงของทีม audit ที่นี่ได้มากเลยทีเดียว

GDC ทำอะไรได้บ้าง

สิ่งที่มักจะให้ GDC ทำก็จะเป็นงานที่ ไม่ต้องใช้การพินิจพิเคราะห์ ( non-judgemental), งานที่ไม่ได้เป็นจุดเสี่ยงของจ๊อบ (non-critical)  เพราะหลายๆ section อย่างการตรวจสอบรายได้ หรือภาษี ก็มักจะไม่ส่งให้ GDC ทำ เพราะเป็นจุดเสี่ยงของ audit อย่างเราๆ

ตัวอย่างงานที่มักป้อนให้ทำ ได้แก่
  • footing/ cross-footing งบการเงิน หมายเหตุประกอบ และบวกตารางต่างๆ
  • เทียบเลขปีนี้ กับงบปีก่อน เทียบตารางปีนี้กับปีก่อน
  • เทียบงบการเงินกับงบทดลอง
  • เทียบรายละเอียดใน GL กับงบทดลอง
  • recalculate
  • เทียบงบ กับ template
  • ทำ lead sheet เทียบเลขเพิ่มขึ้นลดลง
จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เมืองไทยมักเป็นงานที่ให้น้องๆ Junior/ trainee ทำ ไม่ก็เป็นงาน manager ในวินาทีสุดท้าย  เป็นงานง่ายๆ แต่ต้องใช้เวลา และความละเอียดพอควร การที่มีมือที่สามมาช่วยเหลือ ก็จะช่วยแบ่งเบาความสาหัสช่วง year end ได้มากทีเดียว


GDC มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนหลักๆเลย คือ

1) Planning ทางทีม audit ต้องวางแผนว่าจะให้เค้าทำอะไรบ้าง
ขั้นตอนนี้ก็ยุ่งยากพอควร คือต้องเขียน instruction/ manual แบบละเอียด เหมือนกับให้คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เห็นเอกสารของเราแล้วทำได้ โดย procedures ทั่วไปที่ฮิตๆให้ GDC ทำก็จะมี templeate/ form ไว้ให้ใน intranet อยู่แล้ว ก็ไปดาวน์โหลดมาแล้วก็เอามา customize ได้

นอกจากนี้ยังรวมถึงการวางแผนเวลา และจำนวนชั่วโมงที่จะใช้ด้วย เพราะหน้า yearend GDC ทีมเองก็อาจจะขาดคนได้เหมือนกัน

2) Getting approval ที่สำคัญ ต้อง "ขออนุญาต" จากลูกค้าของเรา อธิบายให้เค้าเข้าใจว่าทำไมถึงต้องใช้ GDC และเอกสารไหนบ้างที่จะต้องส่ง offshore ออกไป (ส่ง email ก็เรียกว่าเป็นการส่งข้ามเขต ออกนอกสหรัฐฯ)  เพราะลูกค้าบางที่ หรือบางกิจการก็อาจมีข้อจำกัดห้ามส่งข้อมูลออกนอกประเทศ แบบนี้ก็จะใช้ GDC ไม่ได้

3) Launching จะเป็นช่วงส่งงานให้ทำ คอยติดตามว่ามีปัญหาอะไรมั้ย และประเมินผล

จากนั้นก็จะมีระบบ webbase ที่เรียกว่า "WISDOM" เอาไว้ tracking งานอย่างเป็นระบบ แทนการตามจิกโดย email นั่นเอง

เราเองยังไม่ได้เริ่มใช้งานจริงๆ แต่แค่ลองวางแผนกับเพื่อนในจ๊อบไว้ว่า ช่วง year end จะให้ทีม GDC ช่วยอะไรได้บ้าง  อย่างน้อยก็เชื่อได้ว่า เราไม่ต้องมานั่ง footing อะไรมากมายอีก เหมือนมีลูกมือในยามวุ่นๆนี่ ก็น่าจะโอเคเลย

จะว่าไปในเมืองไทยก็น่าจะคล้ายๆกับพวกพี่ Typist นะ แต่ว่าพี่ๆ ห้องพิมพ์ไม่ได้ช่วยบวกเลข หรือดูที่ผิดให้นินา แล้วแนวโน้มของการใช้ GDC ของที่นี่ก็คือจะพยายามเริ่มให้ทำงานที่ยากขึ้น หรืออาจต้องใช้ความคิดบ้าง

ถึงเวลานั้น จะมีมาตั้ง GDC ที่เมืองไทยบ้างมั้ยนะ จะว่าไปพวกเราผันตัวเองเป็น GDC ก็ไม่เลวทีเดียว แหะๆ

Saturday, October 22, 2011

Saturday, October 22, 2011ขอแนะนำให้รู้จัก "คุโระบุตะ" และ tips เกี่ยวการซื้อรถมือสอง (2)

การตัดสินใจ:

จากการพูดคุยกับเพื่อนๆ โปรแกรม USMP ทำให้สรุปได้ว่า ประเด็นหลักที่ใช้ในการตัดสินใจเลยคือ

1) งบประมาณ 

ถามว่ารถที่อเมริการาคาประมาณเท่าไหร่?  ขอบอกว่าถูกกว่าเมืองไทยอยู่พอควร
โดยเฉพาะใครสนใจรถ super car หรือรถ high end บ้านเรา อย่าง mini cooper, beetle, Lexus ก็สามารถมา fulfill ความฝันได้ที่นี่ ด้วยราคาที่ถูกกว่า

แต่ถามว่ามาถอย mini หรือ Beetle ที่นี่มันถูกโคตรๆ มั้ย
สำหรับเรา (ซึ่ง on budget) ก็ขอตอบว่า ไม่ได้ถูกขนาดน๊านนนน

หลักการพื้นฐานคือ ยิ่งซื้อรถแพงเท่าไหร่ ราคาส่วนต่างก็จะถูกลงมาก เมื่อเทียบกับราคาที่เมืองไทยเท่านั้น

เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ

รถ Toyota Yaris  ซึ่งจัดเป็นรถขนาด compact ของที่นี่ (คือเล็กสุดๆ)

บ้านเรา มือหนึ่งราคาเริ่มต้นที่ห้าแสนกว่าๆ จ่ายจริงก็ประมาณหกแสน
อเมริกา (อ้างอิงจาก Atlanta) จะเริ่มต้นที่ $16,XXX หรือเกือบห้าแสน ซึ่งเวลาซื้อจริงต้องบวกภาษีเข้าไปอีกเกือบ 10%

เทียบกับรถขนาดใหญ่ขึ้นหน่อย

Toyota Prius  ที่เมืองไทยเริ่มต้นที่ 1,190,000 ล้านเศษๆ
ที่อเมริกา เริ่มต้นที่ $24,XXX- $26,XXX  หรือประมาณเจ็ดแสนฝ่าๆ ตีซะว่าแปดแสนเท่านั้น

โดยความแตกต่างของราคารถที่อเมริกา นอกจากจะเรื่องของยี่ห้อ และปีที่ผลิตแล้ว
ยังต้องคำนึงด้วย ว่าซื้อจากรัฐไหน เพราะว่า ภาษีขาย (sales tax) จะไม่เท่ากัน
รถที่เหมือนกันทุกอย่าง แต่ซื้อจากคนละรัฐราคาก็อาจต่างกันเป็นหมื่นได้เลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่า การซื้อรถขนาดเล็กนั้น แทบจะไม่ต่างกับการซื้อที่เมืองไทยเลย  ส่วนการที่ตัดสินใจซื้อรถใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็จะทำให้รู้สึกว่าได้ของถูกกว่าเมืองไทยมากๆ
ที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะเรื่องภาษีนำเข้าของรถนั่นเอง

การซื้อรถใหม่นั่นง่ายแสนง่าย เพียงแค่พอมีไอเดียว่าอยากได้รถอะไร เช่น Honda Civic, Toyota Camry  อาศัยอยู่ที่เมืองไหน ก็จัดการหาออนไลน์ ให้ dealer แต่ละที่ quote ราคาแข่งกัน เลือกเอาที่ถูกที่สุด จ่ายเงินก็ได้รถมา

สามารถฟันธงให้ได้เลยว่า

ถ้าคุณมีเงินสดติดตัวมากกว่า $15,000 คุณก็สามารถถอยรถใหม่มือ 1 ขนาดเล็กมาเป็นของตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่น Nissan Versa Sedan ซึ่งราคารวมหมดแล้วประมาณ หมื่นห้าพัน(USD) นิดๆ 

(อันนี้พูดถึงการซื้อรถด้วยเงินสดของพวกเราที่ไม่มีเครดิตในอเมริกา และไม่สามารถผ่อน Finance ได้นะ)

ข้อดีของรถมือ 1 ก็อย่างที่ทุกคนรู้

  มีประกันศูนย์ตามระยะเวลา เช่น 3 ปี 50,000 miles 
  ปัญหาเรื่องอะไหล่ เครื่องยนต์ เก่าเก็บก็ลืมไปได้เลย
  ปัญหาเรื่องมีผีอีเม้ย หรือมีประวัติอะไรตุกติกมาก่อนก็ไม่ต้องคิด
  หอมใหม่ สบายใจ งานเอกสารก็จัดการโดยคนขายทั้งหมด

ข้อเสีย
   ข้อเสียหลักเลยคือ "ราคาตก" อย่างที่มีคนเคยพูดไว้ว่า แค่วันแรกที่ขับรถออกมาจากศูนย์ราคาก็ตกไปสองพันแล้ว!!!  เพราะฉะนั้น ให้ทำใจเรื่องราคาขายต่อได้เลย ว่าตกลงจากเดิมอย่างต่ำ ยี่สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์หลังการใช้ 3-6 เดือนแน่นอน
    
   อีกข้อเสียนึงก็คือ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีเงินสดติดตัว มีงบประมาณจำกัด
สำหรับกะเหรี่ยงชาวต่างชาติแล้วนั้น ต้อง "จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง" เท่านั้นจ้า

เพราะฉะนั้น ก็ขอสรุปให้ง่ายๆเลยคือ

ถ้ามีงบต่ำกว่า $15,000 หรือสี่แสนกว่าบาท "ไม่สามารถซื้อรถมือหนึ่งได้!!!" 

จากเพื่อนๆในกรุ๊ปสี่สิบคน มีคนที่ถอยรถใหม่เลย เท่าที่รู้ก็แค่สองคนเท่านั้น

โดยทั้งสองคนนั้น ถอย Nissan Versa แบบสี่ประตูคนนึง แล้วก็ห้าประตู (ซึ่งราคาที่ถามมาก็ $15-$16,000 นั่นเอง)

ส่วนเราจัดเป็นพวกที่สองคือ มีเงินติดตัวมาไม่ถึง $10,000 ด้วยซ้ำ!!!

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเลือกซื้อรถ "มือสอง" ซึ่งที่นี่เรียกให้เพราะจับใจว่า "Pre own car"  นั่นเอง (อย่าเรียกรถใช้แล้ว หรือ used car นะ คนซื้อแอบเคือง 555)

การหาซื้อรถมือสอง แบ่งได้หลักๆ เป็นสองแบบ

1) ซื้อจาก dealer คือพวกเต๊นรถที่โชว์ทั่วไป ก็จะมี subset แบ่งเป็น
     1.1) ซื้อมาขายไป คือการที่เราแวะไปดู ชอบใจคันไหน ตกลงราคากัน จ่ายเงินแล้วก็เอารถไป ไม่มีภาระผูกพันอะไรในแง่ของการดูแลหลังการขาย สิ่งที่ dealer ทำให้ก็คือ พวกเดินเรื่องเอกสารจดทะเบียนให้ 
      ข้อดี คือ รถก็เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง บาง dealer ก็จะมีประกันแบบรับซ่อมให้ถ้ามีปัญหาภายในระยะเวลาที่กำหนด (เช่นหนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน)  + มีรถให้เลือกหลากหลาย เห็นรถได้จริงๆ หลายๆ คัน ไปดูเปรียบเทียบกับ dealer หลายๆที่ กันจนตาลายเลยทีเดียว
     ข้อเสีย คือ ต้องจ่าย Sales tax เพราะ dealer พวกนี้ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แล้วราคาก็มักจะแพงกว่าราคาที่ซื้อโดยตรงจากเจ้าของนั่นเอง

   1.2) Certified pre-own car หรือ รถมือสองแบบมีประกัน  มันมีระบบนี้เกิดขึ้น ก็เพราะคนอเมริกาส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญญาซื้อรถใหม่กันทุกคน แล้วก็ไม่ทุกคนที่อยากแบบรับความเสี่ยงจากการซื้อรถที่ไม่มีประกันอะไรเลย 

จุดขายของ certified car ก็คือ เป็นรถที่ค่อนข้างใหม่ อาจยังอยู่ในประกันศูนย์ หรือใกล้หมดแต่มีการต่อประกัน Dealer ก็จะจัดการให้ทุกอย่าง แถมรถที่เราซื้อก็เหมือนว่าออกมาจากศูนย์ เกือบใหม่กิ๊กนั่นเอง

ข้อดี  มั่นใจหายห่วงเรื่องเครื่องดับ เครื่องเสีย โดนย้อมแมว เพราะ Dealer ก็มีหลักฐานให้ทุกอย่าง ว่ารถได้ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดสุดๆ ถ้าเสียก็สามารถส่งซ่อมได้เหมือนรถใหม่ทั่วไป  ส่วนใหญ่ก็เป็นรถค่อนข้าวใหม่ไม่เกิน 5 ปี สภาพใหม่ ถึงใหม่มาก จำนวนไมล์วิ่งก็ต่ำ (ไม่เกินแสน) 
เรียกว่า ถ้าไม่อยากได้รถใหม่เอี่ยม แต่ยังลังเลเรื่องเครื่องยนต์อยู่นั้น Certified car ก็จัดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

ข้อเสีย
จะบอกไว้เลยว่า แพง!!! Certified car หลายๆ คันที่เราดูมา แพงกว่าซื้อรถใหม่ซะอีก!!!
ถามว่าเป็นไปได้ไง??? ก็เพราะเรื่องการประกันหลังการขายเนี่ยแหละ

ซื้อรถมือหนึ่งจากศูนย์ อาจจะประกันสามปี หรือถึงจำนวนไมล์ที่กำหนด
แต่ถ้าซื้อ Ceritified นอกจากประกันศูนย์ (ถ้ายังเหลือ) บางทียังต่อออกไปอีก 2-5 ปีด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้น ราคาที่แพงก็เพื่อซื้อความอุ่นใจ สำหรับคนที่หวาดผวาเรื่อง breakdown หลังผ่านการใช้งานหลายๆปีแล้วนั่นเอง

สำหรับเรา (โดยส่วนตัว) ไม่เห็นด้วยกับการซื้อ Certified car เลย เพราะเราถือว่า ถ้ามีตังเพิ่มอีกนิดก็สามารถซื้อรถเล็กมือหนึ่งได้แล้ว

แต่ถามว่ามีเพื่อนซื้อมั้ย ก็มี มีเพื่อนสิงคโปร์คนนึง ซื้อ Ceritified BMW ราคาประมาณ $23,000 ซึ่งเป็นรถมือสองไมล์ต่ำ แต่ประกันหลังการขายให้อีกสามปี

ถ้าเป็นเรา $23,000 เราเอาไปซื้อ Honda Civic Hybrid ราคาคือๆ กันแต่มือหนึ่งแล้วอะ

การตัดสินใจก็เลยแล้วแต่คนอะนะ ถ้ามีแบรนด์ที่ชอบในใจอะไรก็ฉุดไม่อยู่ :p

2) ซื้อจากเจ้าของโดยตรง

 สำหรับเราก็มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนเต๊นรถประมาณห้าหกที่ได้
ทุกอย่างก็ดูดีหมดอะแหละ แต่เราติดที่ "Budget" หรืองบประมาณอย่างเดียวเลย

เราตั้งงบไว้ระหว่าง $7000- $10,000 เท่ากับเงินสดในกระเป๋าที่ติดตัวมา
dealer ก็เสนอมาหลายคันที่ราคาอยู่ในงบแหละ แต่ติดตรงที่ รถส่วนใหญ่ในงบนี้จะ "เก่ามาก ถึงมากที่สุด!!"

เก่าขนาดไหน?  ก็ปี 1998- 2002 เกือบสิบปีแล้วทั้งนั้น
ไมล์มากขนาดไหน ส่วนใหญ่ก็ 130,000- 150,000 ขึ้นทั้งนั้น

เราก็เลยคิดว่า ไม่ไหวอะ เสี่ยงเกินไป กับชีวิตออดิทสาวที่ต้องขับรถเดือนนึงเป็นพันไมล์ เราเลยเหลือทางเลือกสุดท้ายทางเลือกเดียวคือ "ซื้อโดยตรงจากเจ้าของ"

2) Private car owner
อันนี้ก็ตรงไปตรงมา คือซื้อจากเจ้าของรถโดยไม่ต้องผ่านคนกลางอย่าง dealer นั่นเอง

ข้อดี ชัดๆจากการที่จะซื้อจากเจ้าของโดยตรงก็คือ "ราคา"
ราคาถูกกว่าอย่างต่ำก็พันสองพันเลยทีเดียว ไม่ต้องจ่าย sales tax เพราะว่าเป็นการเปลี่ยนมือกัน ดูเหมือนทุกอย่างจะงามแงะโลกสดใสใช่มั้ย  แต่ความจริงมันไม่ง่ายแบบนั้น

ข้อเสีย 
- ไม่ได้มียี่ห้อ รุ่นรถ หรือปี รถมาให้เลือกอย่างใจอยาก  รถที่มาก็ต่างๆกันไป บางคันปีใหม่ๆ แต่วิ่งมาเยอะ บางคันเก่ามาก แต่ไมล์ต่ำ เลือกสี เลือกเบาะก็ไม่ได้

- ย้อมแมวมารึเปล่า?  เราไม่มีทางรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่เจ้าของต้องการขายเพราะอะไร
บางคนร้อนเงิน บางคนบอกว่าอยากขายเพราะอยากได้รถที่ใหญ่ขึ้น
ร้ายๆก็คือ ขโมยมาแล้วรีบขาย รถชนคนตายมาแล้วก็เลยขาย หรือรถเคยผ่านการซ่อม หรือมีเรื่องที่จะต้องซ่อมก็เลยขาย  ไอ้เรื่องงามๆ พวกนี้ก็คงไม่เอามาบอกเวลาประกาศขายกันหรอก จริงมะ?  เพราะฉะนั้น การซื้อรถจากเจ้าของเนี่ย ก็ต้องรับความเสี่ยงเรื่องพวกนี้ไปตรงๆเลย

- ไม่มีการเดินเอกสารให้ ขั้นตอนการเปลี่ยนมือรถ การลงทะเบียน จะไม่มีใครทำให้
เจ้าของรถถือว่า เอาเงินมาให้ เอารถ แล้วก็เอาสมุดทะเบียนไป ที่เหลือผู้ซื้อต้องจัดการเองทั้งหมด ถ้าใครคิดว่าไม่มีเวลา ไม่อยาก ไม่กล้าทำ การซื้อจากคนธรรมดา ให้ตัดทิ้งไปเลย

แต่ถามว่าขั้นตอนพวกนี้ยุ่งยากมั้ย ก็พอควร แต่ไม่อยากเกินกว่าจะศึกษาเรียนรู้
อย่างเราก็เริ่ม research จากอากู๋นั่นแหละ ว่าซื้อรถมาแล้วต้องทำยังไงบ้าง มันก็ต้องใช้เวลา ไม่ได้เป็นบะหมี่สำเร็จรูปแบบการซื้อจากเต๊นรถแน่นอน

พอดูๆ แล้ว ข้อดีของการซื้อรถจากเจ้าของ ก็ดูเหมือนมีแค่เรื่อง "ของถูก" เท่านั้น
แต่มันก็เป็นข้อดี ที่ match กับข้อจำกัดของเรา เราเลยเลือกมาทางนี้

ประสบการณ์หารถมือสอง

เราเริ่มต้นหารถมือสองจากหลายๆเวบไซต์ ที่แนะนำก็มี


รถที่เข้าตาก็มีอยู่หลายคัน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคหลักๆมีสองอย่าง
1)  รถดีมักไปเร็ว  รถไหนที่เจ้าของประกาศขาย แล้วราคาดี ถูกกว่าตลาดพอควร ก็มักจะมีคนติดต่อไปเยอะมาก แป๊ปเดียวขายได้ปิดกระทู้แระ :(
  เราเจอรถดีราคาถูกแบบนี้หลายคันมาก  แต่เป็นคนตัดสินใจช้า และไม่ค่อยมีเวลาติดตาม (เนื่องจากไปทำงานตจว) กว่าจะโทร กว่าจะนัด เจ้าของก็ขายปิดงานไปแล้ว
เจอแบบนี้กับ Honda Civic มาเกือบห้าคัน !!!  ขอบอกว่า ตลาด Honda Civic ที่นี่ฮอตมากๆ

2) รถที่ยังอยู่ ก็แปลว่าไม่ดี??  ถ้ารถไหนที่ประกาศขายแต่ยังไม่ไปซักที ก็ให้ตั้งสมมติฐานแรกเลยคือ ขายแพงเกินราคา คือเจ้าของตั้งราคาตามใจฉันไม่ดูตาม้าตาเรือ

หรือถ้าราคาดีโคตรรร ก็ให้สรุปได้เลย ว่าประวัติฉาวโฉ่แน่นอน!!

เราเจอประมาณ 2-3 คัน ตัดสินใจว่าจะไปลองขับ ติดต่อเจ้าของแล้ว แต่พอเช็คประวัติ เคยผ่านอุบัติเหตุ total loss แล้วมา rebuilt ใหม่ทั้งนั้น :( 

หรือบางคันก็ถูกใจ แต่ว่าเจ้าของรถอยู่ไกลมากๆ ก็ไม่กล้าเสี่ยง กลัวถ่อไปตั้งไกลไม่ได้รถสมใจก็คงเสียเวลา

คีย์หลักของการซื้อรถมือสองจากบุคคลธรรมดาเลยคือ VIN

VIN หรือ Vehicle Identification Number ก็เหมือนบัตรประชาชน แต่เป็นของรถนั่นเอง รถทุกคนของอเมริกาจะมี VIN ที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเคยเอาไปชน เคยโดนขโมย เข้าศูนย์ซ่อมที่มีการรายงานเข้าระบบ ก็จะมีประวัติติดตัวไว้เรียกดูได้ตลอด

ถ้าเกิดสนใจรถของคนไหนแล้ว ก็ให้ขอ VIN จากเจ้าของมาได้เลย

ถ้าเจ้าของยอมให้ VIN ก็ให้วางใจได้ระดับหนึ่ง ว่ายอมให้เช็คประวัติ

วางใจได้ แต่อย่าไว้ใจ เพราะหลายๆครั้ง ก็อาจเจอเจ้าของจงใจย้อมแมว (เราเจอมาสองครั้ง)  เพราะฉะนั้น ไม่ว่ารถจะดูดี ราคาดึงดูดใจขนาดไหน อย่าตัดสินใจอะไรจนกว่าจะ "เช็ค VIN" เป็นอันขาด

การเช็ค VIN เราขอบอก tips เล็ก ๆว่า
ให้ไปที่ https://www.nicb.org/theft_and_fraud_awareness/vincheck  เพื่อหาข้อมูลเบื้องต้นก่อน
เวบนี้เป็นเวบที่เอาไว้เช็คง่ายๆ และฟรี ว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุจนเกิด total loss แล้วหรือไม่ และเป็นรถที่ถูกแจ้งความหายหรือไม่

อาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่สามารถใช้กรองรถมากมายที่โพสต์ไว้ตามเนต ให้ลดจำนวนลงมา

ต่อจากนั้น โทรไปคุยกับเจ้าของรถ สอบถามเล็กน้อย ถ้าตัดสินใจว่าอยากได้คันนี้ล่ะ!
ก็ถึงเวลาเสียเงินเช็คประวัติจริงๆแล้ว

เวบยอดฮิตเลยคือ http://www.carfax.com/ 

  • 1 CARFAX Report for $34.99
  • SAVE! Add 4 more Reports for only $10 ($44.99)


แต่เราว่ามันยังแพงไปหน่อย เลยหนีไปใช้ http://www.instavin.com/
ที่ราคาถูกกว่ามาก คือ report ละ $6.99  และมีโปรโมชั่น ซื้อสองรีพอร์ทแถมหนึ่งรีพอร์ทด้วย เลยซื้อหารกับเพื่อนอีกคน (งกโคตรๆ)

ถามว่า report ที่ได้ต่างกันมั้ย
เราคิดเอาเองว่าด้วยราคาที่ต่างขนาดนี้ ที่ Carfax คงจะละเอียดกว่าอะแหละ
แต่ report ที่ได้จาก instavin ก็ไม่ขี้เหร่นะ คือมีประวัติรถให้พอควร ว่าเคยไปทำอะไรมาบ้าง เจ้าของจดทะเบียนที่ไหน ใช้มาแล้วกี่ปี ก็พอใช้ได้เลย
เราเลยคิดว่าจาก instavin ก็น่าจะพอแล้วอะนะ ^_^"

ต่อจากนั้น ถ้า VIN โอเค ก็เดินหน้านัดเวลากับเจ้าของรถได้เลย ว่าจะเอารถไป test drive ดู นัดสถานที่กัน

แล้วก็เอารถไปลองขับ (test drive) วิธีการเช็คเบื้องต้นก็หา google ได้เลยว่าต้องดูอะไรบ้าง

ถ้าพอใจโดนส่วนตัวแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เอาไปให้ mechanic อู่รถที่ไหนก็ได้เช็คสภาพดู (ก็จะมีแพคเกจ หรือลองถามอู่ทั่วๆไปก็ได้ ว่าขอให้เช็คสภาพรถก่อนซื้อ หรือเรียกว่า Pre-purchase check up เท่าไหร่ โดยทั่วไปก็ราคา $50-$99 แล้วแต่ความละเอียดของการเช็ค )
เพราะฉะนั้น การเอาไปให้อู่รถเช็คก็จะทำให้รู้ว่า รถคันนี้ที่เราจะเป็นเจ้าของในอนาคต มันมีอะไรต้องเปลี่ยน มีอะไรพังบ้าง ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจสุดท้ายว่า จะซื้อดีมั้ย หรือถ้ามีอะไรต้องซ่อม อาจให้ช่างตีราคา เพื่อเอาไปต่อราคากับเจ้าของ หรือถ้าเลวร้ายจริงๆ การเสียเงินเช็ครถก่อนก็ยังปลอดภัยกว่าการเสียเงินสดทั้งก้อนแล้วได้รถกากๆมานั่นเอง

อย่างที่บอกว่า ความอันตรายของการซื้อรถจากเจ้าของคือ จ่ายสด ซื้อแล้วซื้อเลย ต่างคนต่างไป เรียกร้องอะไรกันไม่ได้อีก

ถ้าโชคไม่ดีจริงๆ การต้องเสียเวลาดูรถ เสียเงินเอาไปให้ช่างเช็ค หลายๆครั้ง คิดไปคิดมาอาจไม่คุ้มก็ได้

เพราะฉะนั้น จึงแนะนำว่า ให้หาเพื่อนที่พอรู้เรื่องรถช่วยดูให้บ้างตั้งแต่ต้นดีกว่า
การที่จะถึงขั้นนัดเจ้าของเอาไปขับนั้น เรียกได้ว่าเป็นขั้นท้ายสุดๆ ของการซื้อรถแล้วก็ว่าได้

มันมีข้อที่ต้องระวัง มีสิ่งที่ต้องศึกษามาก แต่ในขณะเดียวกันราคาที่ได้มาก็มักจะ "ว้าววว" และนำความภาคภูมิใจมาให้เจ้าของรถ pre own อย่างเราๆ ได้เสมอ :)

ขอแนะนำให้รู้จัก "คุโระบุตะ" และ tips เกี่ยวการซื้อรถมือสอง (1)

ใช้ชีวิตอยู่ที่มาสองเดือนแล้ว

ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ข่าวดีคือ ตอนนี้ก็มีรถเป็นของตัวเองซักที

ไปรับ "คุโระบุตะ" (ชื่อที่พี่บีมตั้งให้) เมื่อวันที่ 15 ตุลา ช้ากว่ากำหนดไป 1 อาทิตย์

อันที่จริงคือจะไปรับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 10 ตุลา (วันจันทร์) แต่อนิจจัง พอจะถอนเงินไปจ่ายตังเจ้าของรถ ธนาคารดันติดวันหยุด Columbus ซึ่งเป็นวันหยุดงงๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่หยุด แต่ธนาคารหยุด ก็เลยเป็นอันว่าไม่มีตัง ของไม่มาว่างั้น

บวกกับที่เราต้องไปทำงานที่ Columbus อีกทั้งอาทิตย์ ก็เลยบอกอู่ไปว่าจะมารับอีกทีวันเสาร์ถัดไปเลยแล้วกัน

คุโระบุตะ (หรือน้องดำ) เป็นรถ Honda Accord LX 2.4 ปี 2004 มือสองจากใครก็ไม่รู้

ประวัติรถ: เมื่อเช็ค VIN (ซื้อจาก instavin.com) แล้วก็ใสสะอาดในแง่ที่ว่าไม่เคยเป็น total loss (พวกชนจนไม่เหลือชิ้นดี) หรือโดนขโมยมาก่อน 

>>>อ่านเรื่องเกี่ยวกับ VIN ได้ที่ note ด้านท้ายนะจ๊ะ :)

ต่อๆ น้องคุโระบุตะผ่านมือชายมาแล้วสองมือ โดยบ้านเกิดน้องดำนั้น อยู่ที่ Alabama พอเรารับมา เดี๋ยวก็จะเอามาแปลงเป็นสัญชาติ Georgia 

เจ้าของอู่ ชื่อ Vong เป็นคนเวียดนามที่อยู่ Atlanta มาสิบกว่าปีแล้วล่ะ พี่คนไทยที่เอารถมาซ่อมกับ Vong ประจำก็เลยแนะนำว่า Vong มีรถไว้ขาย

อาชีพหลักจริงๆของ Vong ก็คือทำ Auto part พวกปะโป๊ว เปลี่ยนน้ำมัน ซ่อมรถ
อาชีพเสริมก็คือร่วมกับพรรคพวก ไปหารถที่มันพอไหว แต่อาจบุบ อาจเก่า หรืออะไร แล้วเอามาโมใหม่โดยใช้ฝีมือ และแรงงานของตัวเอง แล้วก็ขายต่อเอากำไรส่วนต่าง

อย่างตอนที่เราไปทัวร์สต๊อกของ Vong (ก็มีไม่กี่คันอะนะ) เห็นมี BMW 2010 ใหม่มากๆ แต่ที่เศร้าคือ เจ้าของเอาไปชนหน้าเละ Vong ก็ซื้อมา เอามาเคาะให้เหมือนใหม่ แล้วก็ขายต่อนั่นเอง

เราไม่รู้ว่า น้องดำ ก่อนหน้านี้เป็นไงหรอกนะ แต่เค้าบอกว่า เป็นรถประมูลมาจาก Florida (เป็นแหล่งประมูลรถมือสอง) แล้วเค้าก็เอามาทำใหม่

Vong บอกว่าเค้าเปลี่ยนและลงทุนไปหลายอย่าง เพิ่งเปลี่ยนยาง เปลี่ยนแบต เปลี่ยนน้ำมัน และอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จขนาดไหนอะนะ แต่วันที่ไปเอารถ เค้าก็เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนให้ใหม่ แล้วก็ใส่ลายรถแถบข้างๆให้ด้วย ^_^"

มาดูรูป คุณน้องคุโระบุตะ รถคันใหม่ของเรา (เก่าของคนอื่น) กัน

 ตอนได้มาใหม่กิ๊ง เพราะเจ้าของอู่เอาไปล้างให้ก่อนส่งรถ

จุดพึงกังวลของน้องดำก็คือ High mileage คือรอบบินสูงแล้วนั่นเอง ณ วันที่เรารับรถ ก็ได้เลขสวยที่ 111,111 ไมล์ (ประมาณ 170,xxx กิโล) พอดิบพอดี เลยแชะรูปเก็บไว้




สภาพภายนอกใหม่ดี มีจุดที่สีจางๆบนหลังคานิดหน่อย นอกนั้นดูใหม่มาก

ส่วนสภาพภายในก็มีร่องรอยพวกคราบน้ำ คราบฝุ่น
เข็มขัดนิรภัยฝั่งคนขับยานๆ หน่อย (แบบไม่ค่อยดูดกลับเข้าที่เวลาไม่ใช้งาน)

กลิ่นเลมอนเล็กน้อย เพราะ Vong เอาที่ดูดกลิ่นมาใส่ไว้

มาถึงจุดนี้ ทุกคนคนนึกในใจ ตั้งคำถามกันแล้วชิมิ ว่า "รถเก่าไปป่าวอะ"????

เราก็แอบคิดอยู่เหมือนกันอะแหละ แต่ตั้งแต่รับมา วันอาทิต์รุ่งขึ้นก็จัดการลองเครื่อง ขับประมาณ 260 ไมล์รวดเพื่อมาออกจ๊อบที่ Alabama เลย ปรากฎว่าทุกอย่างก็ยังโอเคดี แอร์เย็น heater ก็ทำงาน ไม่มีรอยรั่วตรงไหน และประหยัดน้ำมันพอควร

ช่วงแรกๆ จนถึงตอนนี้ก็ใช่ว่าไว้ใจอะนะ การซื้อรถสองมันจะไปอุ่นใจเหมือนรถมือหนึ่งได้ยังไง

ถึงซื้อจากการแนะนำจากคนรู้จัก แต่เจ้าของก็ไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหาย จะไปวางใจทั้งหมดก็ใช่ที่ ส่วนหนึ่งก็ต้องขับอย่างระวัง แล้วก็ต้องคอยดูแลรถเบื้องต้นด้วย

เพราะฉะนั้น จะขอเล่า tips ในการเลือกซื้อรถมือสอง และประสบการณ์เกี่ยวกับการซื้อรถของเราในอเมริกาแล้วกันนะ

ติดตามตอนสองได้ 

Wednesday, October 12, 2011

AT&T Worst of the WORST experience

คำเตือน BLOG นี้ ใครไม่ชอบตัวหนังสือ และเบื่อคนขี้บ่น ให้ปิดหน้าต่างไปได้เลย!!



 ก่อนคุณพี่ Steve Jobs จะลาจากโลกนี้ไป วันที่ 4 ตุลา วันอังคารสายๆ iPhone4S แทนที่จะเป็น iPhone 5 ก็ได้ถูกแนะนำตัวเข้าสู่วงการ 

ไม่ได้มีอะไรใหม่มากมายนอกจากนัง Siri ที่บอกว่าจะมาเป็นเลขาส่วนตัว

>>>(นึกในใจว่า ณ จุดนี้มันคงสั่งได้แต่ภาษาอังกฤษ แล้วนัง Siri มันจะฟังสำเนียงตรูออกมั้ยเนี่ย)

มีกล้อง 8 เมกะพิกเซล
>>> ได้ข่าวว่า Nokia มีมานานชาติเศษ

เร็วขึ้นแรงขึ้น
>>> จะเอาไปแข่งรถรึไงฮะ

มากับ IOS5 + iCloud
>>> ที่แมร่ง ต้องเสียตังรายเดือนเพิ่ม...

คุยไปคุยมา เจ๊ก็ เข้าไปคลิ๊กสั่งงงงง!!!!! สิริรวมเวลาประมวลผลแล้วประมาณ 3 วัน
สั่ง online ไปเมื่อศุกร์กลางคืน หลังจากที่คำนวณ Breakeven แล้วว่าน่าจะคุ้มล่ะน่า

เพราะว่าคุณชายใกล้ตัวนั้นเป็นญาติสนิทกับ Steve Jobs เมื่อชาติก่อนรึไงนะ ผูกพันกับผลิตภัณฑ์ Apple เหลือเกิน ... คุณชายเห็นดีด้วย ก็เอาวะ (แถมเชียร์ให้สอย 64GB แบบ MAX อีกแน่ะ)

เพราะว่าคุณชายจะมาเยี่ยมช่วงเดือนธันวา ก็น่าจะโอเค ถ้าให้เฮียแกกลับไป unlock แล้วแลกกับ iPhone4 ของเฮียก่อน

เพราะว่า บริษัทเรามีส่วนลดพิเศษกับ AT&T (จริงๆก็มีกับ Verizon + Sprint ด้วยอะนะ) และ เราติด Internet ของ ATT ถ้าสมัครเป็น Bundle คือหลายบริการรวมกัน ก็จะลดค่าเนตอีกเดือนละ $5

สรุปรวมแล้ว ก็เลยสั่งไป iPhone 4S 64GB White = $399 + tax
ติดสัญญาสองปี

เป็นโปรพนักงาน เลยได้ส่วนลด 25%
จาก $29.99 บวก $5 off เหลือ $24 กว่าๆ
Data plan 2GB $18

สรุปต้องเป็นทาสมือถือรายเดือนเดือนละ สี่สิบกว่าเหรียญ จากเดิมที่จ่ายเดือนละ $30 ก็พอทำใจได้ >__<

สี่วันผ่านไป จากที่คาดว่ามันน่าจะเตรียม ship แล้ว
และเราน่าจะเป็นหนึ่งในมนุษย์ยุคแรกที่ได้มันมาครอบครอง กระหยิ่มในใจ (นิดๆ)

แล้วแม่มมมมม มีเมลมา บอกว่าออเดอร์มีปัญหา ฝากเบอร์ไว้ให้โทรกลับไปหามัน (ไม่โทรมาหาตรูซึ่งเป็นลูกค้าเลยซักนิด)

Attempt 1-- online chat คุยๆซะดิบดี สุดท้ายมันบอกว่า เราเป็นลูกค้าองค์กร มันให้บริการไม่ได้
ให้โทรหาเบอร์ XXX ซึ่งเป็นเบอร์บริการลูกค้าองค์กร

Attempt 2-- โทรหาเบอร์ที่ให้มา โทรติด แต่โดนมันตัดสาย ก่อนตัด อี Auto oper ก็บอว่า "Due to (our) technical problem, please call back again" ตู๊ด ตู๊ด

Attempt 3-- เป็นเหมือนเดิม เลิกละ (แรก ๆ กะว่าจะเปลี่ยนโปรซักกะหน่อย)

Attempt 4-- เมื่อคืน ก็พยามโทรหา รอสายนานเหมือนเดิม

Attempt 5-- เมื่อสายๆ วันนี้ รอไป 58 นาที ยังไม่ได้ต่อไปหา operator

Attempt 6 -- ขาดผึง เมื่อรอไปชั่วโมงกว่าๆ operator รับแล้วบอกว่า ออเดอร์เรามีปัญหาเพราะ Credit Bureau (สถาบันที่ไว้เช็คเครดิตของลูกค้า) ไม่สามารถหาเบอร์ Social Security เราในระบบได้

Whatttt!! มันจะเป็นไปได้ไงอะ เราก็บอกไปว่าเราเป็นลูกค้า AT&T ซึ่งผ่านเครดิตเช็คมาแล้วนะ

แล้วเราก็ใช้บัตรเครดิต กินเงินเดือนที่นี่ เรามีข้อมูล report ในเครดิตบูโรอยู่แล้ว

พนักงานช่วยเหลือมากกกกกก (เสียดสี)  ให้เบอร์ติดต่อ Credit Bureau พูดประมาณว่าให้ไปโทรเองแล้ววกัน เพราะเค้าเองก็ไม่รู้เรือ่งเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ในระบบมันบอกแค่ว่าไม่สามารถตรวจสอบเครดิตได้  ซึ่งเป็นคนละกรณีกับตรวจแล้วแต่ไม่มีเครดิต

เราถามไปว่า แล้วถ้าโทรไปหาเครดิตเคลียร์ได้แล้ว ต้องโทรกลับมาบอกใหม่ใช่มั้ย
เพราะถ้าไม่ verify  ว่าเรียบร้อย ออเดอร์ก็จะถูกยกเลิกในเจ็ดวัน

เรา: ต้องรอสายอีกชั่วโมงนึงใช่มั้ย
พนักงาน: ก็ใช่ เพราะว่าคนโทรมาเยอะมากสสสส
เรา: มีเบอร์ต่อตรงมั้ย จะได้บอกว่าเคลียร์แล้ว
พนักงาน: ไม่มีเบอร์ตรง เพราะว่า อี เครดิตบูโร นั้นเป็น 3rd party
เรา: (นึกในใจ) แล้วตอนที่โทรถามว่าเรามีปัญหาอะไรนี่โทรหาใคร (ฟระ)
พนักงาน: มีอะไรให้ช่วยอีกมั้ยคะะะ
เรา:ช่วยยกเลิกออเดอร์ไปเลยคร่าาาาา 
กรูทนไม่ไหวแล้วววววว
ไม่เคยรอสายใครนานเป็นชั่วโมงขนาดนี้
ไม่เคยเจออะไรที่ไหน ที่ไม่โทรหาลูกค้า แม้แต่ให้เบอร์ให้อะไรติดต่อไว้แล้วก็ไม่โทร

ยกเลิกแล้ว ก็ตะหงิดๆ ในใจ โทรไปหาเครดิตบูโรตามเบอร์ที่ให้มา

ปรากฎมันเป็นระบบ Auto ที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่วันติดต่อ operator ที่เป็นมนุษย์ได้
ก็เลยทุ้มอยู่ในใจ ดีแล้วที่ยกเลิกกับมันไปซะ พอกันที่ online order

ตกเย็นเลิกงาน ไม่ลดละ

แวะไป AT&T shop ร้านตัวเป็นๆ ที่ Columbus ใกล้ๆ ลูกค้า
เนื่องจากมีเพื่อนสิงคโปร์อีกคนบอกว่า เค้าก็มีปัญหากับการสั่งออนไลน์เลยไปสั่งที่ร้านแทน

เจอพนักงานหน้าเอเชีย แต่เป็นคนอเมริกันชื่อ Alfred บริการดีเชียว
เราโดนเช็คเครดิตบูโร โดยมีให้ต่อสายตอบคำถาม Security นิดหน่อยแค่สองคำถาม

สิบกว่านาทีเรียบร้อยยยยยย

เลยได้เปลี่ยน plan และเปลี่ยน order จาก 64 เป็น 32GB เพราะคิดไปคิดมา เราว่ามันเกินจำเป็น
เดี๋ยวใช้ iCloud ก็น่าจะประหยัดพื้นที่ได้ (คิดว่าคุณชายจะสมัครเสียตังแหงมๆ)

ข้อดีก็คือ ไม่ต้องไปหงุดหงิดกับการรอสายนานๆแบบนั้นแล้ว
แถมโปรพนักงานก็ได้เหมือนกันทุกอย่างด้วย

แต่ข้อเสียก็คือ จะได้ช้ากว่า ถ้าสั่งออนไลน์จะได้ 14 นี้แล้ว ส่วนเราต้องรอไปอีก 2-3 อาทิตย์

ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร

ข้อคิดของวันนี้ 

  • ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า (โดยเฉพาะที่ AT&T)
  • ระบบ auto call center ของอเมริกาเป็นที่เลื่องลือมาก ว่าหงุดหงิด น่ารำคาญ วนเป็นลูป จิ้มไปจิ้มมา กลับมาเมนเมนูเหมือนเดิม -"-
  • ซื้อของออนไลน์ก็ไม่ได้ดีกว่าการไป shop จริงๆ เสมอไป


  • ถึงไม่พอใจในบริการขนาดไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกเป็นลูกค้า (นี่คือ low bargaining power ตามหลัก marketing สินะ)
  • ถึงไม่เคยอยากได้อะไร แต่เห็นแก่ความประหยัดเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เสียตังก้อนใหญ่เป็นหมื่นได้ (เรียกว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย)
  • สั่งอะไรไปแล้วก็ยกเลิกได้เสมอ
  • คุณสามารถรอสายนานเป็นชั่วโมงได้ แค่ทำงานไปด้วย และเปิดลำโพงทิ้งไว้
  • คนเราโง่ได้ และอดทนได้มากกว่าที่คิด -_-
เราเป็นต้น!!!! อร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก

Residence Inn Marriott @ Columbus, Georgia

อย่างที่บอกว่า ชีิวิต Audit ที่นี่ดีอย่างคือเรื่องโรงแรม
มากับรถ Ford Focus คู่ใจ
เลือกได้เองว่าอยากพักที่ไหน เครืออะไร (แล้วแต่ว่าใครเป็นลูกค้าสะสมแต้มเจ้าไหน) หลักๆก็มีเครือ Marriott กับเครือ Hilton แต่ดูเหมือนหมู่มิตรสหายจะฮิต Marriott มากกว่า ส่วนตัวเราเองก็ชอบ Marriott เหมือนกัน

ใครที่ออก ตจว นอนค้างอ้างแรมบ่อยๆ ก็จะได้เป็น Platinum member กัน ข้อดีก็คือ จะได้สิทธิพิเศษห้องไม่เคยเต็ม จองเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น และได้ของดีที่สุดเสมอ ดีอะะะะ ตอนนี้ก็กำลังไต่เต้าอยู่อะนะ

อย่างวันนี้เป็นคืนสุดท้ายที่มาออกจ๊อบที่นี่ที่ Columbus, Georgia เป็นสัปดาหร์ที่สี่พอดี

สัปดาหร์แรก พักที่ Holiday Inn  http://www.toffee-in-usa.com/2011/09/columbus-georgia.html
week 2 + week 3 พักที่ Marriott Columbus  http://www.toffee-in-usa.com/2011/10/blog-post.html

ส่วนอาทิตย์นี้จริงๆ ก็จองไว้ที่ Marriott ที่เดิม แต่ห้องดันเต็มคืนนี้คืนเดียว เพราะว่าเป็นช่วงวันรับปริญญาของที่นี่ พ่อแม่พี่น้องก็มากันเต็มไปหมดตามประสาอะนะ ก็เลยต้องจรลีหาโรงแรมในเครือ

search ดูก็มีในเครือหลายแห่ง แต่ในเมื่อเลือกได้ก็เอาที่ราคาแพงที่สุดแล้วกัน

ราคาเต็มแพงรองลงมาจาก Marriott ที่ปกติคืนละ $189-219
ส่วนที่ Residence Inn Marriott หล่นลงมาเหลือคืนละ $139-$159

แต่ Corporate rate หลังลดแล้ว Residence Inn กลับแพงกว่า คือเหลือคืนละ $114

ระยะทางก็แอบห่างไกลจากลูกค้า ประมาณสิบโลนิดๆ แต่มี GPS ก็ขับงมๆไป

ปรากฎว่า บร๊ะเจ้า!! เพิ่งเจอของดีเมื่อสาย

อยู่ในแหล่งที่ Prime มากๆ คือเดินข้ามถนนไปมีห้างใหญ่ๆเลย มี Sears, Bed Bath and Beyond, Barnes and Nobles, and etc T_T

มาถึงก็สามทุ่มแล้วอะ เพราะมัวแต่ไปสั่ง iphone4s ที่ shop อยู่
(เรื่องบ่นเกี่ยวกับ iPhone ติดตามได้ตอนต่อไป)

ก็เลยได้แต่เช็คอิน และเก็บรูปในห้องมาให้ดูกัน

วันนี้ห้องที่ได้ ขอเค้าว่าอยู่ชั้น G เพราะอยู่แค่คืนเดียว ขี้เกียจอะไรมากมาย

เค้าเลยบอกว่ามีแต่ห้องสำหรับคนพิการนะ เราก็ ตกใจนิดๆ แต่ พนง ต้อนรับก็บอกว่าไม่มีอะไรแตกต่าง แค่ห้องน้ำจะใหญ่กว่าปกติหน่อยเท่านั้นเอง เราก็โอเค


 เปิดมาต้อนรับแขกด้วย set ขาประจำ มี popcorn ยี่ห้อ Residence Inn กับกาแฟ

ห้องครัวแบบ Fully equipped มีหม้อไห ช้อนส้อมพร้อม
เฟอร์ทุกชิ้นจะเตี้ยกว่าปกติ เพราะว่าเป็นห้องสำหรับคนพิการ


ชุดล้างจานชอบมากๆๆๆ (แฮ๊บกลับเรียบร้อย)


Sofa Bed สำหรับแขกสี่คน (เพื่อ???)

ห้องน้ำใหญ่โต กว้างขวางกว่าห้องนอนอีกนิ


ดีมากๆ ที่ออกแบบไว้ให้สะดวกกับคนพิการ ทุกอย่างมีหูจับที่แข็งแรง เพื่อให้คนพิการช่วยเหลือตัวเองได้


แม้แต่ตู้เสื้อผ้าก็จะเตี้ยลงมาตามด้วย (ดีซะอีก ไม่ต้องเอื้อม)

 ห้องน้ำใหญ่แล้ว เตียงเลยเล็กลงหน่อย วันนี้ได้ Queen bed
 มุมรับแขกจากอีกด้าน

อีกมุมของห้องครัว


ให้มาดูเป็นน้ำจิ้ม

ในที่สุดก็ค้นพบแหละ ว่าชอบ โรงแรมเครือ Residence Inn มากที่สุด ยิ่งอยู่นานๆ ทำกับข้าวกินเองได้นี่เยี่ยมไปเล้ยยยย

อาทิตย์หน้าจะย้ายไปที่  Courtyard Marriott ที่ Decatur, Alabama

ขับข้ามรัฐ ข้ามเป็นร้อยเมืองเลยทีเดียว แล้วมาดูกัน :)

Thursday, October 6, 2011

สามอาทิตย์กับชีวิต audit ตัวน้อยๆ

เย้ๆ พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์แว้วววว  T G I (Thanks God It's Friday)!!!!


ตรากตรำทำงาน labor มาทั้งอาทิตย์ ได้ยินแว่วๆ ว่าอาทิตย์หน้าจะมีสิ่งที่กระตุ้นรอยหยักให้ทำบ้าง (จิงปะ)

เดี๋ยวก็จะขับรถกลับ Atlanta แล้ว

ตื่นเต้นทุกทีที่เปิดห้องอะ กลัวเจอลูกปีเตอร์ตายเกลื่อน ไม่ก็คลานกันยั้วเยี้ยบนผ้าห่ม

ถ้าเป็นงั้นคงช็อคตายคาที่ และขึ้นอืดแบบไม่มีใครรู้อะนะ -_-"

ช่วงนี้น้ำมันลงไงไม่รู้ ปกติที่ Columbus น้ำมันก็ถูกกว่าที่ Atlanta อยู่แล้ว
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ Atlanta $3.49/ gallon  พอขับมาที่ Columbus เหลือ $3.23 ก็ตาลีตาเหลือกรีบเติม

พอสี่วันผ่านไป วันนี้เหลือ $3.13 แล้ว ไม่มีถังให้เติมง่าาา

Ford Focus ที่ขับอยู่ก็จุดได้ไม่เยอะเท่าไหร่ เติมเต็มถังสุดๆก็สามสิบกว่าเหรียญเท่านั้นเอง
แต่ก็นะ เพื่อนรักที่อยู่ร่วมเรียงเคียงบ่ามาจะเดือนนึง เดี๋ยวก็มีอันต้องจากกันเพราะครบตาม policy  ที่ให้รถเช่าหนึ่งเดือนแล้ว T_T คงคิดถึงมันนิดส์นึง

คืนนี้กลับไปก็ไปลุ้นกัน ว่า internet ที่สมัครไว้ โมเด็มที่สั่งออนไลน์ไว้ จะมาส่งรึเปล่า
ไม่ได้คาดหวังอะไรมากอะนะ กลับไปก็ดึกแล้วคงไม่ค่อยมีเวลามาก แต่ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยซักทีก็น่าจะดี

สุดสัปดาห์นี้จะต้องหารถ และซื้อรถให้ได้ (อย่างบ้าคลั่ง!!)

ตอนนี้เล็งไว้สามคัน
คันแรก เป็นพี่คนไทยที่ Atlanta แนะนำรถอู่ เป็น Honda Accord ปี 2004 ราคา 7,500
คันที่สอง เป็นของดีลเลอร์ Honda Civic 2003 ราคา 6,900
คันที่สาม เป็นของดีลเลอร์  Honda Civic 2004 ราคา 6,900 เท่ากัน

ทั้งสามคันก็ประมาณแสนไมล์แล้วแหละ เป็นทางเลือกเท่าที่มีอะนะ เพราะไม่อยากซื้อรถใหม่ที่ราคาประมาณ 15,000 (เท่าตัวเลยนี่นา) หรือรถมือสองที่ราคาหมื่นนิดๆ มันก็กระไรอยู่ แบบว่าอีกนิดก็ซื้อรถใหม่ได้แล้ว ก็คิดวนไปวนมา สุดท้ายเลยยังหาที่ถูกใจ (และถูกเงิน) ไม่ได้ซักที

หวังว่าจะมีโชคกับ 1 ในสามคันนี้ละกัน เพี้ยงงงงง

อัพเดทเท่านี้ กลับบ้านดีก่าาาา เย้ๆๆๆๆๆ

Wednesday, October 5, 2011

ชีวิตออดิทที่อเมริกา ก็มีมุมที่หรูบ้างไรบ้าง

จากที่เคยเล่าว่า มาออกจ๊อบต่างจังหวัด

คำว่าต่างจังหวัดที่หมายถึง ก็เพราะว่าตัว office เราอยู่ที่ Atlanta ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ
การออกนอกเมืองก็คือต่างจังหวัดล่ะนะ มาทำงานที่ Columbus ซึ่งเคยพูดถึงไว้ที่

ฉันมาทำอะไรที่นี่? ที่ Columbus, Georgia
http://www.toffee-in-usa.com/2011/09/columbus-georgia.html

วีคแรกยังไม่ประสีประสา เลยพักที่ Holiday Inn ไป
ส่วนวีคถัดๆมาเริ่มประสาแระ ก็เลยอัพชั้น

ได้มาพักที่ Columbus Marriott ซึ่งเป็นโรงแรม tier 4 รองจากระดับ Ritz Calton และเป็นโรงแรมที่ไฮโซที่สุดในเมืองโคลัมบัสเลยเชียว (แต่โคลัมบัสก็เป็นเมืองธรรมด๊าธรรมดาอะนะ)

บล๊อคนี้ก็เลยขอเบรกอารมณ์อันอ่อนไหวด้วยรูปโรงแรมแล้วกัน

ประวัติโรงแรม (มีประวัติด้วยเว้ยย)

แต่เดิม โรงแรมนี้เคยเป็นโรงงานทอฝ้ายหรือสำลี (มั้ยนะ)  มันคือ Cotton mill ตั้งแต่ปี 1861
พอมาทำเป็นโรงแรมก็ทำการ renovate ก่ออิฐขึ้นมาโดยคงสภาพ และการตกแต่งแบบ convention ไว้ ลักษณะในโรงแรมเลยจะเป็นอิฐสีแดง ยุคเก่าๆนิดนึง ไม่ได้เป็นแนว Modern เหมือน Marriott ในเมืองนั่นเอง

โดยตัวตึกที่เราอยู่มีทั้งหมด 6 ชั้น ชั้น 5-6 เรียกว่าเป็นชั้น VIP เนื่องจากต้องจ่ายแพงกว่า ไม่ก็ไว้สำหรับ Marriott member ที่เป็น silver ขึ้นไปเท่านั้น

สำหรับวีคแรก เราได้อยู่ชั้น 6 จัดเป็นแขก VIP เนื่องจากเราเป็น Silver Elite member ของ Marriott (ซึ่งได้มาจากการพักและสะสม 10 คืนเท่านั้นอะนะ)

ห้องนอนก็แอบเจ้าหญิงนิดๆ หมอนครบเซทเลย มีทั้งหมอนอิง หมอนข้าง หมอนหนุน
ห้องนอน King size
โต๊ะทำงาน มีน้ำเปล่าให้หนึ่งขวด ถังน้ำแข็ง นอกนั้นก็มีตู้เย็น(เปล่า)ไว้ให้


Sofa ก็จัดว่าสบายดี เหยียดแข้งเหยียดขาปรับนอนได้

ห้องน้ำ counter top เป็นหินอ่อน ไม่ชอบตรงที่ sink มันเล็ก และเตี้ยมาก
ดีที่มีกระจกส่องสิวให้ด้วย
 มีกาแฟ กับไดร์เป่าผมให้ตามสไตล์ Marriott เค้าล่ะ
 สิ่งที่คิดว่าหรูขึ้นมานิด ก็คือ Amenities ของ Bath and Body Works ที่มาในแพคเกจที่ทำให้แตกต่างออกไป เป็นคนละแบรนด์กับของเครือ Residence Inn

ที่มีให้มีทั้งหมด ห้าขวด ได้แก่ แชมพู ครีมนวด เจลอาบน้ำ โลชั่น และน้ำยาบ้วนปาก
อุปกรณ์ข้างเคียง มี สำลี คอตต้อนบัด ผ้าขัดรองเท้า และหมวกอาบน้ำ
 ส่วนเครื่องดื่มที่มีให้ คือ  Black tea, Camomile tea น้ำตาล ครีม sweetener กาแฟ ทั้งแบบธรรมดา และดีแคฟ แก้วกระดาษ พร้อมฝาทูโกสองใบ

 จบจากห้องนอน ก็ไปดูห้อง VIP Conceirge Lounge กันบ้าง
อย่างที่บอกว่าความพิเศษ VIP  ของชนชั้น 5-6 คือ สามารถเข้า VIP Lounge ได้
Lounger นี้มีอะไรบ้าง?

-มี Busniness center เป็นของตัวเอง แยกจากของโรงแรม สามารถมาเล่นเนต แสกน ปริ๊นงานได้เลย ส่วนกลางของโรงเป็นเครื่อง Mac ให้สองเครื่อง
- มีหนังสือพิมพ์หลากหลายให้อ่านฟรี อย่างพวก New York Times, Wallstreet Journal และนิตยสาร Forbies
- เด็ดสุด คือมีอาหารและเครื่องดื่ม
   อาหารเช้า เป็นบุฟเฟ่ต์  ไลน์เล็กๆ มี 4-6 อย่าง
   ออเดิร์ฟช่วงเย็น คือไม่ถึงขั้นเป็น full meal แต่ก็อิ่มได้ อย่างพวก อกไก่อบ กับสลัด
   มี full bar ซึ่งเสิร์ฟไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (แต่ต้องจ่ายตังเพิ่ม)
   ขนมรอบดึก วันละ 1 อย่าง ที่เคยกินก็มีพวก Chocolate Fudge Cake, Tiramisu, Brownie

- มีแม่บ้านประจำ ไว้คอยตอบคำถาม คุย เก็บจานชามให้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องทิป
ห้องก็ไม่ได้ใหญ่อะไร จุดได้ประมาณยี่สิบคน


เสริ์ฟ Starubucks + Tazo tea ตลอดวัน

มี business center เป็นของตัวเอง 


จากนั้นก็พาลงมาดูที่ลอบบี้ และลักษณะการตกแต่งโดยรวม

ตรงนี้เป็นโถงหน้าลิฟต์ ตกแต่งได้อบอุ่นเหมือนในบ้าน (คฤหาสน์) มากๆ

หลังคาเป็นแบบโปร่ง รับแสงตอนกลางวันได้ เห็นฟ้าใสๆ ของโคลัมบัสแล้วน่านอนจัง

มีเปียนโนผี (ที่มันกดเล่นได้เองอะ) แล้วก็โซฟาให้นั่งรอได้


Coffee Shop ของโรงแรม จริงๆ ข้างในเป็น Starbucks น่ารักมากกก ดูอบอุ่นสุดๆ

 
 ส่วนอันนี้เป็นทางเข้าบาร์ และห้องอาหารของโรงแรม สำหรับอาหารมื้อเช้า (ถ้าไม่ใช้ Conceirge lounge)
 ทางเดินในล็อบบี้

 เดินออกมาดูบรรยากาศตึกรอบๆ


ใกล้ๆ โรงแรมเป็นรางรถไฟ จะได้เสียงหวูดๆ ทุกคืน (เสียงคลาสสิคมาก)

 ตึกตรงข้ามโรงแรมก็หน้าตาคล้ายๆกันคือใช้อิฐแดง

 สระว่ายน้ำอยู่ส่วนปีกข้างๆโรงแรม ไม่ค่อยมีคนว่ายเพราะอากาศเย็นมากทีเดียว


 สนนราคา ปกติอยู่ที่คืนละ $184++ สำหรับห้องธรรมดา
และ  $194++ สำหรับห้อง VIP ชั้น 5-6

จริงๆ ราคาก็ไม่ค่อยต่างกันมากอะนะ ก็เลยดูเหมือนว่าทุกคนจะได้อยู่ชั้น 5-6 กัน

ส่วนเรทที่ออฟฟิศเราจ่ายคือ $109++  ถูกลงเกือบครึ่ง เนื่องจากลูกค้าที่มาพักที่โรงแรมนี้ส่วนใหญ่ก็คือลูกค้าของบริษัทที่เรามาตรวจสอบนั่นเอง

ถามว่าแพงโคตรมั้ย ก็ไม่ได้แบบหรูหราขนาดนั้น

แต่ถามว่ามันเพี้ยนจากวิถีออดิทมั้ย  ถ้าเทียบกับโรงแรมที่เราได้พักในเมืองไทยก็ต่างกันมากเลยทีเดียว -_-"

ที่เมืองไทยส่วนใหญ่ก็จะได้นอนโรงแรมแบบที่พอนอนได้ บางทีก็เหมือนบ้านพักคนงาน service apartment เท่านั้น

ถ้าไม่ได้ออกจ๊อบโรงแรมที่จะได้มีโอกาสนอนหรูๆ ตามที่ลูกค้าจะมีให้แล้ว
ก็แทบไม่มีโอกาสได้นอนโรงแรมแบบที่อยู่ในเครือ Hilton, Marriott, Holiday Inn เลยก็ว่าได้

ชีวิตออดิทที่นี่มันช่างได้คุณภาพจริงๆ >_<

นอกจากได้พักฟรีๆ แล้ว ยังสะสมแต้มได้อีก

เนี่ยล่ะ ข้อดีของการออกจ๊อบต่างจังหวัดที่นี่!!


Driving License อะไรกันนักกันหนา (วะ)

ตั้งแต่โตมา ขับรถก็จะสิบปีแระ ตอนทำใบขับขี่ที่เมืองไทย ที่เค้าว่ายาก และต้องยัด
กับเราก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น ก็เป็นไปตามขั้นตามตอน

มาอยู่นี่
มีเพื่อนๆ หลายคนไปสอบใบขับขี่ของแต่ละรัฐแล้วเอามาแชร์กัน ก็ทำให้รู้สึกว่าก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่นา
(หมายเหตุ ที่นี่ ถ้าอยู่รัฐไหนก็ต้องทำใบขับขี่รัฐนั้น เพราะจะมีผลกับการซื้อรถ ทำภาษี ส่วนใบขับขี่สากลที่ทำจากเมืองไทยนั้น จริงๆ ก็ใช้ได้ แต่ไม่นับว่าเป็น resident ถ้าตำรวจขอตรวจบางคนก็จะไม่ยอม)

แต่กับเรา ซับซ้อน วุ่นวาย หงุดหงิด เศร้าซึมโคตรๆ

เหตุการณ์เริ่มจากวันเสาร์ที่ผ่านมา

DDS (คือกรมขนส่งที่ Georgia เรียกกัน) เปิดถึงเที่ยงครึ่ง เป้าหมายของวันคือ อยากสอบข้อเขียนให้จบๆไป ไม่ได้กะว่าจะสอบ road test ให้เสร็จในวันเดียวหรอกนะ เพราะรู้ว่าต้องโทรนัดล่วงหน้า ขับรถไปประมาณ 20 นาทีถึง DDS ประมาณ 11 โมง คนหลามมมมาก

DDS ที่เราไปไม่ได้อยู่ใน Atlanta (ที่เป็นเมืองหลวง) แต่อยู่ที่ Decatur ซึ่งเป็นเมืองติดๆกัน ประมาณสมุทรปราการ หรือ ปทุมว่างั้น

ข้อดีก็คือ ตั้งอยู่ในห้าง หาง่าย ดูเก๋ๆ
ข้อเสียก็คือ คนเยอะเชียวว แล้วมีแต่คนดำ ดำ ดำ แล้วก็เม็กซิกัน พนักงานก็หน้าหงิกโคตร

เราก็ทำทุกอย่างตามคิว เตรียมเอกสารไปพร้อมเพรียง ก็มี
1) Passport + I94
2) Proof of Resident เราใช้ insurance policy เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งใน Georgia
3) Social Security card เป็นสิ่งจำเป็นในการพิสูจน์ความีตัวตนของคนอเมริกา (เหมือนบัตรประชาชน)

พนักงานใจดีบอกว่า เรามาเร็วน่าจะสอบข้อเขียน และสอบขับได้ในวันเดียว
เย้ ดีใจ

คุณพี่เคาน์เตอร์แรกบอกว่าเรียบร้อยแล้วจ้า รอเรียกชื่อที่เคาน์เตอร์หนึ่งได้เลย
เราก็แบ๊ว เดินไปเคาน์เตอร์หนึ่ง

อีเจ๊ช่อง 1 ถามกวนบาทาว่า: "เรียกชื่อแล้วเหรอถึงมา? (แปลเป็นไทยให้แล้วอะนะ)
อีฟี่: แบ๊วกลับ อุ๊ย ขอโทษค่าาา 
แล้วก็เดินตัวลีบกลับไปนั่งรอที่เก้าอี้อย่างจดจ่อ

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง จ้องหน้าจอที่เรียก ก็ไม่มีเรียกเราซักที ก็ยังเบาใจเห็นรอบๆมีคนนั่งรอหนาแน่นเกินร้อย ก็คิดว่าน่าจะเหมือนบ้านเราที่รอเป็นวัน

อะไม่เป็นไร เจ๊ชิลๆ วันนี้

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง หันไปอีกที เหลือไม่ถึงสิบแล้วฮึ้ย 

ก็เลยตาลีตาเหลือกไปหาป้าช่อง 1

อีฟี่: ลืมเรียกชื่อหนูป่าวอะ จ้องจอมันเป็นชั่วโมงไม่เห็นมีเบอร์ขึ้นเลย
ป้าช่อง 1: ทำหน้าตาเบื่อหน่าย บอกว่า เรียกแล้วไม่มานิ ชื่อผ่านไปนานชาติเศษแล้ว!!!

กรี๊สสส มารู้ทีหลัง แมร่งเรียกชื่อด้วยปากเปล่า
เรานั่งก็ไกล (เพราะไปนั่งตรงมอนิเตอร์เรียกเบอร์)
อีป้า ก็เป็นคนดำ สำเนียงเหลาเหย่
อีฟี่ ก็เป็นคนเอเชีย ฟังอังกฤษไม่ค่อยออก

สรุป ผ่าน 12.30 ไปอย่างเศร้าๆ

ป้าช่องสองใจดีบอกว่า อะ อะ งั้นไปสอบข้อเขียนละกัน ไหนๆ คอมก็เปิดอยู่

แต่ๆๆๆ คอมมีอยู่ สิบกว่าเครื่อง เครื่องดีๆ ก็เกือบทุกเครื่อง (ที่นี่สอบข้อเขียนใช้คอมพิวเตอร์จิ้มๆ คลิ๊กๆอะนะ)

 ป้าช่องสองกลั่นแกล้งต่างด้าว ให้ไปประจำเครื่องที่คอมเสีย!!! แล้วป้าก็ให้ทำข้อสอบกระดาษ ตอบ A B C กับดินสอไม้หนึ่งแท่ง

หันมองคนรอบตัว ก็นั่งจิ้มๆ ในคอมกันหมด กรูโดนกลั่นแกล้งงงง T____T
ก็ก้มหน้ารับไป เพราะโวยวายไปมันจำหน้าได้ เดี๋ยวสอบขับครั้งหน้าให้คะแนนยากอีก

ข้อสอบก็มีสองชุด เป็นข้อสอบเกี่ยวกับการใช้ถนน 20 ข้อ (เป็นภาษาอังกฤษล้วน แล้วมี choice A B C ให้) ส่วนชุดที่สองเป็นข้อสอบ Road sign ประมาณ 30 ข้อ มีรูปมาให้ แล้วให้ choice A B C ว่าป้ายนี้หมายความว่าอะไร

ทำเสร็จ ป้าช่องสองก็เอาไปตรวจแบบแมนนวลเหมือนครูสมัยประถม กลับมาพร้อมกับคะแนน 75% สำหรับชุดแรก และ 95% สำหรับชุดสอง สรุปก็คือสอบผ่าน (ที่นี่จะผ่านต้องได้ 75% ขึ้นไปทั้งสองชุด)

ป้าก็ไปปรึกษาหัวหน้าป้าอีกที ว่าอีกะเหรี่ยงนี่มันไม่มาตามที่เรียกทำให้พลาดสอบไปชั่วโมงนึงจะทำไง หัวหน้าป้าก็บอกว่าวันนี้สอบขับไม่ได้แระ ให้กลับมาชาติ เอ้ย อาทิตย์หน้า เราก็บอกป้าๆ ไปว่า เราจะไปต่างจังหวัด (Columbus) ไปสอบที่นั่นได้มั้ย
ป้าๆ  บอกว่าสอบได้เลย ไปที่ counter แล้วบอกว่ามาสอบ road test ข้อมูลทั้งหมดของยูจะอยู่ในนั้น

วันเสาร์นั้นก็กลับบ้านด้วยความโล่งใจ อย่างน้อยก็สอบข้อเขียนผ่านแล้วล่ะน๊าาา

วันอังคารถัดมา ก็โทรไปจองสอบขับทางโทรศัพท์

เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าไม่มีเลข permit (เหมือนใบขับขี่ชั่วคราว) จะไม่สามารถจองออนไลน์ได้... แปลว่าอะไรรรรร แปลว่าอีป้าที่ขนส่งวันนั้นไม่ได้ออกใบ Permit ให้ เจ้าหน้าที่ที่จองเลยบอกว่าเราทำอะไรไม่ได้นอกจากไป walk in รอสอบเอา

วันพุธ ก็เลยแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า เพื่อไปให้ทันก่อนเข้างาน บอกเพื่อนไว้ว่าจะมาสายหน่อย ก็ออกจากโรงแรมประมาณ 7.30 GPS บอกว่าแค่ 20 นาทีก็ถึง DDS ที่โคลัมบัส

ถึงที่หมาย 8.01 AM อ่าววว ทำไมไม่เห็นมีอะไรที่หน้าตาเหมือน DDS เลย

ปรากฎว่า ใส่ที่อยู่ DDS ใน GPS ผิด!!! ดันใส่ชื่อเมืองเป็นชื่อถนน สถานที่จริงอยู่ห่างไปอีกเกือบ 8 ไมล์ เลยต้องขับย้อนกลับมา (อันนี้ซวยเพราะโง่ และสะเพร่า)

ถึง DDS (จริงๆ) ตอน 8.20 ได้ เข้าคิวนู่นนี่ก็ดูจะราบรื่น เพราะคนน้อยกว่าที่ Atlanta มากๆๆๆ
ยื่นเอกสารเสร็จเค้าก็บอกว่าให้นั่งรอสอบ  Road Test ได้เล้ยย

ก็นั่งรอไป คิดว่าไม่น่าจะนานเพราะว่าคนน้อยมากๆๆ แล้วคนที่มาส่วนใหญ่ก็เป็นคนแก่ คงไม่ค่อยมีใครมาสอบ road test หรอก

รอไปอีก "หนึ่งชั่วโมง" จนเกือบสิบโมง ไม่ไหวละ เลยไปถามเคาน์เตอร์ เค้าคุยกันแล้วบอกว่า ก็ยู Walkin มาอะ ก็ต้องรอว่า คนที่โทรจองไม่มา ถึงจะให้เสียบได้!!!

กรี๊ดดดดด แล้วไม่บอกตรูตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าต้องรอเก้าอี้ดนตรี???

เจ้าหน้าที่ยังทำใจดี บอกว่าไม่ถึงทั้งวันหรอก แค่ต้องรอจนเบรก หรือรอคนยกเลิกนัด ซึ่งบางทีคนที่นัดไว้ก็อาจจะไม่มาซะงั้นก็ได้

เฮ้ยย  รอไม่ไหวมั้งง ไม่รู้จะเมื่อไหร่ ถ้านัดไว้แล้วมาหมดทุกคนก็รอเก้ออะดิ

ไม่ไหวแระ เลยทำเรื่องขอ permit จ่ายไปสิบบาท ($10) แล้วก็ให้จองสอบไว้ ได้วันพฤหัสตอน 9 โมง (ต้องโดดงานอีกแล้วตรู)

ขับรถกลับมาถึงที่ทำงานตอน 10.30

เพื่อนหันมาหา ถามกันใหญ่ว่าเป็นไง

บอกไปว่าไม่ผ่าน ไม่ผ่านเพราะยังไม่ได้แม้แต่จะลงสอบเลยเหอะ

เพื่อนก็ขำๆกัน (ประมาณสามวิ) แล้วต่างคนก็ต่างหันไปทำงานของตัวเองต่อไป

เป็นอีกวันที่เฟลลลล อย่างแรว๊งส์ส์ส์ -_-

Monday, October 3, 2011

44 days... and it's October

รู้ตัวอีกที ก็อยู่ที่นี่มา 44 วันแล้ว

44 วัน นานพอที่จะจัดห้องเสร็จ มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว

ย้ายเข้า apartment วันที่ 26 September แต่ได้อยู่บ้านเฉพาะคืนวันพฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น เพราะที่เหลือจันทร์-พฤหัส ต้องขับรถไปทำงานที่ Columbus ซึ่งห่างจากเมือง Atlanta 2 ชั่วโมง

ประกอบเฟอร์นิเจอร์กันจนปวดหลังเลยทีเดียว
ที่ต่อไปแล้วก็มี โต๊ะสีขาว ตู้ 6 ลิ้นชัก เตียงนอน ภูมิใจจริงๆ คู่มือบอกต้องใช้สองคน
แต่เราทำเองคนเดียว ผลคือทำได้ แต่แมร่งงง ปวดเมื่อยไปทั้งตัว

ของตกแต่งบ้าน ทำความสะอาด ก็เข้าที่เข้าทาง ทั้งม่านห้องน้ำ พรมกุ๊บกิ๊บ จาน ชาม หม้อ ช้อนส้อม ก็โอเคมากๆ

เครื่องดูดฝุ่นก็ซื้อแล้ว เพราะเจอลูกแมลงสาบบุกบ้าน -_- ถึงปีเตอร์ที่นี่จะไม่ร้ายกาจน่ากลัวเท่าเมืองไทยที่แลนดิ้งบนหัวเราได้ เพราะหน้าตามันคล้ายๆ แมลงหวี่บิ๊กไซส์ เล็กกว่าแมลงวัน ไม่เหม็น แถมโง่โดนบี้เอาได้ง่ายๆ แต่ก็แอบขยะแขยงอยู่ดี

ตอนนี้เลยกลายเป็นพวก clean freak เก็บเตา เก็บจานชามอย่างเรียบร้อยทุกครั้ง
แถมพวกตู้ไม้ก็จะเปิดทิ้งไว้ตลอด เพราะไม่อยากเจอ surprise ตอนเปิดตู้

เริ่มเป็นโรคจิตหวาดระแวง เห็นวัตถุจุดดำก็ผวา คิดว่าเป็นแมลงสาบ เตรียมหาทิชชู่รอบตัวไว้ "บี้" ในบัดดล (นี่กลัว หรือโหดกันแน่นะ)

44 วัน นานพอที่จะ active เป็นพนักงานบริษัทที่นี่ได้เกือบสามอาทิตย์

แต่ที่ร้ายกาจคือ มันยังไม่นานพอที่จะได้ "ทำงาน" แบบที่เป็นงาน

ในจ๊อบมีกันทั้งหมดสี่คนรวมเรา แต่ว่า ว่างมาก ถึงมากที่สุด
จะว่าไปก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาตลอดชีวิตการทำงาน audit ที่มาอยู่ลูกค้าแล้วยังทำตัวเหมือน non- charge ที่ออฟฟิศได้

ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรนะ ก็ถามเช้าถามเย็น ถามลูกเพ่ในจ๊อบ (ถึงมันจะอ่อนพรรษากว่าเรา) ว่ามีอะไรให้ I (กรู) ทำมั้ย  มันก็บอกว่า ม่ายมี

เมลไปถาม Resource Planning ว่ามีจ๊อบอื่นให้ทำมั้ยย เค้าก็บอกว่า ยังม่ายมี

จะให้เทรนนิ่ง อ่านมาตรฐานมันก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ทำกันยามว่าง

สรุปก็คือ ไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา T_T ช่างไร้ค่ายิ่งนัก...

ถ้าอยู่เมืองไทย สามอาทิตย์ผ่านไป น่าจะเสร็จไป 5 จ๊อบแล้วอะ

44 วัน นานพอที่จะเริ่มเข้าใจ และยอมรับได้กับวัฒนธรรม  Culture difference

เข้าใจว่า คนที่นี่เค้าจะไม่ hang out กับเพื่อนที่ทำงาน

ตอนเย็นเค้าก็ไม่ไปกินข้าวกัน ถึงจะมาจ๊อบต่างบ้านต่างเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องกระจุกด้วยกัน

เข้าใจว่า ถึงจะเดินทางจาก Atlanta เหมือนกัน แต่ทุกคนก็ต่างคนต่างขับรถ (เปลืองน้ำมัน เปลืองพลังงานมั้ยล่ะ ฮึ)

เข้าใจว่า ถึงจะพักโรงแรมเดียวกัน แต่ตอนเช้า หรือตอนเย็น ก็ไม่มา หรือกลับด้วยกัน

เข้าใจว่าถึงจะเลิกงานแล้วหิวข้าว ก็ไม่จำเป็นต้องไปกินข้าวด้วยกัน

เข้าใจว่าถ้าไม่มีงานอยากจะกลับก็กลับ ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องลาเพื่อนในทีม ไม่ต้องลาลูกค้า

เข้าใจว่าตอนกลางวัน ถ้าอยากกินก็ไปกิน ไม่อยากกินก็หาอะไรกินเอาเอง ไม่ต้องงอนง้อให้เสียเว

นานพอที่จะเข้าใจแระ ว่าทำไมคนอเมริกันถึงขาด "แฟน" ไม่ได้เลย

ก็ชีวิตแมร่ง เปลี่ยวขนาดเนี้ยยยย

อยู่มหา ลัย ก็ยังดีใช่ม๊า ถ้ามีชมรม ก็ยังมีเพื่อน hang out
แต่ที่นี่ที่เราสังเกตเห็น พอทำงานเป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่อยู่กับ roommate ก็อยู่กันแฟนนั่นเอง

44 วัน นานพอที่จะได้รับเงินเดือน "ครึ่ง" เดือนแรก จาก US Payroll

เม็ดเงินที่ได้นั้นจ๊าบใจ เพราะครึ่งเดือนก็ได้เหมือนเดือนครึ่งที่เมืองไทย
แต่ภาษีที่ถูกหักก็เกือบเท่าเงินเดือนทั้งเดือน =_=

เงินที่ได้มา แต่เดิมอยู่เมืองไทยก็บริหาร LTF, กองทุน, เงินฝากให้มันส์มือ
เหลือๆ ก็หาที่กิน ที่เที่ยว ชอปปิ้ง

อยู่นี่เงินที่ได้มา
ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เก็บไว้เป็นค่าประกันรถ จ่ายผิดเวลาก็ไม่ได้อีก เครดิตเสีย (build อยู่เนี่ย)
ซื้อของเข้าบ้าน (ตอนนี้ยังขาด TV กับเตารีด)
ไหนจะค่าน้ำมันรถที่สูบเอาๆ มากกว่าน้ำที่ดื่มในแต่ละวันอีก!!!

44 วัน ยังไม่นานพอที่จะหาซื้อรถเป็นของตัวเอง

ประสบปัญหาขาดแคลนรถดี ราคาถูก ไอ้ที่ถูกและดีก็มักไม่รอเรา
ไอ้ที่ดูดี ดูได้ ก็ดันเป็น salvage title คือเคยผ่านสงครามมาก่อน แล้วเอามาย้อมเป็นรถใหม่

ต้องคอยดูว่า อีกกี่วัน ถึงจะ "mission complete"

44 วัน ที่ห่างจากบ้าน ที่ออฟฟิศประกาศเลื่อนตำแหน่ง รอรับโบนัส
แม่จะไปเที่ยวเมืองจีน พี่สาวจะกลับจากอังกฤษ พ่อกำลังพัฒนา product ใหม่

ชีวิตเราทุกคนมันหมุนไปเรื่อยๆจริงๆ ในขณะที่เราใช้ชีวิตที่นี่ ตื่นเช้า ขับรถไปทำงาน กลับบ้านแต่หัววัน (ที่ออฟฟิศอย่าอิจฉานะ ไม่เคยเลิกงานเกิน 5.30 เลยอะ) ชอปปิ้งฆ่าเวลา ใช้เงินไปเรื่อยเปื่อย

ก็เริ่มกลับมาคิดเหมือนกัน ว่าจริงๆ แล้วเรามาที่นี่เพื่ออะไรอะ?
ลำบากกว่าเดิมโคตรๆ เพื่อนก็ไม่ค่อยมี (ถึงจะรู้ว่าเพื่อนที่ออฟฟิศอื่นก็ประสบปัญหา make friends กับคนอเมริกาก็เหอะ)  ห่างบ้าน ห่างแฟน ห่างของกินอร่อยๆ ถูกๆ

อากาศก็หนาว (วันนี้ 44F คือ 7 องศา)  เสื้อผ้าหน้าหนาวเก๋ๆ ก็โคตรแพง

=_= ณ จุดนี้ เป็น W curve ขาลง บ่นๆไปก็คงดีขึ้นเองแหละ

แต่ถามว่าโดยรวมไหวมั้ย ก็ไหวอะ  "โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย"  คำนี้อะ ใช่เลย